“เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม” หันจับตลาด “บ้านเดี่ยว” แทนทาวน์เฮาส์ที่เคยเป็นเรือธงของบริษัท เนื่องจากกำลังซื้อมั่นคงกว่าในยุคเศรษฐกิจฝืด หมัดเด็ดใช้แลนด์แบงก์เก่าต้นทุนต่ำสู้ราคา มีสระว่ายน้ำในบ้านเดี่ยว 12 ล้าน พร้อมเตรียมที่ดินเปิด “คอนโดฯ” ปีหน้า เน้นตลาดกลาง 3-5 ล้านบาท แย้มทำเลแรกย่านรัชดาภิเษก
หนึ่งในเจ้าตลาดทาวน์เฮาส์ยังต้องปรับกระจายพอร์ตมากขึ้นเพราะกำลังซื้อผู้บริโภคฝืด “แสนผิน สุขี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงแผนปี 2565 จะเป็น ‘ก้าวที่สอง’ ของบริษัทในการปรับตัว โดยเพิ่มพอร์ตบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และบ้านในเมืองสูงขึ้น
แผนงานปีนี้วางเป้า เปิดตัวใหม่ 25 โครงการ มูลค่ารวม 29,500 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่เปิดเพียง 14 โครงการ มูลค่ารวม 19,000 ล้านบาท) แบ่งเป็น ทาวน์เฮาส์ 10 โครงการ, บ้านแฝด 2 โครงการ, บ้านเดี่ยว 10 โครงการ และโครงการในต่างจังหวัด 3 โครงการ ส่วนเป้าหมายรับรู้รายได้วางไว้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% YoY
แสนผินกล่าวว่า พอร์ตบริษัทเพิ่มบ้านเดี่ยวเข้ามาทดแทนเป็นสัดส่วน 34% จากในอดีตก่อนเกิดวิกฤตมีประมาณ 10% และลดสัดส่วนทาวน์เฮาส์เหลือ 34% จากเคยสูง 55-60% ในพอร์ต รวมถึงมีการเพิ่มโครงการต่างจังหวัดเป็น 12% จากเดิมเคยอยู่ที่ 10%
ทำให้กลุ่มลูกค้าบริษัทจะมีผู้ซื้อที่อยู่อาศัยราคา 8 ล้านบาทขึ้นไปเพิ่มมากขึ้น ส่วนผู้ซื้อที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทก็จะลดลง
สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนสัดส่วนในพอร์ตเช่นนี้ เพราะอัตราปฏิเสธสินเชื่อและยกเลิกเพราะความไม่มั่นใจของลูกค้าทาวน์เฮาส์มีสูงมาก ถ้าไม่มีการพรีแอพพรูฟก่อนส่งกู้สินเชื่อกับธนาคาร ลูกค้าจะถูกปฏิเสธให้กู้ 60-70% ขณะที่กลุ่มบ้านแฝดราคา 5-8 ล้านบาทจะมีปัญหานี้ 40-50% และบ้านเดี่ยว 8 ล้านบาทขึ้นไปเหลือราว 20% เท่านั้น
ทำให้ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจนี้ แสนผินมองว่า ‘ขายได้ไม่เท่ากับโอนได้’ จึงต้องการจับตลาดที่มั่นคงกว่าอย่างบ้านเดี่ยว เพราะลูกค้ามีอัตรากู้สินเชื่อผ่านสูงกว่ามาก
ใช้แลนด์แบงก์เก่าต้นทุนต่ำ – สระว่ายน้ำในบ้าน 12 ล้าน
ด้านกลยุทธ์การแข่งขันในปีนี้ แสนผินกล่าวว่าในแง่ราคาบริษัทจะยังคงแข่งขันได้แม้ต้นทุนก่อสร้างปรับขึ้นถึง 10% เพราะต้นทุนที่ดินของบริษัทจะยังเป็นราคาแลนด์แบงก์เก่าที่เก็บสะสมมา ทำให้ยังแข่งขันได้ท่ามกลางสมรภูมิปีนี้ที่บ้านแนวราบดุเดือดมาก เนื่องจากดีเวลอปเปอร์ที่เคยเน้นคอนโดมิเนียมเองก็หันมาเน้นโครงการแนวราบทดแทน
อีกส่วนหนึ่งคือการสร้างนวัตกรรมภายในบ้าน เช่น บ้านหายใจได้ กรองฝุ่น อากาศสะอาด, ติดตั้ง EV Charger และหมัดเด็ดปีนี้จะอยู่ใน “บ้านเดี่ยว” แกรนด์ดิโอ ราคา 12-15 ล้านบาท จะมีการติดตั้งสระว่ายน้ำขนาดเล็กที่มีระบบว่ายทวนน้ำ ทำให้ผู้ใช้ได้ออกกำลังกายจริงแม้สระจะมีขนาดเล็ก จูงใจผู้ซื้อที่รักการออกกำลังกายทางน้ำ ขณะที่บ้านเดี่ยวใกล้เมืองที่จะมีสระว่ายน้ำในตัวได้มักจะต้องเป็นบ้านราคาขั้นต่ำ 20 ล้านบาท
เล็งขึ้น “คอนโดฯ” เสริมพอร์ตบริษัท
ด้านการพัฒนาคอนโดฯ ที่เฟรเซอร์สวางแผนมาแล้วระยะหนึ่ง แสนผินกล่าวว่าจะได้เห็นเปิดขายโครงการแรกปี 2566 ปัจจุบันกำลังเตรียมซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก เป็นอาคาร 8 ชั้น จำนวนยูนิตน้อยราวๆ 200 ยูนิต เพื่อความเป็นส่วนตัว พื้นที่ส่วนกลางไม่แออัด
คอนเซ็ปต์การเข้าตลาดคอนโดฯ ของบริษัท เน้นกลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท เกาะกลุ่มเจนวายและเจนเอ็กซ์ ซึ่งไลฟ์สไตล์ของคนอยู่คอนโดฯ ในกลุ่มนี้คือผู้ที่ไม่แต่งงาน หรือแต่งงานแต่ไม่มีลูก ต้องการความสะดวกในการเดินทาง ใช้เทคโนโลยี ใช้ฟิตเนส ทำให้ชีวิตเหมาะกับการอยู่คอนโดฯ จะแตกต่างจากคนวัยเดียวกันที่มีลูกซึ่งมักจะต้องการบ้านมีที่ดิน
แผนการลุยตลาดคอนโดฯ ของเฟรเซอร์ส จะทยอยเปิดปี 2566 จำนวน 1 โครงการ ปี 2567 จำนวน 2 โครงการ ปี 2568 จำนวน 5 โครงการ และ 2569 จำนวน 7 โครงการ ซึ่งตั้งแต่ปี 2568 จะเห็นสมดุลในพอร์ต คอนโดฯ จะขึ้นมาเป็นสัดส่วน 20% ของพอร์ตที่อยู่อาศัยทั้งหมด และจะนับเป็น ‘ก้าวที่ 3’ ในการเติบโต
แสนผินสรุปภาวะตลาดปีนี้ มองว่าปัจจัยบวกประการเดียวคือวิกฤต COVID-19 ในเชิงสุขภาพเริ่มคลี่คลาย กำลังจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น และทำให้การใช้ชีวิตปกติมากขึ้น แต่ด้านเศรษฐกิจยังมีปัจจัยลบอีกเพียบ การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นเต็มที่ มีคนตกงานเพิ่มขึ้น หนี้ครัวเรือนสูงถึง 90% อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นทำให้ค่าครองชีพสูง แต่รายได้ไม่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้ผู้ซื้อไม่มั่นคง