“iAd” ปฏิวัติระบบโฆษณาบนมือถือจาก Apple

“iAd” รันอยู่บน “The Best Mobile Operating System” และ “The Best Smart Phone”
นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้าน Mobile Advertising หลายคนต่างพากันฟันธงว่า “iAd” น่าจะเข้ามาปฏิวัติอุตสาหกรรมโฆษณาบนมือถืออยางที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเช่นกัน
ในโลกของการโฆษณาออนไลน์ เป็นที่รู้กันว่า Google เป็นเจ้าตลาด ด้วยอาวุธเด็ดอย่าง AdWord และ AdSense
แต่ในโลกมือถือ Google ถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ แม้ว่าจะพยายามบุกตลาดนี้มาหลายปี
ผู้นำอันดับ 1 ของ Mobile Advertising ในโลก คือ AdMob
ระบบโฆษณาของ AdMob ถูกใช้อย่างแพร่หลายในการโฆษณาบนมือถือ ไม่ว่าจะแบรนด์ไหนก็ตาม
และเกือบ 100% ของโฆษณาบนแอพของ iPhone ก็เป็นโฆษณาที่ใช้ระบบของ AdMob ทั้งสิ้น
Apple ซึ่งรู้ความจริงข้อนี้ดี และมองเห็นโอกาสและศักยภาพในการสร้างรายได้ ถ้าได้กุมอำนาจ Mobile Advertising เพิ่ม
ปลายปี 2009 Apple พยายามเดินเกมขอซื้อกิจการ AdMob เพื่อประหยัดเวลาในการค้นคว้าวิจัยเทคโนโลยีด้านนี้ ที่ Apple ไม่มีความเชี่ยวชาญ
อีกทั้งการที่จะได้ฐานลูกค้าขนาดใหญ่มากมาย โดยไม่ต้องไปเหนื่อยหาลูกค้ามาใช้ในตอนเริ่มต้น
แต่ท้ายที่สุดก็มีคนมาชิงตัดหน้าซื้อกิจการ AdMob ไปก่อนหน้า Apple ด้วยมูลค่ากว่า $750 ล้านเหรียญห
คนที่มาชิงซื้อกิจการ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
แต่เป็น Google! ที่ซุ่มเจรจาต่อรองกับ AdMob อยู่เงียบๆ และบรรลุข้อตกลงในเดือน พฤศจิกายน 2009
เหตุผลแรก Google ต้องการบุกตลาด Mobile Advertising ให้สำเร็จซะที
และอีกเหตุผลที่สำคัญ Google ไม่ต้องการให้ Apple เข้ามาทุบตีหม้อข้าวของตน
ด้วยความที่ Apple เป็นบริษัทใหญ่ และมีศักยภาพสูงในการสร้างสรรค์และเปิดตลาดใหม่ๆ
ogle จำเป็นต้องป้องกัน “อาณาเขต” ของตัวเองไว้ก่อน
แต่นั่นก็ไม่ทำให้ Apple ถอย เพราะได้เข้าซื้อกิจการของ “Quattro Wireless” ด้วยมูลค่า $275 ล้านเหรียญ
จากการซื้อกิจการครั้งนี้ เป็นที่มาของ “iAd” นั่นเอง

“iAd” เป็นระบบ Mobile Advertising ที่ Apple เรียกว่า “Mobile Ads with Emotion” หรือระบบโฆษณาที่มีอารมณ์ มีชีวิตชีวามากกว่าที่เคยเป็น
Steve Jobs กล่าวว่า Online Advertising บน Desktop ถูกขับเคลื่อนโดย “Search” หรือ การค้นหา
ระบบ AdWord และ AdSense ของ Google ล้วนมีรากฐานมาจาก “Search” ทั้งนั้น
ซึ่งวิธีนี้ใช้ได้เฉพาะบน Desktop ไม่สามารถใช้ได้กับบนมือถือ เพราะว่าคนใช้มือถือ มีจำนวนน้อย ที่ใช้บริการ “Search”
คนใช้มือถือ โดยเฉพาะ iPhone ใช้สิ่งที่เรียกว่า “แอพฯ” มากกว่าอย่างอื่น
โดยเฉลี่ยแล้ว คนใช้ iPhone จะใช้เวลาวันละ 30 นาที ในการใช้ “แอพฯ”
ถ้าสมมติว่า ระบบใส่โฆษณาเข้าไปใน “แอพฯ” ทุกๆ 3 นาที วันนึงก็จะได้แสดงโฆษณาประมาณ 10 ครั้ง ต่อเครื่อง ต่อวัน
รวมเข้ากับจำนวนคนใช้ iPhone, iPod Touch รวมไปถึง iPad ด้วยแล้ว จะมีโอกาสที่โฆษณาถูกแสดงรวมๆกันถึง วันละ 1 พันล้านครั้ง
“iAd” จึงกลายเป็น “Mobile Advertising Platform” ที่มีโอกาสทางธุรกิจด้านโฆษณามหาศาล เพราะพัฒนาอยู่บน “iPhone Platform” อันทรงพลัง
สมมติฐานที่สำคัญอันหนึ่งคือ การแสดงโฆษณาในปัจจุบัน เป็นการแสดงข้อความ หรือ Banner เพื่อดึงดูดให้ผู้ใช้ “คลิก” และจะเปิดเว็บไซต์ของสินค้าและบริการ
ผู้ใช้ ไม่อยาก “คลิก” เพราะต้องถูกนำไปยังเว็บไซต์อื่นๆ จนเป็นที่รู้กันในวงการ “Online Advertising” ว่า อัตราส่วนการคลิกโฆษณา หรือ Clickthrough Rate ต่ำมากๆ

“iAd” จึงเข้ามาตอบโจทย์นี้ โดยการสร้างรูปแบบโฆษณาให้น่าสนใจและ Interactive มากขึ้น
นักพัฒนาสามารถสร้าง โฆษณาที่เป็นเหมือน “แอพฯ” ที่อยู่ใน “แอพฯ” อีกที หรือใส่ คลิป VDO ลงไปได้ด้วยเช่นกัน โดยที่ไม่ต้องเด้งไปที่เว็บไซต์ใด
ตัวอย่างเช่น
ความสามารถในการส่ง SMS , MMS จากในตัว “แอพฯ” เลย เช่น ทายผลฟุตบอล ขณะมีการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก
หรือเมื่อเราสร้างเกมขึ้นมาเกมนึง แต่อยากโฆษณาเกมอื่นๆ ที่เราพัฒนาด้วย เราสามารถใส่เกมที่เราต้องการโฆษณานั้นๆลงไปได้ทันที โดยอาจจะให้เล่นได้ซัก 1 ฉาก พอเล่นจบก็ขึ้นมาถามคนเล่นเลยว่า จ่ายเพิ่มอีก $1.99 จะได้เล่นแบบเต็มๆ
ถ้าสนใจจะซื้อ ก็นำพาไปสู่ “Click-to-Buy” จริงๆ ซึ่งลักษณะโฆษณาแบบนี้ แม้แต่บน Desktop ยังแจ้งเกิดยาก
แน่นอนว่าวิธีนี้ ย่อมดีกว่าการแสดง Banner ชักชวนให้ผู้ใช้ “คลิก” แล้วนำไปสู่เว็บไซต์เพื่อดาวน์โหลดเกมมาลองเล่นเป็นแน่
สำหรับ Business Model นั้น ทาง Apple ขอส่วนแบ่งรายได้ 40% และให้นักพัฒนาไป 60%
โดย 40% นั้น ถือว่าเป็นค่า Commission ที่เราจ่ายให้ Apple เพราะทาง Apple จะเป็นคน “ขายโฆษณา” ให้เรา รวมไปถึงหาคนมาลงโฆษณาให้ และ Apple ก็ยังช่วยโฮสต์ตัวโฆษณาให้เรา รับผิดชอบทั้งระบบ Monitor, Tracking และทำรายงานต่างๆ กลายเป็นช่องทางหนึ่งที่ให้นักพัฒนามีรายได้ นอกจากการขาย “แอพฯ” หากินแบบเดิม
นอกจากจะดึงดูด นักพัฒนาแล้ว ยังดึงดูดผู้ซื้อโฆษณาอีกด้วย
เพราะจากเดิม ผู้ซื้อโฆษณา หรือ Media Agency ต่างๆ จะซื้อโฆษณา Banner โดยการคัดเลือกเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องหรือตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
แต่ด้วย “iAd” การคัดเลือกจะเปลี่ยนเป็นจากเว็บไซต์ เป็น “แอพฯ” แทน
“iAd” จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบโฆษณาโดยมองไปที่การนำเสนอคุณค่าที่มากกว่าให้กับผู้ใช้ และเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ใช้โดยสิ้นเชิง
โดยการนำความ Interactive ของ Ads ผสมผสานกับ ความโดดเด่นของ App ที่มีอยู่มหาศาล ความสามารถอันโดดเด่นของ “iPhone OS” และความหลากหลายของอุปกรณ์ ทั้ง iPhone, iPod Touch และ iPad
ย่างก้าวนี้ของ Apple อาจจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ “Mobile Advertising”

Gartner คาดการณ์ว่า จะมียอดใช้จ่ายผ่าน App Store กว่า 6.2 พันล้านเหรียญ และยอดดาวน์โหลดทั้งหมด 4.5 พันล้านครั้ง ภายในปี 2010 นี้
และตัวเลขรายได้ดังกล่าวจะพุ่งไปอยู่ที่ 29 พันล้านเหรียญ ด้วยยอดดาวน์โหลดกว่า 21.6 พันล้านครั้ง ในปี 2013
โดยรายได้จะประกอบไปด้วย
1.ค่าซื้อแอพฯ ที่เสียเงิน คาดว่าจะสร้างรายได้ 75% จากรายได้ทั้งหมด
2.แอพฯ ฟรี ที่เป็น Advertising-sponsored คาดว่าจะสร้างรายได้ 25% จากรายได้ทั้งหมด และสัดส่วนนี้มีแนวโน้มที่จะสูงเพิ่มขึ้น เนื่องจาก Gartner คาดการณ์ว่า 80% ของแอพฯ ทั้งหมด จะให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไปใช้ฟรี

วิเคราะห์แนวโน้มของ “iAd”
Media Agency จะเริ่มเปลี่ยนจากการลงโฆษณากับเว็บไซต์ มาเป็นการลงโฆษณากับ “แอพฯ”
Advertiser จะเริ่มถามหาและอยากสร้าง “แอพฯ” สำหรับกลุ่มเป้าหมายของตัวเอง
นักพัฒนา มีรูปแบบการหารายได้มากขึ้น โดยสามารถสร้างรายได้จาก แอพเสียเงิน และแอพฯ ฟรีที่มีโฆษณา และสามารถสร้างสรรค์จินตนาการในตัวรูปแบบโฆษณาได้มากยิ่งขึ้น
นักพัฒนาจะแข่งกันสร้างสรรค์แอพฯ ดีๆ ออกมามากขึ้น เพื่อดึงดูดสายตาของ Advertiser
ผู้ใช้ จะให้ความสนใจในโฆษณามากขึ้น เพราะเป็น Interactive และได้รับคุณค่าตอบแทนกลับมา มากกว่าระบบโฆษณาออนไลน์แบบเดิมๆ
ผู้ใช้จะแย่งและขยันดาวน์โหลดแอพฯ มากขึ้น เพื่อจะได้ดูโฆษณาที่มีความคิดสร้างสรรค์สูง

บทความโดย วรวิสุทธิ์ ภิญโญยาง ที่ปรึกษาด้านการตลาดบน Social Media และเป็นผู้ก่อตั้งเว็บ MKTtwit.com และ AppReview.in.th