หลังจากที่ไทยได้รับริจาควัคซีนป้องกันโควิด-19 ไฟเซอร์ (Pfizer) จำนวน 1.5 ล้านโดส จากรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม (เเละคาดว่าจะได้รับเพิ่มอีก 1 ล้านโดสเป็น 2.5 ล้านโดส) นั้น
ต่อมา กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการจัดสรรและส่งมอบวัคซีนไฟเซอร์ไปตามโรงพยาบาลต่างๆ ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ให้ ‘กลุ่มเเรก’ คือบุคลากรทางการแพทย์ ‘ด่านหน้า’ ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับภารกิจดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ทั่วประเทศ จำนวน 700,000 โดส
อ่าน: เปิดไทม์ไลน์ วัคซีน ‘ไฟเซอร์’ จากสหรัฐฯ 1.5 ล้านโดส จะนำไปฉีดใครบ้าง ?
ล่าสุด วันนี้ (13 ส.ค.) หลายโรงพยาบาล ได้เปิดให้ประชาชนคนไทย ‘กลุ่มที่ 2’ ซึ่งเป็นผู้มี ‘ภาวะเสี่ยงสูง’ ครอบคลุมเด็กที่ป่วย 7 โรคเสี่ยง หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคอ้วน ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนโควิดเลย เข้าลงทะเบียนรับวัคซีน ‘ไฟเซอร์’ ได้ฟรี จำนวน 645,000 โดส
#บุคคลกลุ่มเสี่ยงที่มีสิทธิ์ได้รับวัคซีนไฟเซอร์
1. กลุ่มอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป และเป็นโรคเรื้อรัง 7 โรค ได้เเก่
– โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง
– โรคหัวใจและหลอดเลือด
– โรคไตเรื้อรัง
– โรคหลอดเลือดสมอง
– โรคมะเร็งที่อยู่ระหว่างเคมีบำบัด รังสีบำบัด ภูมิคุ้มกันบำบัด
– โรคเบาหวาน
– โรคอ้วน
2. กลุ่มสตรีมีครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป
3. กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป
หลักฐานที่ต้องใช้ในการฉีดวัคซีนโควิด ได้เเก่
-บัตรประชาชน
-ใบแสดงหลักฐานว่าเป็นโรคเรื้อรัง (กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ใช้เฉพาะบัตรประชาชน)
“โดยต้องไม่เคยได้รับวัคซีนโควิดใดๆ เข็มแรกมาก่อน วันเเละเวลา ข้อกำหนดเรื่องภูมิลำเนา เป็นไปตามที่ทางรพ.กำหนด เเละต้องลงทะเบียนตามช่องทางติดต่อของโรงพยาบาลนั้นๆ” (ดูรายละเอียดที่รูป)
ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มต่อไปที่จะมีการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับบริจาคมาจากสหรัฐฯ คือ ‘กลุ่มที่ 3’ ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย ที่เป็นผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป เเละผู้สูงอายุ รวมถึงนักเรียน นักศึกษา นักการทูต นักกีฬา ที่มีกำหนดเดินทางไปศึกษาหรือแข่งขันกีฬาในต่างประเทศ จำนวน 150,000 โดส
.
โดยชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศไทย ทุกกลุ่มอายุ และทุกจังหวัดของประเทศ สามารถลงทะเบียนได้ที่ เว็บไซต์กรมการกงสุล https://expatvac.consular.go.th/ เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็น ‘เข็มแรก’ ได้เเล้ว
นอกจากนี้ ยังมี ‘กลุ่มที่ 4’ ที่จัดสรรจัดไว้เพื่อทำการศึกษาวิจัย (ได้รับการอนุมัติโดยคณะกรรมการวิจัยจริยธรรม) อีก 5,000 โดส