พร้อมเปิด Q3! “ท็อปกอล์ฟ” สนามไดรฟ์ผนวกความบันเทิง แม่เหล็กกิจกรรมแนวใหม่ย่านบางนา

ท็อปกอล์ฟ
“ท็อปกอล์ฟ” อัปเดตความคืบหน้าการก่อสร้างสนามไดรฟ์กอล์ฟแนวใหม่ เปิดไตรมาส 3 ปีนี้ วางโมเดลธุรกิจและคอนเซ็ปต์สนามซ้อมพร้อมความบันเทิง เน้นการจัดกิจกรรม อีเวนต์ สังสรรค์กับเพื่อน-ครอบครัว เล็งลูกค้าองค์กรจัดทีมบิลดิ้ง ยังมั่นใจศักยภาพตลาดไทย พร้อมหาทำเลขยายเพิ่มอีก 1-2 สาขา

สนามไดรฟ์กอล์ฟ “ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้” อัปเดตความคืบหน้าการก่อสร้างสนามบนพื้นที่ 29 ไร่ด้านหลังเมกา บางนา คาดเปิดให้บริการได้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ เลื่อนจากกำหนดเดิมราว 2 เดือนเนื่องจากการก่อสร้างชะลอระหว่างปิดแคมป์คนงานปีก่อน

“แอนดรูว์ นาธาน” กรรมการผู้จัดการ ท็อปกอล์ฟ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ “ทิม โบดา” ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ท็อปกอล์ฟ ประเทศไทย สอดงผู้บริหารเป็นผู้ให้ข้อมูล โดยกล่าวถึงเชนสนามไดรฟ์กอล์ฟ “ท็อปกอล์ฟ” เป็นแบรนด์ที่เริ่มต้นในอังกฤษ แต่ประสบความสำเร็จอย่างสูงที่สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเปิดบริการกว่า 70 สาขาใน 7 ประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ, อังกฤษ, เยอรมนี, ออสเตรเลีย, UAE และ “ไทย” จะเป็นประเทศที่ 8 ที่เปิดให้บริการ ถือเป็นแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ท็อปกอล์ฟ
“ทิม โบดา” ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ท็อปกอล์ฟ ประเทศไทย และ “แอนดรูว์ นาธาน” กรรมการผู้จัดการ ท็อปกอล์ฟ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

คอนเซ็ปต์ของท็อปกอล์ฟจะเน้นกีฬาผนวกความบันเทิง เหมาะเป็นสถานที่สังสรรค์ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน ออกแบบบรรยากาศสนุกสนาน มีร้านอาหารและบาร์

ไฮไลต์อีกส่วนอยู่ที่ “ลูกกอล์ฟ” ซึ่งติดชิพ RFID และในสนามมีเซ็นเซอร์ตรวจจับ ทำให้หน้าจอสามารถแสดงผล simulator วิถีของลูกและจุดตกได้ชัดเจน พร้อมกับมี “เกม” กอล์ฟเข้ามาเสริมระหว่างตี ช่วยให้คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์หรือเด็กๆ สนุกมากขึ้น

เหตุนี้ท็อปกอล์ฟจึงมีเป้าหมายดึงดูดลูกค้าทั้งนักกอล์ฟและที่ไม่ใช่นักกอล์ฟ โดยสถิติที่ผ่านมาท็อปกอล์ฟมีลูกค้า 51% ซึ่งไม่ได้เล่นกีฬานี้เป็นประจำ

ท็อปกอล์ฟ
สนามไดรฟ์กอล์ฟท็อปกอล์ฟ เปิดให้สื่อมวลชนเยี่ยมชมไซต์ระหว่างก่อสร้าง อนาคตบริเวณนี้จะเป็น Hitting Bay

สำหรับ ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ จะก่อสร้างเป็นอาคาร 4 ชั้น ภายในมี Hitting Bay ทั้งหมด 102 เลน (กระจายในพื้นที่ 3 ชั้น) รองรับแขกได้ 8 ท่านต่อเลน และมีสปอร์ตบาร์พร้อมจอทีวีขนาดยักษ์ ร้านอาหาร รูฟท็อปบาร์ รวมถึงห้องประชุมความจุ 180 คน ทำให้สนามพร้อมจัดงานประชุมสังสรรค์องค์กร งานทีมบิลดิ้ง อีเวนต์ขนาดเล็กจนถึงขนาดกลางได้

 

มั่นใจตลาด คนไทยรักการสังสรรค์

เหตุที่ท็อปกอล์ฟข้ามฟากโลกและเลือกเมืองไทยเป็นประเทศแรกของภูมิภาคนี้ที่เปิดตัว “ทิม โบดา” กล่าวว่า เหตุผลหลักๆ คือ ‘core value’ ของท็อปกอล์ฟที่ตรงกับลักษณะของคนไทย สนามไดรฟ์กอล์ฟแบรนด์นี้ต้องการสร้าง “ความสนุก” และ “ความใส่ใจ” สอดคล้องกับคนไทยที่ชื่นชอบการสังสรรค์ รักความสนุกสนานจากการทำกิจกรรมร่วมกัน รวมถึงมีความใส่ใจห่วงใยคนรอบข้าง

อีกเหตุผลหนึ่งคือ เมืองไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักกอล์ฟในภูมิภาคนี้อยู่แล้ว ทำให้มีฐานลูกค้าที่เป็นเป้าหมาย เชื่อว่าการเปิดในไทยจะประสบความสำเร็จได้

บรรยากาศเน้นความสนุกสนาน ปาร์ตี้สังสรรค์

ขณะนี้เป้าหมายลูกค้าจะเน้นคนไทยเป็นหลัก รวมถึงชาวต่างชาติที่ทำงานในไทย (expat) ส่วนเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติจะทำการตลาดต่อไปเมื่อไทยเปิดประเทศได้เต็มที่

ด้านปัจจัยเสี่ยงกรณี COVID-19 ที่ยังไม่หยุดการระบาด และเศรษฐกิจที่ซบเซา แอนดรูว์ นาธาน มองว่า บริษัทยังเชื่อมั่นโอกาสในเมืองไทย เพราะกีฬากอล์ฟกำลังได้รับความนิยมเป็นขาขึ้น และหากมองในแง่บวก สนามไดรฟ์แห่งนี้ออกแบบเป็นกึ่งกลางแจ้งกึ่งในร่ม ทำให้ผู้ที่มีความกังวลเกี่ยวกับโรคระบาดน่าจะสบายใจกว่าเมื่อมาทำกิจกรรมในท็อปกอล์ฟ

สปอร์ตบาร์ที่นี่จะติดตั้งจอใหญ่ สามารถชมได้จากทั้งชั้น 1 และชั้น 2

“เราเข้าใจเรื่องความไม่แน่นอนของสถานการณ์ แต่ว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไป และเห็นว่าคนไทยน่าจะต้องการความสนุกมากยิ่งกว่าที่เคยในช่วงนี้ด้วย” แอนดรูว์กล่าว “เรายังเชื่อว่าการทำธุรกิจนี้ขณะนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง”

 

มองหาเพิ่มอีก 1-2 โลเคชัน

ด้านการขยายตัวในภูมิภาคนี้ของท็อปกอล์ฟ เป็นลักษณะสัญญาแฟรนไชส์ที่มอบสิทธิ์ให้กับบริษัท TG SEA Development Pte., Ltd แอนดรูว์ระบุว่า ประเทศไทยเป็นสาขาแรกของบริษัทหลังรับลิขสิทธิ์ จากทั้งหมด 6 ประเทศที่ได้สัญญา ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย

ในประเทศอื่นๆ นั้นยังอยู่ระหว่างศึกษาพื้นที่ และในไทยเองก็ไม่ได้วางแผนเปิดเพียงสาขาเดียว แต่ต้องการจะขยายเพิ่มอีก 1-2 สาขา ส่วนจะเป็นแห่งใดนั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้

ผู้ที่สนใจสามารถรอติดตามการเปิดสนามได้เร็วๆ นี้ ทั้งนี้ “ทิม” แย้มราคาไดรฟ์กอล์ฟที่นี่แล้วว่า คาดว่าจะเริ่มต้นที่ 200 บาทต่อคนต่อชั่วโมง สำหรับช่วงเวลา non-peak hour และ 350 บาทต่อคนต่อชั่วโมง สำหรับช่วงเวลา peak hour โดยสนามจะเปิดตั้งแต่เช้าจนถึงดึกทุกวัน ราคาดังกล่าวรวมยืมอุปกรณ์พื้นฐานฟรี แต่สามารถอัปเกรดเพิ่มอุปกรณ์ระดับพรีเมียมได้ (ชม virtual tour ของสนามได้ที่นี่)