“ฉีดวัคซีน” แล้วเข้าได้! “ไอซ์แลนด์” ประเทศแรกของ EU ที่เปิดประตูรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก

แสงออโรร่าเหนือภูเขาเคิร์กจูเฟล ประเทศไอซ์แลนด์
ข่าวดีสำหรับคนอยากล่าแสงเหนือ เพราะประเทศ “ไอซ์แลนด์” เป็นประเทศแรกในสหภาพยุโรป (EU) ที่เปิดรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก หากผ่านการฉีดวัคซีนครบโดสเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องมีใบรับรองที่ออกโดย EU หรือองค์การอนามัยโลก (WHO) แล้วเท่านั้น ซึ่งปัจจุบัน WHO ยังไม่ให้การรับรองวัคซีนที่ผลิตโดยจีนและรัสเซีย

ไอซ์แลนด์เป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่เปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก หากได้รับวัคซีนครบโดสเรียบร้อยแล้วสามารถเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องตรวจหาเชื้อ COVID-19 และกักตัว และนับเป็นประเทศแรกของสหภาพยุโรป (EU) ที่เปิดประตูกว้างขึ้น พร้อมต้อนรับชาวโลก

นโยบายเปิดประตูรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกของไอซ์แลนด์เริ่มแล้วตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2021 โดยเว็บไซต์ Schengenvisainfo ระบุว่า ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของไอซ์แลนด์จะยอมรับใบรับรองการฉีดวัคซีนเพื่อเข้าสู่ไอซ์แลนด์ใน 3 กรณีนี้

– ใบรับรองการเข้ารับการฉีดวัคซีนโดย EU หรือ EEA
– ใบรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า WHO ได้ตรวจสอบและรับรองวัคซีนที่ใช้ฉีดในใบรับรองการฉีดวัคซีนของบุคคลนั้นแล้ว
– ใบรับรองว่าบุคคลนั้นเคยมีเชื้อโรค COVID-19 ในร่างกาย โดยต้องสอดคล้องกับคุณสมบัติที่ “หัวหน้านักระบาดวิทยา” ของประเทศกำหนดไว้ (กรณีนี้คือตรวจสอบแล้วว่า บุคคลนั้นสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นเองหลังจากผ่านการติดเชื้อมาก่อน)

ข้อบังคับเหล่านี้ทำให้ต้องไปพลิกลิสต์วัคซีนที่ได้รับการรับรองแล้วจาก WHO พบว่า ปัจจุบันวัคซีนที่ WHO รับรองแล้วยังไม่ได้รวมถึงวัคซีนที่ผลิตโดยประเทศจีนและรัสเซีย นั่นหมายความว่า คนที่ได้รับวัคซีนแล้วแต่เป็นวัคซีนจีนหรือรัสเซียจะยังไม่สามารถเข้าประเทศไอซ์แลนด์ได้ ซึ่งทำให้การเปิดประเทศของไอซ์แลนด์มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหมือนกันว่ากำลังกีดกันคนบางกลุ่มอยู่หรือไม่

ธารน้ำแข็ง “สกาฟตาเฟล” แหล่งท่องเที่ยวใน “ไอซ์แลนด์”

ที่จริงแล้ว ภาคธุรกิจท่องเที่ยวถือเป็นสัดส่วนน้อยในจีดีพีของประเทศไอซ์แลนด์ โดยคิดเป็นเพียง 3.5% ของจีดีพีประเทศเมื่อปี 2019 อย่างไรก็ตาม กลุ่มนักท่องเที่ยวสำคัญของไอซ์แลนด์คือสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันราว 41% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด

ดังนั้น เมื่อคนอังกฤษและคนอเมริกันคือหนึ่งในกลุ่มชนชาติที่ได้รับวัคซีนแล้วเป็นจำนวนมาก และเป็นสัดส่วนที่มากยิ่งกว่าค่าเฉลี่ยของประชาชน EU ด้วยซ้ำ ทำให้การตัดสินใจเปิดประตูรับนักเดินทางที่ฉีดวัคซีนแล้วมีความเหมาะสม

 

“กรีซ” จ่อประเทศถัดไป

ขณะที่ EU ยังหารือเพื่อทำระบบวัคซีน พาสปอร์ตร่วมให้ประชาชนใน EU ที่รับวัคซีนแล้วเดินทางได้อิสระในเขต EU โดยวางแผนจะเริ่มใช้ได้ราวกลางเดือนพฤษภาคม ประเทศกรีซได้ขยับไปเร็วกว่าแล้วเพื่อจะเปิดประเทศให้เร็วที่สุด ให้ทันช่วงฤดูใบไม้ผลิที่จะเริ่มต้นเดือนเมษายนนี้ และหน้าไฮซีซันของกรีซซึ่งจะเริ่มในเดือนพฤษภาคม

โดยกรีซมีการเจรจาโครงการ “Green Pass” นำร่องกับ บางประเทศใน EU, อิสราเอล และ สหราชอาณาจักร ให้ประชาชนในประเทศเหล่านั้นที่มี ใบรับรองการฉีดวัคซีน หรือ มีใบรับรองมีภูมิคุ้มกันเนื่องจากผ่านการติดเชื้อ หรือ ผลตรวจปลอดเชื้อ COVID-19 สามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว แต่ ตม. ของกรีซจะมีการสุ่มตรวจเป็นบางราย

ซานโตรินี่ ประเทศกรีซ (Photo by Aleksandar Pasaric from Pexels)

นอกจากกลุ่มประเทศนำร่อง กรีซยังเดินหน้าเจรจาต่อเนื่องอีก 9 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ออสเตรเลีย, เซอร์เบีย, รัสเซีย, ยูเครน, จีน, UAE และ ซาอุดีอาระเบีย เพื่อจะใช้นโยบาย Green Pass แบบเดียวกัน นั่นแปลว่าประเทศกรีซจะอ้าแขนต้อนรับผู้ที่ฉีดวัคซีนจีนและรัสเซียด้วย

ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของพนักงานธุรกิจท่องเที่ยว คนทำงานโรงแรมและการท่องเที่ยวซึ่งมีกว่า 3 แสนคนทั่วประเทศจะได้รับการฉีดวัคซีนก่อนด้วย เพราะกรีซต้องการให้การธุรกิจท่องเที่ยวฟื้นตัวคิดเป็นมูลค่าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของปี 2019

สำหรับธุรกิจท่องเที่ยวไทยก็ยังต้องรอภาครัฐก่อนว่า จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวที่รับวัคซีนแล้วเข้าประเทศโดยไม่ต้องกักตัวได้เมื่อไหร่

โดยความเคลื่อนไหวล่าสุดของไทยมีการออกนโยบาย Area Hotel Quarantine คลายล็อกให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาและต้องกักตัว 14 วัน สามารถออกมาพักผ่อนในบริเวณโรงแรมที่กักตัวได้หลังพ้น 3 วันแรก และตรวจไม่พบเชื้อ COVID-19 ซึ่งจะอนุญาตเฉพาะใน 5 จังหวัดก่อน คือ เชียงใหม่, ชลบุรี (เมืองพัทยา), ภูเก็ต, กระบี่ และสุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะเต่า เกาะพะงัน) เริ่มต้นเดือนเมษายนนี้

Source: Forbes, Euronews