“พฤกษา” มองครึ่งปีหลัง’64 ตลาดรวมชะลอลง ประเมินกลุ่ม “บน” กับ “กลางล่าง” ขายดี

  • “พฤกษา” รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 ของบริษัท ยอดขายโต 48% YoY ชิงส่วนแบ่งการตลาดกลับมาอยู่ที่ 8.9% ใกล้เคียงกับ 3 ปีก่อนแล้ว
  • ตลาดรวมครึ่งปีแรกไปได้ดีเติบโต 16% YoY แต่ครึ่งปีหลังคาดว่าจะโตเพียง 5% YoY หลังจากเผชิญวิกฤต COVID-19 ระลอกใหม่ อย่างไรก็ตาม พฤกษาไม่ปรับลดเป้า เชื่อว่ายังเป็นไปตามแผน แคมป์คนงานกลับมาเข้าไซต์ก่อสร้างได้
  • เซ็กเมนต์ที่พฤกษาจะเปิดตัวมากและเชื่อว่าจะขายดี คือ กลุ่มบ้านเดี่ยวราคา 5-20 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ซื้อเป็นกลุ่มบน เศรษฐกิจไม่กระทบมากนัก และทาวน์เฮาส์-คอนโดฯ ราคา 1.5-3 ล้านบาท เป็นตลาดกลางล่างที่ลดงบซื้อบ้านลงมาจากตลาดกลาง

“ปิยะ ประยงค์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 ของบริษัท เป็นไปในทางบวก ทำยอดขาย 14,165 ล้านบาท เติบโต 48% YoY รายได้ 13,222 ล้านบาท ลดลง -1% YoY และกำไรสุทธิ 1,034 ล้านบาท ลดลง -23% YoY

แม้ว่ารายได้และกำไรจะลดลง แต่ปิยะอธิบายว่าเกิดจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม ขณะที่ปีนี้จะมีการโอนคอนโดฯ 7 โครงการในช่วงครึ่งปีหลัง

พฤกษาเน้นด้านการทำยอดขายใหม่ที่เห็นได้ว่าเติบโตขึ้นมาก และยังทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดกรุงเทพฯ-ปริมณฑลช่วงครึ่งปีแรกเพิ่มเป็น 8.9% เทียบกับเมื่อปี 2561 ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 9.4% ถือว่าใกล้เคียงกัน ปิยะมองว่าผลงานนี้ทำให้พฤกษา “กลับสู่จุดที่เราควรจะเป็น” หลังจากบริษัทเสียมาร์เก็ตแชร์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 ลงไปสู่จุดต่ำสุดเมื่อปี 2563 ที่เหลือส่วนแบ่งการตลาดอยู่ 7.6% เท่านั้น

 

ตลาดรวมครึ่งปีหลังน่าจะชะลอลง

สำหรับภาพตลาดอสังหาฯ โดยรวม ปิยะเปิดข้อมูลวิเคราะห์ตลาดกรุงเทพฯ-ปริมณฑลครึ่งปีแรก 2564 มีมูลค่าตลาดรวม 1.49 แสนล้านบาท เติบโต 16% YoY

แต่จะเห็นได้ว่าสินค้าที่เติบโตได้ดีที่สุดคือ “บ้านเดี่ยว” มูลค่าตลาด 62,700 ล้านบาท เติบโตถึง 36% YoY โดยมองว่าเกิดจากสถานการณ์ล็อกดาวน์ทำให้ผู้บริโภครับทราบถึงความสำคัญของ “พื้นที่” ในบ้านมาตั้งแต่ปีก่อน จึงต้องการที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ขึ้น

ส่วนครึ่งปีหลังนี้ ปิยะคาดการณ์ว่าตลาดน่าจะโตเพียง 5% YoY ลดการเติบโตลงจากช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากสถานการณ์การระบาดที่ยังไม่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม พฤกษายังเดินตามแผนที่วางไว้ โดยจะเปิดโครงการเพิ่มอีก 15 โครงการ มูลค่ารวม 17,800 ล้านบาท เชื่อว่าบริษัทยังทำยอดขายได้แม้อยู่ท่ามกลางล็อกดาวน์ เพราะปรับตัวไปใช้ระบบดิจิทัลทำการตลาดและขายตั้งแต่ปีก่อน จนขณะนี้มียอดขายจากออนไลน์ขึ้นเป็น 57% ของยอดขายรวมแล้ว

คอนโดฯ ที่จะโอนช่วงครึ่งปีหลัง 2564 ของพฤกษา อยู่ในช่วงเร่งงานก่อสร้าง หลังจากแคมป์คนงานถูกปิด 1 เดือน

ด้านปัญหาแคมป์คนงานก่อสร้างซึ่งถูกสั่งปิดไป 1 เดือน ปัจจุบันสามารถกลับมาเข้าไซต์ก่อสร้างได้แล้ว โดยผู้รับเหมาของพฤกษามีจำนวนแรงงานรวมกันกว่า 8,000 คน ขณะนี้มีแรงงานที่รับวัคซีนแล้ว 40% ส่วนที่เหลือกำลังรอคิวฉีดวัคซีน

ทั้งนี้ แคมป์คนงานทั้งหมดจัดทำมาตรการ Bubble & Seal ตามมาตรการรัฐแล้ว และบริษัทให้ผู้รับเหมาทำงานล่วงเวลาเพื่อเร่งงานให้ทันกำหนด โดยเฉพาะคอนโดฯ 2 โครงการที่ต้องการโอนให้ทันในปีนี้ คือ พลัม คอนโด สุขุมวิท 97.1 และ เดอะ ทรี พัฒนาการ-เอกมัย

 

จับตลาด “บน” หรือ “กลางล่าง”

เศรษฐกิจชะลอตัวลง แต่คนยังต้องการที่อยู่อาศัย เพียงแต่ต้องเข้าให้ถูกกลุ่ม ปิยะวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดขณะนี้ว่า  มีกลุ่มที่ยังขายดีคือ “บ้านเดี่ยว” ราคา 5-20 ล้านบาท ซึ่งผู้ซื้อมีรายได้ดีและกระทบจากเศรษฐกิจน้อย และต้องเน้นเป็นบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่กว้างขวาง

อีกกลุ่มหนึ่งคือ “ทาวน์เฮาส์และคอนโดฯ” ราคา 1.5-3 ล้านบาท เจาะตลาดคนรายได้ 20,000-50,000 บาทต่อเดือน ที่กลุ่มนี้ขายดีกว่าทาวน์เฮาส์ระดับกลางราคา 3-5 ล้านบาท เพราะผู้บริโภคบางส่วนกังวลด้านเศรษฐกิจและลดงบซื้อบ้านลงมาเป็นทาวน์เฮาส์ราคา 2-3 ล้าน

ตัวอย่างโครงการที่จะเปิดปีนี้ พฤกษา วิลล์ บางนา-อ่อนนุช ราคา 2-3 ล้านบาท

แต่กลุ่มที่เรียกว่า “ขายยาก” คือตลาดล่าง ทาวน์เฮาส์หรือคอนโดฯ ราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทจะขายผู้ซื้ออยู่เองยากเพราะปัญหากู้ไม่ผ่านของผู้ซื้อ ยกเว้นเป็นทำเลที่ขายให้กับกลุ่มนักลงทุนปล่อยเช่าได้

ช่วงครึ่งปีหลัง 2564 ตัวอย่างโครงการพฤกษาที่จะเปิดขาย เช่น เดอะ ปาล์ม บางนา-วงแหวน บ้านเดี่ยวราคา 10-20 ล้านบาท, เดอะ แพลนท์ บางนา-วงแหวน บ้านเดี่ยวราคา 4-7 ล้านบาท, พฤกษา วิลล์ บางนา-อ่อนนุช ราคา 2-3 ล้านบาท, บ้านพฤกษา รังสิต-อเวนิว (2) ราคา 1.5-2 ล้านบาท, พลัม คอนโด พระราม 2 ราคา 1-3 ล้านบาท, พลัม คอนโด แจ้งวัฒนะ-ดอนเมือง ราคา 1-3 ล้านบาท