ถอดถอน “ทรัมป์” รอดหรือร่วง…เเละทำไม “บลูมเบิร์ก” รวยเเซงหน้าทรัมป์ ถึง 17 เท่า

ในยามที่กำลังลุ้นว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 จะถูกถอดถอนออกจากตำเเหน่ง ไปไม่ถึงการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงปลายปีหน้าหรือไม่ Positioning พามาดูขุมทรัพย์ของมหาเศรษฐี 2 ตัวเต็งชิงผู้นำอเมริการะหว่างเจ้าพ่อสื่อ ไมเคิล บลูมเบิร์ก VS โดนัลด์ ทรัมป์ เเละวิเคราะห์โอกาสในการถอดถอน “ทรัมป์” ว่ามีมากน้อยเเค่ไหน

ทำไม “บลูมเบิร์ก” รวยเเซงหน้า “ทรัมป์” ถึง 17 เท่า

ทุกคนรู้ดีว่าปัจจุบันช่องว่างของความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยเเละคนจนมีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยเละประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ขณะเดียวกันช่องว่างนี้ก็เกิดขึ้นระหว่างคนรวยกับคนรวยด้วย เมื่อมองไปถึงการชิงตำเเหน่งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะกำลังจะมีขึ้นในปี 2020

“โดนัลด์ ทรัมป์” (Donald Trump) ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบันจากพรรครีพับลิกัน ได้รับการประเมินว่ามีความมั่งคั่งอยู่ที่ 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9.37 หมื่นล้านบาท) ติดอันดับ 715 ของทำเนียบมหาเศรษฐีโลกปีนี้ จากการจัดอันดับของ Forbes ถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลเมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่บนโลก

แต่ทรัพย์สินของทรัมป์ กลับดูน้อยมากหากเทียบกับทรัพย์สินของผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีตัวเต็งจากพรรคเดโมเเครตอย่าง “ไมเคิล บลูมเบิร์ก” (Michael Bloomberg) ผู้ครองความมั่งคั่งกว่า 5.3 หมื่นล้านเหรียญ (ราว 1.64 ล้านล้านบาท ) ติดอันดับ 9 ของทำเนียบมหาเศรษฐีโลกปีนี้ 

บลูมเบิร์ก สามารถบริหารจัดการธุรกิจและทรัพย์สินได้อย่างเหมาะสม เเละเพิ่มความมั่งคั่งได้เป็นทวีคูณ โดยติดอันดับ 400 บุคคลที่รวยที่สุดในอเมริกาหรือ Forbes 400 เป็นครั้งแรกได้ในปี 1992 ซึ่งคนที่จะติดอันดับได้ต้องมีสินทรัพย์ 350 ล้านเหรียญขึ้นไปในขณะนั้น หลังจากบริษัทของเขาที่ให้บริการข้อมูลหุ้น พันธบัตร และอื่นๆ เริ่มเป็นที่นิยมในวอลสตรีท

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ฟาก “ทรัมป์” ต้องฝ่าวิกฤตเพื่อรักษาอาณาจักรของครอบครัวไว้ หลังมีหนี้สินก้อนโตจนเกือบล้มละลาย

ฟ้าหลังฝน ทรัมป์ฝ่าวิกฤตได้และกลับเข้ามาสู่ทำเนียบ Forbes 400 ได้ในปี 1996 ด้วยความมั่งคั่งราว 450 ล้านเหรียญ ขณะที่ บลูมเบิร์ก ตอนนั้นมีความมั่งคั่งอยู่ราว 1 พันล้านเหรียญ เเล้ว จากมูลค่าหุ้นในธุรกิจข้อมูลทางการเงินของเขา

ตลอดช่วง 23 ปีที่ผ่านมา ความมั่งคั่งสุทธิของทรัมป์ เพิ่มขึ้นในอัตรา 8.8% ต่อปี มากกว่าผลตอบแทนของดัชนีหุ้น S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ 6.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยผลตอบแทนของทรัมป์ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในปี 1996-1997 ซึ่งทำให้เขาก้าวกระโดดจาก 450 ล้านเหรียญมาเป็น 1.4 พันล้านเหรียญ

ขณะที่ความมั่งคั่งของบลูมเบิร์ก มีการเติบโตเเละมีความเสถียรมากกว่า ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 18.8% ต่อปี

ผลตอบแทนเเละการเติบโตทางธุรกิจที่โดดเด่น การขยายกิจการเเละเข้าซื้อธุรกิจสื่อ ทำให้บลูมเบิร์กรวยขึ้นมหาศาล เเซงหน้าเหล่ามหาเศรษฐีที่ธุรกิจส่วนใหญ่ยังเป็นการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เก่าดั่งเช่นทรัมป์

โดยช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา บริษัท Bloomberg LP เติบโตขึ้นจากการขยายการรายงานข่าวธุรกิจและการเงินเข้ามาด้วย จากเดิมที่เพียงให้บริการข้อมูลด้านการเงินเท่านั้น

จากนั้น Bloomberg LP ได้เข้าซื้อกิจการหนังสือ BusinessWeek ซึ่งกำลังประสบปัญทางการเงินอย่างหนักจาก McGraw-Hill ด้วยมูลค่า 5 ล้านเหรียญ และรับโอนหนี้สินมาอีกเกือบ 32 ล้านเหรียญในปี 2009

ปัจจุบัน ประเมินว่า Bloomberg LP มีรายได้อยู่ที่ 1 หมื่นล้านเหรียญและ “ไมเคิล บลูมเบิร์ก” ผู้ก่อตั้งนั้นถือครองหุ้นอยู่ 88% ของบริษัท

ไมเคิล บลูมเบิร์ก นักธุรกิจผู้ท้าชืงตำเเหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี 2020 – AFP Photo/Olivier Douliery

นอกจากนี้เจ้าพ่อสื่ออย่างบลูมเบิร์ก ยังมีชื่อเสียงจากการเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่บริจาคเงินเพื่อการกุศล โดยเขาบริจาคเงิน 8 พันล้านเหรียญให้กับองค์การกุศลและกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ รวมถึงมหาวิทยาลัย Johns Hopkins
และกิจกรรมที่ผลักดันการควบคุมอาวุธปืน

เเม้การเอาชนะใครบางคนได้ในสนามธุรกิจ กับการเอาชนะใครบางคนได้ในสนามเลือกตั้งนั้นต้องใช้ทักษะที่แตกต่างกัน ซึ่งในปีหน้านี้ บลูมเบิร์ก ผู้เคยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กมาเเล้ว 3 สมัย จะได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองว่าเขาจะสามารถต่อสู้กับทรัมป์บนเวทีการเมืองได้หรือไม่เเละอย่างไร

ทุ่มเงินซื้อโฆษณาเลือกตั้ง 2020

มีรายงานจาก Advertising Analytics บริษัทด้านสำรวจโฆษณาในสหรัฐฯ เผยว่าบลูมเบิร์กได้ทุ่มเงินจำนวนอย่างน้อย 33 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 990 ล้านบาท) ซื้อโฆษณารณรงค์ประชาสัมพันธ์การสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาในหลายรัฐ

เป็นที่น่าสนใจว่า เงินดังกล่าวส่วนใหญ่ถูกลงไปกับการซื้อโฆษณาหาเสียงในรัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรคคู่เเข่งอย่างรีพับลิกัน และถือเป็น “Swing State” ที่มีจำนวน Electoral College หลายที่นั่ง เช่น รัฐฟลอริดา โอไฮโอ มิชิแกน ยูทาห์ และเท็กซัส

เเม้ข้อมูลตัวเลขของเเคมเปญดังกล่าวจะยังไม่ชัดเจน เเต่ก็นับว่าสูงกว่าสมัยที่อดีตประธานธิบดี “บารัค โอบามา” เคยใช้เงินซื้อโฆษณาที่ 24 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่า ทีมหาเสียงของมหาเศรษฐี “บลูมเบิร์ก”
อาจใช้เงินในการรณรงค์แคมเปญหาเสียงสูงเลือกตั้งครั้งนี้ถึง 100 ล้านเหรียญเลยทีเดียว

ถอดถอน “ทรัมป์” รอดหรือร่วง?

ล่าสุดกับข่าวใหญ่ของการเมืองสหรัฐและการเมืองโลกในช่วงปลายปีนี้ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ลงมติด้วยคะแนน 230 :197 ถอดถอน (impeachment) ประธานาธิบดีทรัมป์ใน 2 ข้อกล่าวหาคือ ข้อหาการใช้อำนาจในทางมิชอบ และขัดขวางกระบวนการสอบสวนของสภาคองเกรส โดยพรรคเดโมแครตมี ส.ส. จำนวน 232 เสียง ซึ่งโหวตเห็นชอบเกือบหมด ส่วนพรรครีพับลิกันมี ส.ส. จำนวน 195 เสียงเเละโหวตคัดค้านทุกคน

เเฟ้มภาพ – โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45

ส่งผลให้ทรัมป์กลายเป็นผู้นำคนที่ 3 ของสหรัฐฯ ที่ถูกพิจารณาถอดถอนในขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎร ถัดจากแอนดรูว์ จอห์นสัน และ บิล คลินตัน

อย่างไรก็ตาม การถอดถอนประธานาธิบดีไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องอาศัยเสียงโหวตในสภา โดยการเสนอถอดถอนต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง (1/2) ของสภาล่าง (ผ่านเเล้ว) แต่การโหวตตัดสินว่าผิดจริงหรือไม่ต้องใช้เสียงถึง 2/3 ของสภาสูงหรือวุฒิสภา ที่มีจำนวน 100 ที่นั่ง หรือเท่ากับต้องมี 67 เสียงขึ้นไปถึงจะถอดถอนได้

เเละเมื่อมองดูจากสถานการณ์ ตอนนี้พรรครีพับลิกันนั้นครองเสียงข้างมากในสภาสูงคือ 53 เสียง พรรคเดโมแครตมี 45 เสียง และวุฒิสมาชิกอิสระอีก 2 เสียง ทำให้การที่พรรคเดโมเเครตจะมีคะเเนนโหวตถึง 2/3 ของสภาสูงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้การเมืองสหรัฐฯ มีการเเบ่งขั้วชัดเจน (ดูจากพรรครีพับลิกันมี ส.ส. จำนวน 195 เสียงก็โหวตคัดค้านพร้อมเพรียงกันทุกคน)

อย่างไรก็ตาม หากเกิดการ “พลิกล็อก” ขึ้นมาจริงๆ ในกรณีทรัมป์ถูกถอดถอนสำเร็จ รองประธานาธิบดี “ไมค์ เพนซ์” (Mike Pence) ซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาลพรรครีพับลิกันก็ยังคงบริหารต่อไป โดยขึ้นมารับตำแหน่งประธานาธิบดีแทน

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าการยื่นถอดถอนทรัมป์ของพรรคเดโมเเครตครั้งนี้ เป็นเทคนิคทางการเมืองที่ทำให้คู่เเข่งอย่างรีพับลิกันไขว้เขวเเละไม่โฟกัส การเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมาถึงในช่วงปลายปีหน้า เพราะกระบวนการต่อสู้ต้องใช้ทรัพยากรมากทั้งการเตรียมข้อมูล การหักล้างฟาดฟันกัน

ในมุมกลับกันก็อาจเป็นการสร้างเเนวร่วมให้กับฐานเสียงของทรัมป์ด้วย ซึ่ง The Wall Street Journal ออกมาวิเคราะห์ว่าการยื่นถอดถอนทรัมป์ครั้งนี้ อาจเป็นการยืนยันว่าทรัมป์จะชนะเลือกตั้งสมัยหน้าอีกก็เป็นได้ (อ่านเพิ่มเติมใน The Democrats Could Re-Elect Trump in 2020) 

ที่มา