รายได้ Prada ปี 2021 ทะยาน 41% ตลาดแบรนด์เนมฟื้นเร็ว โตมากกว่าก่อนเกิดโรคระบาด

Prada รายงานรายได้ปี 2021 เติบโต 41% จากปีก่อนหน้า และโตมากกว่าปี 2019 ที่ยังไม่มีวิกฤตโรคระบาดถึง 8% แบรนด์เติบโตได้ดีเนื่องจากดีมานด์ที่อัดอั้นของนักช้อป ซัพพลายเชนการผลิตถูกกระทบน้อย การปรับกลยุทธ์ลดการขายราคาส่ง และบุกตลาดดิจิทัลมากขึ้นของแบรนด์

บริษัทสินค้าแบรนด์เนมจากอิตาลี Prada รายงานยอดขายปี 2021 ของกลุ่มเติบโต 41% จากปีก่อนหน้า โดยทำรายได้ที่ 3,364 ล้านยูโร (ประมาณ 1.26 แสนล้านบาท) และตัวเลขนี้ยังเติบโตมากกว่ารายได้ปี 2019 ถึง 8% สะท้อนถึงตลาดสินค้าลักชัวรีที่กลับมาฟื้นเต็มที่แล้ว

เมื่อปี 2019 นั้น Prada กำลังจัดกลยุทธ์ใหม่เพื่อยกระดับแบรนด์ให้อยู่ในตลาดไฮเอนด์มากขึ้น และบุกช่องทางออนไลน์มากขึ้น หลังจากนั้นเกิดวิกฤตโรค COVID-19 ระบาด ทำให้แบรนด์มีการปิดสาขาหลายแห่งทั่วโลก และขาดรายได้จากการจับจ่ายของนักท่องเที่ยว

โฆษณา Prada ช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2021

อย่างไรก็ตาม Prada ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแรงเหมือนกับสินค้าลักชัวรีอื่นๆ เนื่องจากดีมานด์ของผู้บริโภคระดับบนที่ต้องการปรนเปรอตนเองด้วยสินค้าไฮเอนด์ รวมถึงซัพพลายเชนของสินค้าประเภทนี้มักจะผลิตภายในทวีปยุโรป ทำให้ไม่ถูกกระทบด้านการขนส่งวัตถุดิบการผลิต

 

แบรนด์ปรับตัวได้ทันเวลา

Prada ยังเริ่มได้รับอานิสงส์จากกลยุทธ์ที่บริษัทวางไว้ตั้งแต่ปี 2019 ที่จะเริ่มลดการขายแบบขายราคาส่ง และจะขายในราคาเต็มเท่านั้น ทำให้ได้รายได้สูงขึ้น และมีการบุกหนัก “อีคอมเมิร์ซ”เพื่อเข้าถึงลูกค้า

นอกจากนี้ แบรนด์ยังประสบความสำเร็จกับการ ‘localise’ ในตลาดเป้าหมาย โดยเฉพาะประเทศจีน มีการออกคอลเลกชันต้อนรับตรุษจีน หรือคอลเลกชันที่เจาะกลุ่มเมืองหลักในจีน เช่น เซี่ยงไฮ้

แบรนด์ยังปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มวัยที่เด็กลงกว่าเดิม มีการทำแคมเปญเป็น pop-up store มากขึ้น หรือการทำแคมเปญบน TikTok โดยใช้หมวกทรงถังที่เป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์สร้าง challenge ทำให้วัยรุ่นคุ้นเคยกับแบรนด์มากขึ้น

รายได้ปีก่อนของ Prada ยังต่ำกว่าจุดสูงสุดที่เคยทำได้ของแบรนด์เมื่อปี 2013 ที่ทำยอดขายไป 3,600 ล้านยูโร (ประมาณ 1.35 แสนล้านบาท) แต่แบรนด์กำลังเร่งเครื่องต่อไป

โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2021 แบรนด์มีการประกาศทิศทางแล้วว่า จะเริ่มบุกตลาดบิวตี้ ตกแต่งบ้าน และเครื่องประดับให้มากขึ้น มีการปรับราคาขึ้น รวมถึงจะเพิ่มสาขาทั้งในสหรัฐฯ ตะวันออกกลาง และเอเชีย เพื่อให้ทันกับดีมานด์อันเกิดจากการรับรู้แบรนด์ที่มากขึ้นของผู้บริโภคทวีปอื่น

Source: Reuters, Vogue Business