ไม่ใช่แค่แบรนด์ดั้งเดิมเท่านั้นที่อยู่ในตลาดนี้ บรรดาบริษัทอุปโภคบริโภค เสื้อผ้าแฟชั่น ไปจนถึงกลุ่มค้าปลีก ต่างแตกไลน์มาชิงส่วนแบ่งตลาด “เครื่องสำอาง” และ “สกินแคร์” ระดับลักชัวรี จากการเติบโตที่ทำได้ดีสวนกระแสเศรษฐกิจ
WWD รายงานการคาดการณ์ตลาดบิวตี้ปี 2021 น่าจะเติบโต 8.5% โดยเกิดจากแรงซื้อในตลาดลักชัวรีเป็นหลักมากกว่าเซ็กเมนต์อื่นๆ กลุ่มตลาดที่กำลังมาแรงนี้ ทำให้สารพัดบริษัทหันมาจับเทรนด์ ขยายสินค้าจากที่ตัวเองมีอยู่เดิม
บริษัทใหญ่รายหนึ่งที่เห็นผลสำเร็จไปแล้วคือ Unilever โดยทั้งเครือทำรายได้ครึ่งปีแรก 2021 เติบโต 5.4% อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินค้าที่เติบโตได้ดีในเครือคือ Unilever Prestige Beauty ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าสกินแคร์ เครื่องสำอาง ดูแลเส้นผม ระดับลักชัวรี สามารถเติบโตได้แบบ “ดับเบิล ดิจิต”
แบรนด์ที่อยู่ในกลุ่ม Unilever Prestige ได้แก่ Dermalogica, Living Proof, Hourglass, Murad, Kate Somerville, REN skincare และล่าสุดบริษัทเพิ่งปิดดีลซื้อสกินแคร์แบรนด์ดัง “Paula’s Choice” มาไว้ในพอร์ตสำเร็จเมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2021 โดยแบรนด์นี้มีความแข็งแรงมากในแง่การตลาดดิจิทัล เข้ากับยุคปัจจุบัน
แบรนด์แฟชั่นตบเท้าเข้าวงการ
ฝั่งสินค้าที่อยู่ในเซ็กเมนต์ระดับไฮเอนด์อยู่แล้วอย่างเสื้อผ้าแฟชั่น แต่เดิมมีแบรนด์ดังครองตลาดเครื่องสำอางและน้ำหอมอยู่แล้ว เช่น Dior, Chanel, YSL
แต่เมื่อตลาดเครื่องสำอางลักชัวรีหอมหวาน แบรนด์อื่นๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหว นับจากต้นปี 2020 ที่แบรนด์ Hermes เปิดตัวเครื่องสำอางชิ้นแรกในเครือเป็นลิปสติก 24 เฉดสี ตามด้วยปีนี้ Valentino บุกตลาดแบบเต็มตัว ด้วยการเปิดตัวเซตเครื่องสำอางแบบครบทั้งใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นรองพื้น ไฮไลต์ ลิปสติก บลัชออน ฯลฯ แบบมาทีเดียวกว่า 100 SKUs
ค้าปลีกออฟไลน์-ออนไลน์ร่วมวง
อีกหนึ่งแบรนด์ที่มีชื่อในตลาดไฮเอนด์ ห้างสรรพสินค้าสุดหรู “Harrods” ในอังกฤษ เร่งเครื่องในตลาดบิวตี้ ส่งร้าน “H Beauty” เปิดตัวแยกออกจากห้างฯ ใน 3 เมือง คือ บริสตอล, เอดินเบิร์ก และเกทส์เฮด (เมืองทางใต้ของนิวคาสเซิล) เตรียมให้บริการปีหน้า ตามแผนการกระจาย “บริการระดับลักชัวรี” ไปตามหัวเมืองท้องถิ่น
นอกจากมีสินค้าบิวตี้ให้ทดลองและจำหน่ายแล้ว ประเด็นสำคัญคือร้าน H Beauty จะให้ “ประสบการณ์” ในการมาช้อปปิ้งด้วย เพราะมีห้องทำทรีทเมนต์ใบหน้า ทำผม และบาร์เสิร์ฟแชมเปญไว้รับรอง
ขณะที่แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซก็เข้ามาจับตลาดด้วย โดยอาศัยการคอลแลปกับแบรนด์อื่น ตัวอย่างเช่น Zalando ซึ่งเป็นอี-คอมเมิร์ซยุโรปเน้นจำหน่ายสินค้าแฟชั่นไฮเอนด์อยู่แล้ว เมื่อต้องการเจาะตลาดบิวตี้จึงเข้าไปจับมือกับ Sephora นำสินค้าเครื่องอางระดับบนกว่า 300 แบรนด์จำหน่ายบนแพลตฟอร์ม
น่าสนใจว่าตลาดบิวตี้จะเข้มข้นขึ้นแค่ไหน จากเดิมที่มีผู้นำตลาดบิ๊กเนมอยู่แล้วหลายเจ้า ไม่ว่าจะเป็น Nars, Lancôme, Dior Beauty, Chanel, Laura Mercier, Charlotte Tilbury, Estée Lauder, La Prairie, La Mer ฯลฯ
Source: WundermanThompson, Yahoo Finance