มองตลาด ‘ฟู้ดเดลิเวอรี่’ ปี 65 เเตะ 7.9 หมื่นล้าน เเรงหนุน Hybrid Work รุกขยายต่างจังหวัด 

Photo : Shutterstock
ประเมินตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ไทย ปี 65 จะเติบโตในอัตราที่ชะลอลงแตะ 7.9 หมื่นล้าน หรือ 4.5% จากฐานที่สูงมากในปี 64 ยังมีเเรงหนุนจากผู้ใช้ที่ทำงานแบบ Hybrid Work เเพลตฟอร์มเร่งอัดโปรฯ ขยายตลาดชุมชน-ต่างจังหวัด ราคาหรือยอดสั่งอาหารต่อครั้งในปี 2565 คาดจะเพิ่มขึ้นแต่อยู่ในอัตราที่จำกัด ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง และกำลังซื้อของครัวเรือนที่เปราะบาง

การระบาดของโควิด-19 มาตรการจำกัดการให้บริการร้านอาหาร การทำงานเเบบ Work from Home พฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความคุ้นชินกับการใช้แอปพลิเคชันจัดส่งอาหารไปยังที่พัก และมาตรการคนละครึ่งของภาครัฐ ทำให้ทั้งปี 2564 มูลค่าตลาดของฟู้ดเดลิเวอรี่ (ฐานคำนวณใหม่ ได้รวมสินค้าในหมวดเบเกอรี่ และเครื่องดื่ม อาทิ ชา กาแฟ น้ำผลไม้ เป็นต้น) เติบโตกว่า 46.4% จากปี 2563

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินแนวโน้มตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ ในปี 2565 โดยประมวลข้อมูลจากความร่วมมือของ LINE MAN Wongnai และข้อมูลในตลาด คาดว่า ปริมาณการสั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่อาจยังเพิ่มขึ้นจากแรงหนุนด้านความต้องการของผู้ใช้บริการท่ามกลางการทำงานแบบ Hybrid Work

“กลยุทธ์การปรับตัวของผู้ประกอบการในการขยายฐานรายได้ในพื้นที่ใหม่ และฐานลูกค้าสะสมของผู้ใช้บริการทั้งฝั่งผู้บริโภคและร้านอาหารเร่งตัวขึ้นจากผลของโควิดที่ระบาดรุนแรง แต่การเพิ่มขึ้นน่าจะชะลอลงเมื่อเทียบกับปี 2564”

อานิสงส์ Hybrid Work รุกขยายต่างจังหวัด 

ทิศทางตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ปี 2565 คาดว่า จะปรับขึ้นจากการที่ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันจัดส่งอาหารไปยังที่พักจัดโปรโมชันกระตุ้นตลาดต่อเนื่อง พร้อมขยายฐานร้านค้าและกลุ่มลูกค้าใหม่ไปสู่พื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น และความคุ้นชินของผู้บริโภค

แม้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศจะคลี่คลายและภาครัฐเปิดให้มีการทำกิจกรรมต่างๆ มากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2564 อย่างไรก็ตาม การพบผู้ติดเชื้อโควิดกลายพันธุ์โอไมครอนในหลายประเทศทั่วโลก สร้างความกังวลรอบใหม่ต่อความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดอีกครั้ง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เกิดการระบาดที่รุนแรงของโควิดในประเทศอีกในปี 2565 การดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวันของประชาชนน่าจะเดินหน้าได้ต่อเนื่อง และเป็นแรงหนุนต่อธุรกิจร้านอาหารที่น่าจะกลับมาดำเนินธุรกิจได้เมื่อเทียบกับในปี 2564

โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจร้านอาหารให้บริการเต็มรูปแบบ หรือ Full-Service Restaurants เช่น สวนอาหาร บุฟเฟ่ต์ เป็นต้น จากการที่ผู้บริโภคมีออกไปใช้บริการนั่งทานในร้านอาหารที่น่าจะเพิ่มขึ้น

แต่หากมองในอีกมุมของธุรกิจนั้น สถานการณ์ดังกล่าวก็อาจจะสร้างความท้าทายต่อตลาดการสั่งอาหารไปส่งยังที่พัก ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองต่อทิศทางตลาดการสั่งอาหารไปส่งยังที่พักในปี 2565 ดังนี้

Hybrid Work และความคุ้นชิน ประกอบกับการกระตุ้นตลาดโดยใช้โปรโมชั่นของผู้ประกอบการ น่าจะทำให้ลูกค้าผู้ใช้บริการที่เคยใช้อยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยทำงาน Gen Y และกลุ่มวัยรุ่น Gen Z ยังคงใช้บริการต่อเนื่อง

ร้านอาหารในกลุ่ม Fast Food ให้ความสำคัญกับการทำตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ การปรับรูปแบบธุรกิจร้านอาหารมายัง Cloud kitchen และ Ghost kitchen ของผู้ประกอบการรายใหญ่

เน้นเจาะไปยังชุมชน ชานเมืองและในต่างจังหวัด เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ได้มากขึ้น ก็น่าจะช่วยเพิ่มฐานผู้ใช้ทั้งฝั่งผู้บริโภคและร้านอาหารที่มีคุณภาพให้เข้ามาในระบบมากขึ้น

เจ้าเเพลตฟอร์ม เร่งอัดโปรโมชัน 

จากข้อมูล LINE MAN Wongnai ที่สะท้อนถึงเครื่องชี้กิจกรรมตลาดการสั่งอาหารยังที่พักที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยในไตรมาส 2 ปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์โควิดกลับมาระบาดรุนแรงขึ้น ผู้ประกอบการธุรกิจสมัครใช้บริการแอปพลิเคชันจัดส่งอาหารไปยังที่พักเร่งตัวขึ้นกว่า 60.9% จากไตรมาสก่อนหน้า

ขณะเดียวกันทางฝั่งของผู้บริโภค ดัชนีจำนวนผู้ลงทะเบียนสะสมในเดือนก.ย. 2564 เพิ่มขึ้นกว่า 110% เมื่อเทียบกับเดือนก.พ.2563 (ซึ่งเป็นช่วงก่อนการระบาดของโควิดในประเทศ)

ในระยะข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การขยายพื้นที่การทำตลาดของผู้ประกอบการแพลตฟอร์มจัดส่งอาหารและการทำโปรโมชันด้านการตลาดอย่างต่อเนื่อง น่าจะผลักดันให้ดัชนีจำนวนครั้งในการสั่งอาหารของผู้บริโภคในปี 2565 จะอยู่ที่ 477 (ฐาน 100 ที่ปี 2561) เพิ่มขึ้น 2.9% ชะลอลงเมื่อเทียบกับปี 2564

ยอดสั่งซื้อต่อครั้งเพิ่มขึ้นเป็น 193 บาท 

สำหรับราคาหรือยอดสั่งอาหารต่อครั้งในปี 2565 คาดว่า จะเพิ่มขึ้นเช่นกันแต่ในอัตราที่จำกัด ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง และกำลังซื้อของครัวเรือนที่เปราะบาง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในปี 2565 ยอดสั่งซื้อต่อครั้งน่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 193 บาท เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 190 บาท โดยการเพิ่มขึ้นเป็นผลหลักจากการปรับตัวขึ้นของต้นทุนของร้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนวัตถุดิบอาหาร ต้นทุนแรงงาน และค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโควิดที่ยังมีต่อเนื่อง

ขณะที่ประเภทอาหารที่ผู้บริโภคนิยมสั่ง อาจจะยังคงเป็นกลุ่มที่ตอบโจทย์ด้านความคุ้มค่า ความสะดวก และรสชาติที่แตกต่าง โดยจากข้อมูล LINE MAN Wongnai พบว่า ในช่วงปี 2564 ที่ผ่านมา อาหารยอดนิยมได้แก่ ร้านเบเกอรี่และเครื่องดื่ม (เช่น กาแฟ ชานมและน้ำผลไม้) อาหารตามสั่ง อาหารอีสาน เป็นต้น

ด้านความหลากหลายและจำนวนร้านอาหารสะสมที่เข้าร่วมในแพลตฟอร์มที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามการรุกขยายไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ของผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม จากเดิมที่ก็สูงอยู่แล้ว จะทำให้การแข่งขันในตลาดยังมีความรุนแรง และการทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดหรือโปรโมชันจะยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ก็อาจเป็นแรงกดดันที่ทำให้ราคาอาหารน่าจะปรับขึ้นได้จำกัด

ปี 65 มูลค่าตลาด “ฟู้ดเดลิเวอรี่” โตแตะ 7.9 หมื่นล้าน

จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการสั่งและราคาดังกล่าว ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ในปี 2565 (ฐานคำนวณใหม่ รวมร้านอาหาร เบเกอรี่และเครื่องดื่ม) จะมีมูลค่าประมาณ 7.9 หมื่นล้านบาท หรือขยายตัว 4.5% ชะลอลงจากฐานที่เร่งตัวสูงในปี 2564 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ในกรณีที่โอไมครอนมีการระบาดรุนแรง ตลาดการจัดส่งอาหารไปยังที่พักน่าจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้นกว่าคาด

โดยกลุ่มร้านอาหารที่มีโอกาสเติบโตได้มากกว่าภาพรวม ได้แก่ ร้านอาหาร Limited Service (เช่น เบอร์เกอร์ พิซซ่า ไก่ทอด เป็นต้น) และ Street food ซึ่งเป็นกลุ่มที่ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันจัดส่งอาหารไปยังที่พักให้ความสำคัญในการทำการตลาดและขยายพอร์ตร้านอาหารบนแพลตฟอร์มของตน

กลุ่มร้านอาหารเต็มรูปแบบ และกลุ่มร้านเครื่องดื่ม เบเกอรี่ อาจเป็นกลุ่มที่ชะลอลง ภายใต้เงื่อนไขที่โควิดยังอยู่แต่ไม่รุนแรง ทำให้ประชาชนบางส่วนออกไปทานนอกบ้านมากขึ้น และบางกิจการทยอยให้พนักงานกลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศ อย่างไรก็ตาม รายได้สุทธิของแต่ละร้านอาหาร คงขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะของแต่ละราย

“ผู้ประกอบการร้านอาหารยังจำเป็นต้องพึ่งพาช่องทางฟู้ดเดลิเวอรี่ โดยเน้นไปที่เมนูอาหารที่ชูความคุ้มค่าด้านราคาและคุณภาพ มีเอกลักษณ์ที่หาทานที่อื่นได้ยาก เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เเละยังจำเป็นต้องบริหารจัดการต้นทุนทั้งวัตถุดิบ แรงงาน ครัวกลาง ช่องทางการขาย อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความต่อเนื่องของกระแสเงินสดและมีส่วนต่างกำไรหล่อเลี้ยงกิจการอย่างสม่ำเสมอ”