“เอพี” ครึ่งปีหลัง 2564 ลุยเปิด 26 โครงการ ฟื้นแบรนด์ “บ้านกลางกรุง” รุกคอนโดฯ สายสีม่วง

  • เอพีเปิดข้อมูลตลาดอสังหาฯ 4 เดือนแรกปี 2564 ยังหดตัวทั้งซัพพลายใหม่และยอดโอน อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถฝ่ากระแสได้ โดยเอพีทำยอดขายครึ่งปีแรกเติบโต 18% YoY และยอดโอนคาดว่าจะเติบโตจากปีก่อนเล็กน้อยไปแตะ 20,000 ล้านบาท
  • ครึ่งปีหลังโหมเปิด 26 โครงการใหม่ตามแผน แม้มีการระบาดของ COVID-19 ระลอก 3 เชื่อทั้งตลาดมองคล้ายกัน เนื่องจากหลายบริษัท ‘อั้น’ เปิดโครงการใหม่มานาน
  • ในกลุ่มโครงการใหม่ที่จะเปิดตัว เอพีเตรียมฟื้นแบรนด์ “บ้านกลางกรุง” กลับมาอีกครั้งที่สาธุประดิษฐ์-พระราม 3 และใช้แบรนด์ “แอสปาย” กลับไปรุกทำเลคอนโดฯ สายสีม่วง

“วิทการ จันทวิมล” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี ไทยแลนด์ เปิดข้อมูลตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2564 พบมีซัพพลายเปิดใหม่ประมาณ 13,000 ยูนิต ซึ่งลดลง -35% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ยอดโอนกรรมสิทธิ์ลดลง -22% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน

เห็นได้ว่าตลาดยังคงหดตัวทั้งอุปทานและอุปสงค์ แต่อุปสงค์ลดลงน้อยกว่า เป็นสัญญาณที่ดีว่ามีการเคลียร์สต๊อกเก่าออกไป เพราะมีการเปิดใหม่น้อยลง

สำหรับการดำเนินงานของเอพีครึ่งปีแรก 2564 ทำยอดขายรวม 17,817 ล้านบาท เติบโต 18.1% YoY โดยยอดขาย 90% มาจากโครงการแนวราบ และเป็นการขายโครงการเดิมที่มีในตลาดเป็นส่วนใหญ่ เพราะครึ่งปีแรกเอพีมีการเปิดตัวใหม่เพียง 5 โครงการ และเปิดในช่วงปลายไตรมาส 2

ส่วนยอดโอนกรรมสิทธิ์ วิทการคาดว่าบริษัทจะทำยอดโอนครึ่งปีได้มากกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนหน้าทำได้ 19,959 ล้านบาท สวนทางกับสภาวะตลาด

 

ครึ่งปีหลังเปิด 26 โครงการใหม่

ด้านการเปิดตัวโครงการใหม่ ครึ่งปีหลังจะเปิดตัว 26 โครงการ มูลค่ารวม 33,440 ล้านบาท แบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัย ดังนี้

  • บ้านเดี่ยว 10 โครงการ มูลค่ารวม 13,310 ล้านบาท
  • ทาวน์เฮาส์ 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,130 ล้านบาท
  • คอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท

แม้ว่าสถานการณ์ COVID-19 จะรุนแรงขึ้น แต่เอพียังเดินหน้าตามแผน เนื่องจากพบว่าในช่วงการระบาดระลอก 3 เริ่มขึ้น ยอดเข้าเยี่ยมชมไซต์อ่านสะดุดไปบ้างช่วงเดือนเมษายน แต่หลังจากนั้นในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ยอดเยี่ยมชมกลับมาเป็นปกติเท่ากับหรือมากกว่าไตรมาส 1/64

นอกจากนี้ วิทการยังมองว่าตลาดอสังหาฯ น่าจะไปในทางเดียวกันคือกลับมาลุยเปิดโครงการใหม่กันอีกครั้ง หลังจากปีที่แล้วหลายบริษัทชะลอโครงการเป็นจำนวนมาก

“เราคิดว่าตลาดน่าจะเหมือนเราคืออั้นไม่ได้แล้ว อย่างเราเองครึ่งปีแรกเปิดแค่ 5 โครงการ ซัพพลายที่มีเริ่มน้อยลง ก็ต้องเปิดใหม่และต้องโหมทำการตลาด” วิทการกล่าว

อย่างไรก็ตาม วิทการยืนยันว่าเอพีจะทำธุรกิจอย่าง ‘ระมัดระวัง’ เพราะสถานการณ์ยังไม่แน่นอน เช่น โครงการแนวราบ จะมีการทยอยสร้างสต็อกใหม่ให้พอดีกับยอดขาย ส่วนโครงการแนวสูงที่จะเปิดเป็นโครงการที่มั่นใจในทำเลและราคาเปิดตัว

 

ปลุกแบรนด์ “บ้านกลางกรุง” – กลับไปลุยสายสีม่วง

ไฮไลต์โครงการเอพีที่จะเปิดครึ่งปีหลังคือ เอพีจะนำแบรนด์ “บ้านกลางกรุง” กลับมาเปิดตัวอีกครั้งในทำเล สาธุประดิษฐ์-พระราม 3 โดยเป็นบ้านเดี่ยว 2-3 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 217-310 ตร.ม. จำนวนเพียง 13 ยูนิต ยังไม่เปิดราคาแน่ชัด แต่แบรนด์นี้จะอยู่ในเซ็กเมนต์ราคา 35 ล้านบาทขึ้นไป

บ้านกลางกรุง สาธุประดิษฐ์-พระราม 3 เปิดตัวเดือนกันยายน 2564

อีกไฮไลต์หนึ่งคือการเปิดตัวคอนโดฯ แบรนด์ “แอสปาย” ซึ่งเป็นแบรนด์ในตลาดเซ็กเมนต์ 1.5-2 ล้านบาท มี 2 ทำเลเปิดตัวคือ แอสปาย รัตนาธิเบศร์-เวสตัน (MRT สถานีบางกระสอ) มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท จำนวน 854 ยูนิต และ แอสปาย ปิ่นเกล้า-อรุณอัมรินทร์ มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท จำนวน 396 ยูนิต ยังไม่เปิดเผยราคา แต่วิทการระบุว่าจะอยู่ในช่วง 60,000-100,000 บาทต่อตร.ม.

ที่ผ่านมา คอนโดฯ แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน-บางใหญ่) ถือเป็นทำเลปราบเซียนที่มีห้องชุดเหลือขายจำนวนมากมาตั้งแต่ปี 2560 ทำให้การกลับไปเปิดคอนโดฯ ใหม่ในทำเลนี้ของเอพีน่าสนใจ “คนเลิกเล่นตลาดนี้ไปนานพอสมควร ถ้าเราขยับเข้าไปก่อนเป็นคนแรกน่าจะเป็นจังหวะที่ดี” วิทการกล่าวสั้นๆ ถึงการตัดสินใจ ทั้งนี้ เอพีมีคอนโดฯ ที่ยังอยู่ระหว่างขายในทำเลนี้คือ แอสปาย รัตนาธิเบศร์ 2 บริเวณสถานี MRT ศูนย์ราชการนนทบุรี

คอนโดฯ เอพีที่จะเปิดครึ่งปีหลัง 2564

ส่วนคอนโดฯ แบรนด์อื่นอีก 2 โครงการที่จะเปิดครึ่งปีหลังเช่นกันคือ ไลฟ์ พระราม 4-อโศก มูลค่า 6,700 ล้านบาท จำนวน 1,237 ยูนิต และ ไลฟ์ ลาดพร้าว สเตชั่น มูลค่า 3,500 ล้านบาท จำนวน 636 ยูนิต ยังไม่เปิดเผยราคาเช่นกัน แต่วิทการระบุคร่าวๆ ว่าอยู่ในช่วง 140,000-150,000 บาทต่อตร.ม.

 

มั่นใจกลุ่มเป้าหมายยังมีกำลังซื้อ

ภาพรวมครึ่งปีหลัง วิทการมองว่าแม้สถานการณ์ยังต้องเตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลา แต่ในแง่กำลังซื้อ ยังมั่นใจว่าตลาดอสังหาฯ ยังไปได้ เพราะตัวเลขอัตราว่างงานที่สูงขึ้นนั้นส่วนใหญ่มาจากกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ขณะที่กลุ่มพนักงานออฟฟิศซึ่งเป็นเป้าหมายหลักยังคงมีรายได้

ขณะนี้อัตรายกเลิกการจองและอัตราปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าเอพีรวมกันอยู่ในระดับ 20-25% มองว่ายังอยู่ในระดับที่รับได้ และคงไม่มากไปกว่านี้แล้ว เพราะธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อบ้านอย่างมากมาตลอดอยู่แล้ว

“ตอนนี้ประเทศไทยเหมือนสหรัฐอเมริกาช่วงไตรมาส 3-4 ของปีที่แล้ว ที่มีการระบาดหนักและยังไม่มีวัคซีนเพียงพอ แต่เมื่อไหร่ที่เรามีการฉีดวัคซีนจำนวนมาก เราจะกลับมาเป็นปกติเหมือนอเมริกาตอนนี้ หากเป็นไปตามแผนของภาครัฐก็น่าจะเป็นต้นปี 2565 คนจะกลับมาใช้ชีวิตกันได้ปกติ และเศรษฐกิจจะฟื้นกลับมา” วิทการกล่าวปิดท้าย