BAY ประเมินโควิดระลอก 3 กระทบเป็นวงกว้าง ฉุดยอดใช้จ่ายในประเทศ การบริโภคเอกชน ‘หดตัว’ ในไตรมาส 2 นักท่องเที่ยวยังอยู่ในระดับต่ำมาก ได้อานิสงส์ส่งออกโต 19.1% ช่วยพยุงเศรษฐกิจ จับตาสัญญาณการผลิตโลกปรับดีขึ้นสูงสุดในรอบ 11 ปี
วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เผยมุมมองต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยถึงผลกระทบจากการเเพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่สามว่า ได้ฉุดการใช้จ่ายในประเทศเดือนเมษายนให้อ่อนแอลง แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงทรงตัว โดยมีแรงหนุนจากภาคส่งออก
โดยดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนเมษายนกลับมาหดตัว จากเดือนก่อน (-4.3% MoM sa) ตามการ ‘ลดลงในทุกหมวดการใช้จ่าย’
“มาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดขึ้น กระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นลดลง แม้มาตรการภาครัฐจะช่วยพยุงกำลังซื้อภาคครัวเรือนได้บ้าง”
ส่วนดัชนีการลงทุนภาคเอกชน หดตัวลงจากเดือนก่อนเช่นกัน (-3.1%) ตามการลดลงในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์สอดคล้องกับความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ปรับลดลงในทุกหมวด
ขณะที่ภาคท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังอยู่ใน ’ระดับต่ำมาก’ จากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศที่ยังมีอยู่และการท่องเที่ยวในประเทศยังถูกกดดันจากการระบาดรอบใหม่
อย่างไรก็ดี มูลค่าภาคส่งออกยังขยายตัวดีต่อเนื่อง (19.1% YoY) และเมื่อหักการส่งออกทองคำ มูลค่าส่งออกจะยิ่งเติบโตสูงถึง 37% อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ทำให้การส่งออกปรับดีขึ้นในหลายหมวดสินค้า และช่วยพยุงให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมทรงตัวจากเดือนก่อน
ช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ กิจกรรมเศรษฐกิจของไทย ได้รับผลกระทบที่ ‘กระจายเป็นวงกว้าง’ ไปทั่วประเทศและมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมเกินแสนคน ส่งผลให้การใช้จ่ายในประเทศมีแนวโน้มอ่อนแอลง
“ผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจอาจไม่รุนแรงเท่ากับการระบาดรอบแรก เพราะภาคส่งออกในปีนี้ยังมีทิศทางขยายตัวดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก”
ส่งออก ‘เติบโตดี’ ประคองเศรษฐกิจไทย
ล่าสุด สัญญาณภาคการผลิตของโลกเดือนพฤษภาคม ปรับดีขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับสูงสุดในรอบ 11 ปี โดยการส่งออกและการผลิตอุตสาหกรรมที่ปรับดีขึ้นกระจายในหลายสาขา นับเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนี้
สำหรับข้อมูลสินค้าส่งออกสูงสุด 20 อันดับแรกของไทย (คิดเป็นสัดส่วน 64.5% ของมูลค่าส่งออกรวม) มีสินค้า 14 รายการ (สัดส่วน 42.3%) ที่มีมูลค่าส่งออกในเดือนล่าสุดอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนเกิดการระบาด (ไตรมาส 4/2562) เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง ยางพารา ผลิตภัณฑ์เคมี เม็ดพลาสติก ฯลฯ
เช่นเดียวกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมในสาขาที่เกี่ยวข้องกับภาคส่งออกมีการปรับดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการระบาดอย่างชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ
คาดครึ่งปีหลัง อัตราเงินเฟ้อ ‘ลดลง’
ด้านมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐบาล มีส่วนช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคม คาดว่าครึ่งปีหลังมีแนวโน้มทยอยชะลอตัวลง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 2.44% YoY ชะลอลงจาก 3.41% ในเดือนเมษายน
อันเป็นผลมาจากมาตรการภาครัฐในการปรับลดค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปี รวมทั้งการลดลงของราคาในกลุ่มอาหารสด เนื่องจากการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างของโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลให้มีการปิดตลาดและสถานประกอบการหลายแห่ง ทำให้กำลังซื้อและปริมาณการบริโภคชะลอตัว
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (+36.49%) ตามการสูงขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก เเละอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) เดือนพฤษภาคมสะท้อนอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอลง โดยลดลงอยู่ที่ -0.11% MoM จากเดือนเมษายนที่ +0.14% ปัจจัยชั่วคราวจากผลของฐานที่ต่ำในปีก่อน รวมถึงราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น หนุนให้อัตราเงินเฟ้อในเดือนเมษายนและพฤษภาคมค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี
อย่างไรก็ตาม ผลของมาตรการภาครัฐที่ช่วยลดค่าครองชีพชั่วคราว (เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน) ช่วยทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปค่อยๆ ทยอยลดลง
สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง เมื่อผลของฐานต่ำในปีก่อนหมดลง คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงอย่างชัดเจน แต่คาดว่าจะไม่ติดลบหรือต่ำมากเท่าช่วงต้นปี เนื่องจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ จากความคืบหน้าของการฉีดวัคซีน ผนวกกับได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้จะอยู่ที่ 1.1%
กระจายวัคซีนเร็ว ดันเศรษฐกิจโลก
เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดแรงงาน ที่ปรับตัวดีขึ้นตามการทยอยเปิดดำเนินกิจกรรมการผลิต โดยประธานสาขาเฟดบางท่านเรียกร้องให้เฟดเริ่มหารือเกี่ยวกับแผนการลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE Tapering) ว่าจะดำเนินการอย่างไรและเมื่อใด วิจัยกรุงศรีมองว่า เฟดจะยังคงดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำต่อไป
เศรษฐกิจจีน มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี โดยคาดว่าจะกระจายไปยังฐานที่กว้างขึ้น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวมภาคการผลิตและบริการเดือนพฤษภาคมของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนแตะระดับ 54.2 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนซึ่งอยู่ที่ 53.8 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีฯ นอกภาคการผลิตที่แตะระดับ 55.2 สูงสุดในรอบ 2 เดือน แม้ว่าดัชนีฯ ภาคการผลิตปรับตัวลงสู่ระดับ 51.0 ต่ำสุดในรอบ 3 เดือน
เศรษฐกิจจีนยังคงฟื้นตัวต่อไปสะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวมฯ ที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 (ค่าดัชนี > 50) แม้ดัชนีฯ ภาคการผลิตจะปรับตัวลงเนื่องจากปัจจัยชั่วคราวจากการขาดแคลนวัตถุดิบและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ดัชนีฯ นอกภาคการผลิตฟื้นตัวตามการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่ การปรับตัวดีขึ้นของภาคเศรษฐกิจที่นอกเหนือจากด้านการผลิตบ่งชี้ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในระยะต่อไปมีแนวโน้มกระจายตัวมากขึ้น
- ไม่ง้อ! ‘ออสเตรเลีย’ ได้ ‘อินเดีย’ ตลาดส่งออกใหม่หลังถูก ‘จีน’ กีดกัน
- เปลี่ยน “โรงแรม” เป็น “โรงหนัง” ส่วนตัวแบบ VIP เทรนด์ท่องเที่ยวมาแรงในจีน
“แม้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากแรงส่งในภาคการผลิต การค้า รวมถึงการเริ่มกลับมาใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่ยังเผชิญความไม่แน่นอน”
- ความรวดเร็วในการกระจายวัคซีนที่ต่างกันในหลายประเทศ เเละความเสี่ยงจากการระบาดระลอกใหม่รวมทั้งการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส
- การฟื้นตัวยังไม่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะประเทศที่ต้องพึ่งพาภาคท่องเที่ยวอาจปรับตัวช้ากว่า
- แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ จากปัจจัยชั่วคราวทั้งฐานต่ำในปีก่อนและต้นทุนที่สูงขึ้น จากการขาดแคลนวัตถุดิบ รวมถึงการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นมีผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นและอาจกระทบต้นทุนทางการเงิน
- การฟื้นตัวของภาคการผลิตที่ถูกจำกัด โดยปัญหาการชะงักงันและสภาพคอขวดในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งอาจกลายเป็นความเสี่ยงที่กดดันการเติบโตให้ต่ำกว่าศักยภาพ และส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวโดยภาพรวมของโลก