แฉบิทคับเดินสายล้างสมองเยาวชน ผู้บริหาร SCBX พยายามปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ (ตอนพิเศษ)

ข่าวเชิงวิเคราะห์ “บิทคับยูนิคอร์นสายพันธุ์อันตราย?” ตอนพิเศษ โดย iBit

ผ่าแผนตลาดอำมหิตของบิทคับสร้างคอมมูนิตี้ล้างสมองเด็ก จ้างอินฟลูเอนเซอร์เจาะโรงเรียน-มหา’ลัย กล่อม ก่อน “ท๊อป-จิรายุส” สวมบท “ไลฟ์โค้ช” ปิดจ็อบขายฝันมอมเมาชวนล่าคริปโตฯ รู้ทั้งรู้ แต่ผู้บริหาร SCB กลับกำลังปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ!!?

ดีล 17,850 ล้านระหว่างไทยพาณิชย์กับบิทคับมีการประเมินกันว่า “ท๊อป” จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง และ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จะมีเงินไหลเข้ากระเป๋าส่วนตัวคิดเป็นมูลค่า 4,260 ล้านบาท

จิรายุส นั้นถือหุ้น 23.87% ถือเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดในบิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ที่ถือหุ้น 99% ใน ”บิทคับออนไลน์” เจ้าของ Exchange ตลาดซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีที่ไทยพาณิชย์จะซื้อหุ้น 51% เพื่อครอบครอง

ขณะที่ไทยพาณิชย์ จะได้อะไร? ยังเป็นคำถามบนความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ความไม่แน่นอนของอนาคตสินทรัพย์ดิจิทัล และ ความเข้มงวดของการกำกับดูแลของแบงก์ชาติและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

ทำไม? ไทยพาณิชย์ต้องทุ่มเงินมหาศาล เพื่อ Exchange ที่อนาคตไม่แน่นอน ทำไม? ต้องสนับสนุนตลาดที่มีภาพลักษณ์ของ “บ่อนพนัน” ความผันผวนสูง

จากตัวอย่างของ KUB Coin เหรียญของบิทคับ และเหรียญสัญชาติไทยเช่น JFIN และ SIX ที่เจ้ามือแสดงอิทธิฤทธิ์สร้างราคา-ปั่นเหรียญ จนกลายเป็นหายนะของรายย่อย ด้วยราคาขึ้นลงมากกว่า 1,800%

ไม่นับรวม ประเด็นที่ ก.ล.ต.เข้าตรวจสอบระบบการซื้อขาย พบข้อบกพร่อง ทำธุรกิจไม่รัดกุม ไร้ประสิทธิภาพ หรือ ตรวจพบ “นอมินี” หรือ “บัญชีม้า” ที่ไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนได้ ถูกสั่งให้แก้ไข และ โดนลงโทษมาก็หลายครั้ง นับแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน การทำธุรกิจ Exchange ของ บิทคับ ออนไลน์ เมื่อเปรียบเทียบกับแพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง ไบแนนซ์ ยังพบว่า บิทคับทั้งเก็บค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่สูง 0.25% เก็บค่าบริการในการถอน 20 บาทต่อรายการโดยที่ธนาคารคิดเพียง 3 บาท

ผ่าแผนตลาดอำมหิต

แน่นอนว่า ปัจจัยภาพลักษณ์ติดลบนี้ ย่อมเป็นภาระที่ธนาคารไทยพาณิชย์จะต้อง “แบกหม้อก้นดำ” หรือ มารับเคราะห์แทนบิทคับโฮลดิ้งส์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่า เรื่องของบิทคับไม่ได้มีเพียงเท่านี้ หากถามคนในวงการเทคโนโลยี หรือ แวดวงการเงินการธนาคาร สิ่งที่พวกเขารับไม่ได้มากที่สุดในการทำธุรกิจของบิทคับ และ ท๊อป จิรายุส คืออะไร? เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เห็นว่า กลยุทธ์การตลาดที่บ้าคลั่ง โดยเฉพาะ การทำตลาดกับ เยาวชน เด็กนักเรียน นักศึกษา เพื่อโน้มน้าวให้ เข้ามาเป็นลูกค้าเปิดบัญชีเทรดคริปโตฯ กับบิทคับ

จิรายุส มักกล่าวเสมอว่า บิทคับ เป็นสตาร์ทอัปที่มีการเติบโตสูงปีละ 1,000% และ จะเติบโตยิ่งๆ ขึ้นไปกว่านี้ได้อีก ซึ่งหากจะรักษาการอัตราการเติบโตของธุรกิจ และ กำไรเอาไว้ได้ วิเคราะห์กันว่า Exchange จะต้องมีผู้เข้ามาเปิดบัญชีเทรดกันมากขึ้น ฐานลูกค้า ยิ่งขยายนั่นหมายถึงค่าธรรมเนียม ค่าบริการ และ รายได้ที่จะมากขึ้น โดยเป้าหมายอยู่ที่ 7 ล้านบัญชี

ในปี 2565 “บิทคับ ออนไลน์” ตั้งเป้าหมายจะขยายฐานลูกค้าให้ได้ 7 ล้านราย จากเดิมที่เคลมว่ามีอยู่แล้ว 3 ล้านบัญชี หรือ เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว และมีสินทรัพย์ดิจิทัลให้เลือกซื้อขายมากกว่า 100 สกุลในกระดาน Bitkub จากที่มีอยู่ 50 กว่าเหรียญในปัจจุบัน

จากเป้าหมายดังกล่าว ทำให้หลายฝ่ายเชื่อ วิธีทำให้ลูกค้าเพิ่มเป็น 7 ล้านรายให้ได้ คาดว่ากว่าครึ่งน่าจะมาจากกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่หรือนักเรียนนักศึกษานั่นเอง และนั่นย่อมทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดการลงทุนผิดพลาดเพิ่มสูงขึ้น เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ไร้ประสบการณ์การลงทุน ขณะที่เป้าหมายของบริษัทสำเร็จผลท่ามกลางเงินจำนวนมากของผู้ปกครองที่ต้องสูญเสียไปใครต้องรับผิดชอบ?

นี่คือแผนการตลาดที่อำมหิต และเป็นอันตรายต่ออนาคตของชาติ ที่กำลังหวั่นวิตกกัน

เห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน บิทคับ ขยายฐานลูกค้า เจาะตลาดเยาวชนคนรุ่นใหม่ โหมกระพือด้วยแคมเปญต่างๆ ด้วยการเจาะเข้าสู่สถานศึกษา โรงเรียน และ มหาวิทยาลัย เพื่อให้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของตน

bitkub

รวมไปถึงการใช้โฆษณา ที่มีตัวของ จิรายุส ลงทุนเป็นพีอาร์ด้วยตนเอง ดังจะเห็นจากป้ายโฆษณาทั้งออฟไลน์และออนไลน์อยู่แทบจะทุกจุดที่มองเห็น จนวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่เด็กนักเรียน นักศึกษา ว่า ทุกวันนี้ไปไหนมาไหน แม้แต่เล่นมือถือเข้าอินเทอร์เน็ตเห็นหน้าท๊อป จิรายุส มากกว่า หน้าพ่อแม่ไปแล้ว หรือ มากกว่าป้ายผู้สมัครชิงผู้ว่าฯ กทม. ก็ป้ายท๊อป จิรายุส นี่แหละ

กลยุทธ์ตลาดของ Bitkub วิธีการคือสูตรสำเร็จด้วยการนำเสนอ “สิ่งใหม่” จากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง และ นวัตกรรม ที่ทำดีไซน์ออกมาทำให้ดูเหมือนว่า เยาวชนต้องมีองค์ความรู้ในเรื่องเทคโนโลยีบล็อกเชน และ สินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น “เชื่อมทุกโอกาสสู่โลกแห่งอนาคต” แต่สุดท้าย ก็คือการแอบแฝงชักชวนให้เด็กนักเรียนและนักศึกษาต้องเชื่อมต่อกับบิทคับด้วยการเปิดบัญชีเสียก่อนจึงจะเรียนรู้ได้

วิธีการสมัครเปิดบัญชีก็แสนง่ายดายด้วยแคมเปญ “10 บาท” ก็ลงทุนได้ ที่เป็นกับดัก ดักรออยู่ ทำให้มีนักเรียน นักศึกษา ถูกกวาดต้อนเข้ามาเป็นสมาชิกบิทคับจำนวนมาก

เชื่อได้ว่า ผู้ปกครองของบรรดานักเรียน นักศึกษา เหล่านี้ ก็กำลังปวดหัวกับ การที่ลูกหลานมาขอคำยินยอม ที่ไม่สามารถเข้าใจได้ ว่า คริปโตฯ คืออะไร ทำไมต้องใช้เงินไปลงทุน และ อนาคตอะไร นอกจากการเทรดเหรียญที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินทอง ไม่ต่างกับการ เล่นพนัน ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาภายในครอบครัวตามมา

ไล่จับเด็กตั้งแต่มัธยม

การทำตลาดเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายเยาวชนของบิทคับมีอะไรบ้าง ลองมาไล่เรียงกัน บิทคับและจิรายุส พยายามนำความคิด ความเชื่อเดียวกันกับ Bitkuber ที่ว่า การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังเป็นเทรนด์ยอดฮิต ซึ่งคนในเจเนอเรชันนี้จำเป็นต้องตามให้ทันเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต กล้าที่จะลุกขึ้นปฏิวัติตัวเองเพื่อไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า หรือความมั่งคั่งร่ำรวย ครอบงำความคิดของเยาวชน หรือ อีกนัยหนึ่ง ก็คือ การปลูกฝังความเชื่อ ล้างสมองเด็กให้คิดถึง ความร่ำรวยที่จะมาพร้อมกับโอกาสของสินทรัพย์ดิจิทัล

กลยุทธ์เริ่มด้วยการสร้างชุมชน หรือ คอมมูนิตี้ เช่นเดียวกันกับ The Chosen one สำหรับกลุ่มชนชั้นดารา เซเลบ หรือ เจ้าของธุรกิจ คอมมูนี้ตีสำหรับเด็กของ บิทคับ จะทำผ่าน Bitkub Academy

ยกตัวอย่างเช่น Bitkub Academy จับมือกับ รร.อัสสัมชัญ จัดหลักสูตรเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี ให้นักเรียน ม.ปลาย ที่สนใจ โดยจัดเต็มตลอดภาคเรียนที่ 2/2564

คำเสนอเชิญชวนเด็ก ม.ปลาย.เหล่านี้ ระบุว่า จะได้พัฒนาความรู้ธุรกิจและทักษะแห่งอนาคต Blockchain เป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ที่นักเรียนอัสสัมชัญจะมีโอกาสก้าวทันนวัตกรรมของโลก รองรับกับการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ทางด้านการเงินธุรกิจ และผลักดันให้ประเทศพร้อมเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ

โครงการ AC Cryptocurrency & Blockchain Club : Cryptocurrency NFT Defi Learning บอกว่า เป็นหลักสูตรการสอนให้กับนักเรียนอย่างเต็มที่เริ่มตั้งแต่พื้นฐานและเนื้อหาสุดเข้มข้นไม่ว่าจะเป็น Blockchain & Cryptocurrency Decentralized Finance WHAT IS NFTS AND WHY IT IS COMMON? GAMEFI & HOWTO MAKE PROFITS แน่นอนว่า การเรียนรู้ต้องประกอบไปด้วยการสร้าง Community นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการจะได้เข้ากลุ่ม Line เพื่อร่วมพูดคุย ปรึกษา แนะนำ การพัฒนา แนวทางเกี่ยวกับ Blockchain จากรุ่นพี่อัสสัมชัญผู้อยู่ในวงการ Blockchain ด้วย

ทว่า มีตัวอย่างของเยาวชนที่สะท้อนผ่านสื่อโซเซียลฯ ที่เมื่อได้เห็นหรือฟัง ท๊อป จิรายุส เซเลบคริปโตฯ แล้วเปิดบัญชีเทรดกับบิทคับแล้วไปได้ไม่สวยเหมือนโฆษณา พอร์ตไม่ปังมีแต่พังเพราะ ขาดทุนและแขวนอยู่บนดอยด้วยราคาที่สูงลิบ

นอกจาก รร. อัสสัมชัญ แล้วบิทคับยังมีอีกหลายโครงการที่เข้าสู่โรงเรียนชื่อดังอื่นๆ และ ระดับอุดมศึกษา พยายามเข้าไปวางหลักสูตร การเรียน การสอน เพื่อให้สถานศึกษานำไปบรรจุให้นักศึกษาได้เรียนรู้ ด้วยการสนับสนุนของบิทคับ และ ถือโอกาสไทอินโฆษณาไปด้วย

ดังตัวอย่าง “Bitkub Academy” ที่ไปร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ จัดทำความร่วมมือ MOU ร่วมกันจัดกิจกรรมให้ความรู้บล็อกเชนและคริปโตฯ ในรูปแบบออนไลน์ให้กับนักศึกษา กับโครงการ Bitkub Cryptonity

โดยจะจัดกิจกรรมผ่านการเรียนการสอนทั้งหมด 3 ครั้ง แบ่งออกเป็นหัวข้อต่างๆ ได้แก่ Let’s Play with Crypto เรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์โลกการเงินตั้งแต่อดีตถึง Cryptocurrency และเรียนรู้เรื่องราวโลก Cryptocurrency , What is Blockchain? How Does it Work? เรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีตั้งแต่อดีตถึงเทคโนโลยี Blockchain

สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ โดย เป็นข้อที่วิพากษ์วิจารณ์ในหมู่นักศึกษากันว่า บรรดาอาจารย์ ครูผู้สอน กลายเป็นพีอาร์ให้บิทคับ มากกว่าจะให้ความรู้เรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลจริงๆ

“Bitkub ICON” เฟ้นสตาร์ไปหาแมงเม่า

สำหรับระดับมหาวิทยาลัย เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา “Bitkub” เดินเกมไล่จับกลุ่มนักศึกษาผ่านการจัดแคมเปญเฟ้นหา “Bitkub ICON” กลุ่มแรกของประเทศไทย จำนวน 16 คนจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ครอบคลุม 4 ภูมิภาคตามสัดส่วน ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้

โดย Bitkub ICON ถูกประโคมโอ่ว่า คือ ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ที่มีความเป็นผู้นำ กล้าแสดงออก มีความสนใจในเทคโนโลยีบล็อกเชน และสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งจะได้รับเงินรางวัลและเป็นตัวแทนของ Bitkub ในการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนสังคมการเงินแห่งโลกยุคดิจิทัล และสร้างคอมมูนิตี้ให้ทุกคนเข้าถึงได้

นอกจากนี้ Bitkub ICON จะนำความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน และสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้เรียนรู้จากบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ไปจัดทำกิจกรรมเพื่อเผยแพร่ต่อให้คนในชุมชนและคนในมหาวิทยาลัยของตนเอง รวมทั้งจัดตั้งคอมมูนิตี้หรือชมรมในมหาวิทยาลัย เพื่อเตรียมความพร้อมก้าวสู่อนาคตไปด้วยกัน

ทั้งนี้ Bitkub รายงานว่า แคมเปญ Bitkub ICON ได้รับผลตอบรับดีเกินคาดจากนักศึกษา จากหลายมหาวิทยาลัยกว่า 40 แห่ง

เรียกว่า บิทคับ พยายามอย่างมากในการสร้างคอมมูนิตี้ที่จะเป็นเครือข่ายขยายไปเรื่อยๆ ครอบคลุมครอบงำเด็กทุกระดับ หรือ นักลงทุนรายใหม่ที่ไร้ประสบการณ์ให้มากที่สุด

จับมือกับวิชัย จับเด็กอาชีวะ

กลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา Bitkub และกลุ่มนายวิชัย ทองแตง นักธุรกิจชื่อดัง ลงนาม MOU จับมือเป็นพันธมิตรจัดตั้งบริษัทร่วมทุน บริษัท บิทคับ เวิลด์เทค จำกัด (BITKUB WORLDTECH) โดยระบุว่า เพื่อพัฒนาการศึกษาโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสร้างให้เด็กไทย มีทักษะ ตามเป้าหมาย “สร้างโอกาส สร้างอาชีพ สู่โลกอนาคต”

“วิชัย ทองแตง” ระบุว่า “บิทคับ เวิลด์เทค” จะมุ่ง 3 ด้าน คือ 1. จะไม่นำเทคโนโลยี มาโกงและหลอกลวงผู้อื่น 2. จะเรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์สังคมที่ดีมีคุณธรรม และ 3. เราจะแบ่งปันความรู้และโอกาสให้แก่ผู้อื่น

จากนั้นเพียง 1 เดือน “บิทคับ เวิลด์เทค” ได้จัดโครงการ “ปั้น” อาชีวะสู่ Digital Transformation ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานีและมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี

จ้างอินฟลูเอนเซอร์นำกล่อม – ท๊อป ปิดจ็อบ

นอกจากการจับมือกับสถานศึกษา เสนอหลักสูตรคริปโตฯ แล้ว เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวชนมากขึ้น บิทคับ ยังว่าจ้างบรรดา “ยูทูบเบอร์” “อินฟลูเอนเซอร์” ที่บรรดาเด็กและเยาวชนติดตามตระเวนให้ไปร่วมพูดคุย เป็นวิทยากรในเวที หรือ อีเวนต์ที่ บิทคับ ให้ออกเงินจัดงาน

อินฟลูเอนเซอร์ ที่ถูกว่าจ้างมีหลากหลายสาขาอาชีพ มีทักษะในการสื่อสาร แต่อาจจะไม่มีความรู้เรื่องเทคโนโลยี สินทรัพย์ดิจิทัล แต่ท๊อป-จิรายุ ไม่ได้ขัดข้องขอให้แต่ละคนสามารถโน้มน้าวคน แฟนคลับ ให้เข้ามาคอมมูนิตี้ของบิทคับก็ถือว่าบรรลุเป้าหมาย โดยตัวเขา จะเข้ามาปิดจ็อบ ด้วยการทำหน้าที่ไม่ต่างจาก “ไลฟ์โค้ช” พูดให้แรงบันดาลใจ ให้เยาวชน มีความรู้สึกดีกับ “ความเชื่อ” ที่บิทคับนำเสนอ

bitkub

อาทิ เช่น เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนภาคใต้ จัดงานวันการศึกษาเอกชนภาคใต้ ครั้งที่ 6 ซึ่งว่ากันว่า บริษัท บิทคับ เวิลด์เท็ค จำกัด ให้การสนับสนุน ณ โรงแรมรอยัล ภูเก็ต ซิตี้ จังหวัดภูเก็ต

ภายใต้หัวข้อ “Metaverse กับการศึกษาในอนาคต” ในวันนั้น ว่ากันว่า มีอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังร่วมงานหลายคน และ เจ้าของธุรกิจ “After yum” ที่มีลูกค้าและแฟนคลับติดตามเป็นจำนวนมากเปิดเวที แล้ว จิรายุส ก็ขึ้นมาเป็นไลฟ์โค้ช ให้กับผู้ฟัง

อีเวนต์การตลาดกับสถาบันการศึกษาเช่นนี้ ฟังว่า จะเดินสายจัดไปทั่วประเทศตามหัวเมืองใหญ่ และ จะมีที่ประเทศเพื่อนบ้านเช่น ลาว ด้วย

แทรกซึมทุกไลฟ์สไตล์เด็ก

นอกจากคอมมูนิตี้เด็กนักเรียน นักศึกษา กลยุทธ์การตลาดของบิทคับ ยังมุ่งเข้าหาไลฟ์สไตล์ของเด็กรุ่นใหม่ในทุกๆ กิจกรรมที่พวกเขาสนใจ

ตัวอย่างเช่น เข้าไปสนับสนุนกิจกรรมการแข่งขัน อีสปอร์ต หรือ วงการเกม เช่น สนับสนุน ทีม เบคอนไทม์ ทีมอีสปอร์ต ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งในระดับประเทศและเอเชีย โดยสมาชิกผู้ก่อตั้งแต่ละรายเป็นกลุ่มเพื่อนวัยรุ่นที่ชื่นชอบในการเล่นเกมมีแฟน ๆ ที่เป็นเด็กและเยาวชนติดตามจำนวนมาก โดยล่าสุดก็เพิ่งจะคว้าแชมป์แต่ก็มีเรื่องที่เป็นดราม่าในโซเชียลฯ เมื่อบิทคับให้ถ่ายทอดสดผ่านเพจของตนเอง หวังจะให้แฟนๆ ผู้รักอีสปอร์ตเข้ามารับชม แต่กลับปิดกั้นโอกาสแฟนคลับที่ตั้งตารอติดตามไลฟ์ผ่านเพจของเบคอนไทม์ไม่สามารถรับชมได้จึงกลายเป็นดราม่าขึ้นมา

จากหลากหลายกลยุทธ์การตลาดที่แทรกซึมไปในทุกที่ของบิทคับ พิสูจน์ได้ว่า คำกล่าวที่ว่า บิทคับ เท่ากับ มาร์เกตติ้ง คอมปะนี หรือ บริษัทด้านการตลาด นั้นไม่ได้ผิดไปนัก หลายฝ่ายเริ่มหวั่นเกรงว่า การปลูกฝังชุดความคิดแบบนี้ จะกลายเป็นการมอมเมาเยาวชน ให้เห็นดีเห็นงามกับโอกาสในการได้กำไรสูงๆ จากการลงทุนหรือจากบล็อกเชน โดยเฉพาะการซื้อขายเหรียญคริปโตฯ ที่ราคาผันผวน หรือ “ตลาดซิ่ง” ทั้งที่ปัจจุบันหลายคนยังไม่เคยเข้าใจต่อความเสี่ยงจากการลงทุนที่อาจเกิดความเสียหายมากกว่าจะได้มาง่ายๆ

นอกจากนี้ยังมีคำถามที่คาใจคือ มีนักศึกษาในสัดส่วนเท่าใด ที่ไม่ได้แบมือขอเงินพ่อแม่ใช้ หรือมีเงินพอที่จะสามารถกระโดดเข้ามาสู่บล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลได้ด้วยเงินของตนเอง

ไทยพาณิชย์ปัดตอบคำถาม

เรียกได้ว่า Bitkub จัดเต็มไล่ล่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ ทั้งไลฟ์โค้ช ซีอีโอรุ่นใหม่หมื่นล้าน เพื่อดึงดูดใจให้เข้ามาเป็นสาวกล่าคริปโตฯ ไปด้วยกันกับบริษัท จึงแผนตลาดอำมหิตบิทคับ ล้างสมองเด็กให้ไล่ล่าคริปโตฯ ทั้งๆ ที่ประสบการณ์อ่อนด้อย ตัวเองร่ำรวยจากการเก็บค่าต๋ง ค่าบริการ กอบโกยรายได้จากตลาดซื้อขาย แต่ความหายนะและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากความเสี่ยงของการลงทุน เป็นอย่างไรไม่รับรู้ไม่สนใจอย่างนั้นหรือ?

จากสตาร์ทอัป ก้าวขึ้นเป็นยูนิคอร์น และ วาดหวังจะเป็น ซูเปอร์แอปฯ โกอินเตอร์ แต่ถามว่า คนไทย ประเทศไทย ได้อะไรกับการเติบโตของบิทคับในลักษณะนี้

เยาวชนเหล่านี้ควรเป็นอนาคตของชาติ และ สังคม กลับต้องมาติดกับดัก บิทคับ ที่ชักชวนให้คนมาซื้อขายเหรียญดิจิทัลที่ราคาผันผวนสูง ฤาไทยพาณิชย์ต้องการแบบนี้หรือ?

ยิ่งถ้ามองบรรดาผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์ ณ ปัจจุบัน ธนาคารที่น่าภาคภูมิใจในฐานะธนาคารที่เก่าเเก่ที่สุดในไทย ที่มีอายุกว่า 115 ปี มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดมากที่สุดในวงการธนาคารไทยที่ 228,353.45 ล้านบาท โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่ ดังนี้ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวนหุ้น 793,832,359 คิดเป็น 23.38% กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง โดย บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) จำนวนหุ้น 392,649,100 คิดเป็น 11.56% กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง โดย บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวนหุ้น 392,649,100 คิดเป็น 11.56% บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด จำนวนหุ้น 346,262,309 คิดเป็น 10.20% และ สำนักงานประกันสังคม จำนวนหุ้น 109,198,100 คิดเป็น 3.22%

ยิ่งต้องมีคำถามถึง คณะกรรมการธนาคาร ตลอดจนผู้บริหารธนาคารไทยพาณิชย์ ควรละหรือที่จะหอบเงิน 17,850 ล้านบาทไปลงทุน Exchange หรือ Marketing company ดังที่กล่าวมาแล้วในบทวิเคราะห์ “บิทคับยูนิคอร์นสายพันธ์ุอันตราย?” ทั้งหมด 5 ตอน?

ประเด็นคำถามนี้ มีรายงานว่า ในที่ประชุมสามัญประจำปีของธนาคารพาณิชย์ที่จะจัดขึ้น วันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา โดยวิธีประชุมอี-มีตติ้ง ปรากฏว่า ผู้ถือหุ้นหลายคนได้ถามคำถามเกี่ยวกับการลงทุนในบิทคับของ SCBX แต่ฝ่ายบริหารได้ตัดและปิดกั้นคำถามเหล่านี้โดยไม่ได้ตอบคำถามเลยแม้แต่คำถามเดียว

คำถามคือบรรดาผู้บริหารไทยพาณิชย์ที่ต้องบริหารสินทรัพย์ต่างพระเนตรพระกรรณพวกนี้กำลังปิดบังอะไรอยู่ คิดว่าจะปิดฟ้าด้วยฝ่ามือได้หรือ และสมควรหรือที่จะเข้าไปลงทุนในกิจการที่กำลังล้างสมองเยาวชนไทยให้กลายเป็นสาวกบิทคับเบอร์ของนายท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา

Source