United Airlines เตรียมปลดพนักงาน 3.6 หมื่นคน หลังเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯ ใกล้หมด

Photo : Shutterstock

มรสุม COVID-19 กระหน่ำธุรกิจการบินไม่หยุด ล่าสุดสายการบินยักษ์ใหญ่เเห่งอเมริกาอย่าง United Airlines เตรียมเลิกจ้างงาน  36,000 ตำเเหน่ง นับเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของพนักงานทั้งหมดในสหรัฐฯ พร้อมกับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล 5,000 ล้านเหรียญ เพื่อจ่ายค่าจ้างภายใต้กฎหมาย CARES Act ที่กำลังจะหมดลงในวันที่ 1 ..นี้

United Airlines แจ้งต่อพนักงานจำนวน 36,000 คนว่า พวกเขาอาจตกงาน หลังวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งคิดเป็นประมาณ 45% ของพนักงานทั้งหมดที่ทำงานในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังไม่เเน่นอนขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเเละจำนวนพนักงานที่ยอมรับข้อเสนออื่นๆ

ความต้องการเดินทางโดยเครื่องบินในสหรัฐฯ ยังชะลอตัวเเละจำนวนผู้โดยสารเครื่องบินลดฮวบลงถึง 75% เมื่อเทียบกับเดือนก..ปีที่เเล้ว ซึ่งเป็นผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งเเต่ต้นปีที่ผ่านมา

เเม้ดีมานด์จะกระเตื้องขึ้นในช่วงวันหยุดฉลองวันชาติสหรัฐฯ เเต่ก็เป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อไวรัสยังพุ่งต่อเนื่อง อาจทำให้ยอดการจองตั๋วเครื่องบินลดลงอีก เเละการยกเลิกตั๋วก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ผู้บริหาร United Airlines ระบุว่า การระบาดของ COVID-19 เป็นวิกฤตที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของสายการบิน โดยบริษัทมีแผนลดต้นทุนและระดมเงินทุนเพิ่ม เพื่อพยุงธุรกิจ ซึ่งทางสายการบินยังคงต้องเเบกรับค่าใช้จ่ายต่างๆ เเละต้องสูญเงินถึง 40 ล้านเหรียญต่อวัน

ด้วยความจำเป็นจึงต้องมีการปลดพนักงานราว 36,000 ราย ในจำนวนนี้เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน 15,000 ราย นักบิน 2,250 ราย พนักงานฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ดูแลลูกค้า 11,000 ราย และช่างซ่อมบำรุงอีก 5,500 ราย

ขณะที่เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯ จำนวน 5,000 ล้านเหรียญ สำหรับจ่ายค่าจ้างภายใต้กฎหมาย CARES Act ก็กำลังจะหมดลงในวันที่ 1 ..นี้ เช่นกัน โดยสายการบินต่างๆ และสหภาพแรงงาน กำลังขอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มอีก 25,000 ล้านเหรียญ เพื่อป้องกันการปลดพนักงานเเละประคองธุรกิจสายการบิน

การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำให้การเดินทางทางอากาศลดลงถึง 95% สายการบินทั่วโลก รวมถึงบริษัทผู้ผลิตเครื่องบิน ทยอยปลดพนักงานเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย หลายสายการบินถึงขั้นยื่นล้มละลายเพื่อขอฟื้นฟูกิจการในช่วงนี้

 

ที่มา : NPR , BBC