Bitkub เทียบ Binance ค่าต๋งแพง-ค่าถอนโหด กับดักแมงเม่า

ข่าวเชิงวิเคราะห์บิทคับ ยูนิคอร์นสายพันธุ์อันตราย!?” ตอนที่ 5 โดย iBit

เทียบแพลตฟอร์มบิทคับกับไบแนนซ์ พบเก็บค่าธรรมเนียมแพงกว่าเท่าตัว ค่าถอนโขกส่วนต่างระยับ 17 บาทต่อรายการ ไม่เปิดฟีเจอร์ป้องลูกค้าตัดขาดทุน ผวาระบบล่มซ้ำแฮกเกอร์เจาะ โอ่เชื่อมต่ออนาคตแต่วันนี้ยังเชื่อมต่อระบบดั้งเดิม แถมขายให้แบงก์ นวัตกรรมไม่ใหม่ จับตาพร้อม “Exit” 100% บทสรุปสุดท้ายยูนิคอร์นไทย = Marketing Company 

กรณีกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCBX มีความต้องการจะซื้อหุ้น บิทคับ ออนไลน์ ผู้ให้บริการศูนย์การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล จำนวน 51% คิดเป็นมูลค่ากว่า 17,850 ล้านบาท โดยนับตั้งแต่เดือนพ.. 2564 ที่ประกาศข่าวออกมา ผ่านมาถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 5 เดือนแล้วดีลนี้แม้แต่การยื่นขออนุญาตอย่างเป็นทางการจากธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังไม่เกิดขึ้น!

ความล่าช้าของดีลนี้ วิเคราะห์กันว่า มีความเป็นไปได้ทั้ง SCBX และ กลุ่ม บิทคับ อาจจะกำลังต่อรองกันอย่างหนัก ภายหลัง SCBX ได้เข้าตรวจสอบวิเคราะห์สถานะทางธุรกิจ หรือ ดีลดิลิเจนท์ พบเห็นอะไรที่ไม่ตรงปกหรือไม่? เช่น ปัญหาบัญชีสมาชิกที่ยังไม่รู้ว่า ในจำนวน 3 ล้านบัญชีมี ผู้ลงทุนตัวจริงที่พิสูจน์ตัวตนได้เท่าไหร่ ที่พิสูจน์ไม่ได้ เป็นนอมินีหรือบัญชีม้า ปะปนอยู่มากน้อยแค่ไหน ปริมาณการซื้อขาย รายได้ ที่อาจจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่บิทคับ โฆษณาชี้ชวน (ตามที่เคยวิเคราะห์ไว้ในตอนที่ผ่านมา) เป็นต้น

ขณะที่ เกณฑ์การควบคุมดูแล จาก “ Regulator” ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และ ตลาดหลักทรัพย์ (...) ที่เห็นความเสี่ยงจากการเข้าตรวจสอบบิทคับ และ ที่เกิดจากการทำตลาดอย่างบ้าคลั่งของบิทคับก็ดี จนต้องออกประกาศ เปลี่ยนแปลงเงื่อนไข หรือ ข้อห้ามไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิตัลดำเนินการในหลายอย่างที่เป็นความเสี่ยงแก่ ผู้ลงทุน องค์กรธุรกิจ และ ระบบเศรษฐกิจ มาอย่างต่อเนื่องตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา และ ยังจะนำออกมาบังคับใช้อีกหลายมาตรการภายในกลางปีนี้

ยิ่งกรณีของ “KUB” เหรียญที่บิทคับออกมาแล้วซื้อขายในตลาดของตัวเอง ต่อมาเกิดอภินิหารที่อธิบายโดยปัจจัยพื้นฐานไม่ได้ว่า ทำไมราคาของเหรียญจึงพุ่งทะลุฟ้า จากราคา 30 บาทขึ้นไปถึง 500 กว่าบาท หรือ บวกขึ้นไปเกือบๆ 1,800% ก่อนจะถูกเทขายราคาไหลรูดลงมา ซึ่งอธิบายได้อย่างเดียวว่า นี่คือการสร้างราคาหรือปั่นเหรียญเล่นเก็งกำไรในตลาดทำให้ เจ้ามือรวย คนที่ซวย ก็คือ รายย่อย หรือ แมงเม่าทิ่บินเข้ากองไฟ โดยที่ผ่านมา ก... ได้เข้าตรวจสอบแล้วซึ่งอีกไม่นานคงจะมีคำตอบให้สังคมอย่างแน่นอน

อ่านเพิ่มเติม ...เล็งสอบ ปั่น “KUB-JFIN-SIX” หลังพบความผิดปกติราคาผันผวนรุนแรง

ว่ากันว่า ปรากฏการณ์ปั่น “KUB” เย้ยฟ่าท้าดิน หากเทียบกับ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ถ้าออกหุ้นเอง เทรดเอง ลักษณะนี้ย่อมมีการใช้ข้อมูลภายใน การสร้างราคา เพื่อประโยชน์ของตัวตลาดเองอย่างไม่ต้องนำสืบ ตลาดนั้นๆ ก็จะไม่ต่างกับบ่อนพนันและ ย่อมเกิดคำถามกับ SCBX ที่จะให้ บล.หลักทรัพย์ของตัวเองเข้าไปถือหุ้นในบ่อนพนันเช่นนี้หรือ?

เงินลงทุน 17,850 ล้านบาท โดยเหตุผลต้องการเชื่อมต่อกับโลกการเงินดิจิทัล หรือ โลกอนาคต เป็นวิชั่นที่ไม่อาจจะปฏิเสธเทรนด์ของโลกการเงิน แต่สิ่งที่เป็นไปและจะได้มาคือตลาดซื้อขายคริปโตที่ภาพกลายเป็นแหล่งพนันไปแล้ว เชื่อได้ว่า SCBX เองก็ต้องคิดหนัก

อ่านเพิ่มเติม KUB-JFIN กอดคอกันร่วง หลังนักเทรดแห่เทขายทำกำไร

ไบแนนซ์ ตัวเปลี่ยนเกม

นอกจากนี้ อีกปัจจัยที่ SCBX จะต้องคิดหนักแน่ๆ คือ การเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยของ Cryptocurrency Exchange เบอร์หนึ่งโลก อย่าง Binance แม้บิทคับจะเคลมว่า ตัวเองเป็นเจ้าตลาดของศูนย์การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย แต่สำหรับนักลงทุนคริปโตฯ ไทยรู้จัก ไบแนนซ์มาก่อนบิทคับตั้งนานแล้ว และเปิดบัญชีกับ ไบแนนซ์ ไม่น้อย ซึ่งเป็นไปได้สูงว่า จำนวนบัญชีและปริมาณการซื้อขายในปัจจุบันของคนไทยอาจจะมากกว่า บิทคับ เสียด้วยซ้ำ

การมาของไบแนนซ์ จะเป็นตัวเปรียบเทียบ และเปลี่ยนเกมตลาดคริปโตฯ เมืองไทยอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยมาตรฐานแพลตฟอร์มที่เป็นสากลระดับโลก และพิสูจน์ตัวเองด้านระบบการซื้อขาย และความปลอดภัย ระดับของเทคโนโลยีที่พัฒนาอยู่ตลอด จะเป็นจุดที่นักลงทุน จะสัมผัสเปรียบเทียบกันได้ เรียกว่า ไบแนนซ์อยู่เหนือบิทคับทุกประตู

สิ่งสำคัญที่สุดของ Cryptocurrency Exchange หรือ แม้แต่ตลาดหุ้น ก็คือ การซื้อขายที่เป็นธรรม ไบแนนซ์ ที่ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งโลกย่อมต้องได้รับความเชื่อถือจากนักลงทุน แต่สำหรับ บิทคับ นั้นยังเต็มไปด้วยคำถาม

ขณะที่บิทคับเริ่มต้นมา 3 ปีเศษ มีรายงานจากการเข้าตรวจสอบของ ก...บ่งชี้พบข้อบกพร่อง การทำธุรกิจไม่รัดกุมเพียงพอ ระบบขาดประสิทธิภาพ อยู่เป็นระยะ ตั้งแต่การเปิดบัญชี การพิสูจน์ตัวตนจองลูกค้า Market Marker การซื้อขาย การปล่อยให้มีการสร้างราคาของ KUB ไปจนถึง รวมไปถึงการปล่อยให้คนนอกเข้ามามีอิทธิพลต่อการบริหารจัดการในตลาดซึ่งเป็นข้อที่หนักหนาสาหัสกับธรรมาภิบาลที่จำเป็นต้องมีสำหรับ Exchange

วันที่ ไบแนนซ์ ซึ่งจับมือกับ กัลฟ์ ยักษ์ใหญ่ธุรกิจพลังงาน เปิดศูนย์การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยเมื่อไหร่ ภาพการเปรียบเทียบระหว่าง Exchange สองรายนี้จะยิ่งชัดขึ้น

เทียบ ไบแนนซ์ VS บิทคับ กระดูกคนละเบอร์

ลองมาเปรียบเทียบ ไบแนนซ์ กับ บิทคับ กันดู จากการสัมผัสของลูกค้าที่เปิดทั้งสองบัญชีใช้บริการซื้อขายคริปโตฯ โดยส่วนใหญ่ เห็นว่า โดยพื้นฐาน เปิดบัญชีกับไบแนนซ์สะดวกและรวดเร็วกว่า แม้จะปลอดภัยสูงกว่าบิทคับแต่ก็ถ้าผ่านการพิสูจน์ตัวตนได้ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาที กับบิทคับต้องใช้เวลานาน 15-30 วัน การใช้งานล็อกอินไบแนนซ์เข้าง่าย แต่บิทคับขั้นตอนยุ่งยาก

ขณะที่จำนวนเหรียญในกระดานเทรดไบแนนซ์มีมากกว่าบิทคับหลายเท่าตัว ซึ่งมาพร้อมกับสภาพคล่องที่แตกต่างกันด้วยปริมาณการซื้อขายหมุนเวียนที่มากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ต่อวัน ขณะที่บิทคับเทรดเฉลี่ยวันละไม่ถึง 1 ล้านดอลลาร์สภาพคล่องถือว่าน้อยกว่ามากไม่นับรวมเรื่องของการการโอนเหรียญคริปโต ฯ ระหว่างกระดานเทรดหรือระหว่างแพลตฟอร์ม ไบแนนซ์มีความหลากหลายและทางเลือกมากกว่า

ค่าธรรมเนียมบิทคับแพงค่าถอนโหด

ค่าธรรมเนียมในการเทรด ไบแนนซ์ คิด 0.1% หรือ ซื้อขายไปกลับ อยู่ที่ 0.2% หากใช้เหรียญ BNB หรือ เหรียญไบแนนซ์ เป็นส่วนลดค่าธรรมเนียมได้ 25% ขณะที่ บิทคับ จะคิดค่าธรรมเนียมในการเทรด 0.25% ไปกลับซื้อขาย เก็บค่าต๋ง 0.50% ถือว่าแพงกว่า ไบแนนซ์เกือบเท่าตัว และ เมื่อมีการถอนบิทคับก็จะคิดค่าธรรมเนียม 20 บาทต่อรายการกับนักลงทุน ซึ่งว่ากันว่า เป็นค่าธรรมเนียมที่มหาโหดที่คนในวงการการเงินมองว่า บิทคับเอากำไรเกินควร ทั้ง ๆ ที่ แบงก์คิดค่าธรรมเนียมค่าบริการกับบิทคับเพียง 3 บาทต่อรายการ แต่บิทคับเอามาเรียกเก็บจากลูกค้าเพิ่มถึง 17 บาท

ฟีเจอร์แตกต่าง บิทคับไม่มี Stop Limit

ในด้านฟังก์ชันหรือฟีเจอร์เครื่องมือทางเลือกในการลงทุน ไบแนนซ์ มีมากกว่า ใช้งานง่ายกว่า บิทคับ ไม่ว่าจะเป็น การเทรดเหรียญแบบ Spot, Futures และ Options ตลอดจนการเทรดแบบใช้มาร์จิน ซื้อขายกันเองแบบ P2P รวมไปถึงการปล่อยกู้รับผลตอบแทน หรือ เก็บเหรียญเพื่อรับดอกเบี้ย

ที่สำคัญ ระบบการซื้อหรือขายของบิทคับ เล่นหรือลงทุนได้แบบ Spot อย่างเดียวซึ่งอาจจะเป็นสวรรค์ของนักลงทุนทำกำไรในช่วงตลาดขาขึ้น แต่สำหรับขาลงนั้น ต้องบอกว่า นรกมาเยือนผู้ลงทุนมือใหม่มีโอกาสที่จะขึ้นไปพำนักบนดอยแขวนตัวเองอยู่ไปราคาสูงไม่สามารถบริหารจัดการพอร์ตของตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ได้

ยิ่งหากดูรายละเอียดของการทำคำสั่งซื้อขายเปรียบเทียบกันของสองแพลตฟอร์ม บิทคับ มักถูกลูกค้านักเล่นบ่นกรณีไม่สามารถกดซื้อหรือขายในราคาตลาดได้แบบเรียลไทม์บ่อยครั้ง จนสูญเสียโอกาสได้ราคาที่อยากจะซื้อหรือขาย

bitkub

ขณะที่ ฟีเจอร์ “Stop Limit order” หรือ เครื่องมือ “Cut Loss” ที่จะช่วยปกป้องผู้ลงทุนจากความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง สามารถกำหนดราคาเอาไว้ล่วงหน้าเมื่อถึงระดับที่ไม่สามารถแบกรับการขาดทุนระบบก็จะเตือนให้ขาย หรือ ขายให้ทันที หากไม่ได้ติดตามหรือมอนิเตอร์การลงทุนของตัวเองแบบ 24 ชั่วโมง หรือ เฝ้ากระดานเทรดได้ทั้งวันทั้งคืน ไบแนนซ์นั้นมีฟีเจอร์นี้เอาไว้ช่วยนักลงทุน แต่สำหรับบิทคับให้ใช้เฉพาะ บิตคอยน์ และ อีเทอร์เรียม ในวงการนักลงทุนคริปโตฯ ถือว่า เป็นข้อเสียอย่างร้ายแรงในสายตาของนักเทรด

ดังที่เกิดโศกนาฎกรรม กับการกอดคอดิ่งเหวของ 3 เหรียญ KUB JFIN และ SIX ที่ถูกเทขายเหมือนตั้งใจจากเจ้ามือทำปลั๊กหลุดอย่างเป็นปริศนา ในช่วงกลางคืนของวันที่ 30 .. 2564 มีผลกระทบกับรายย่อยชนิดที่ไม่สามารถตัดขาดทุนได้ทัน เหตุการณ์นั้นต้องบันทึกเอาไว้ในบัญชีหนังหมาของ ก...ว่า มีพิรุธในการสร้างราคาปั่นและทุบเหรียญของใคร และ ใครที่ได้ประโยชน์จากรูโหว่ของระบบของ บิทคับ

ผวาระบบล่มหลอนโดนแฮกเกอร์ทดสอบ

จุดที่นักลงทุนหรือลูกค้ายังคาใจบิทคับที่ปฎิเสธไม่ได้ว่า เป็นความเสี่ยงที่ไม่มีใครกล้าการันตีจะไม่เกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะปัญหาระบบล่มของเครือข่ายบิทคับที่เคยเกิดขึ้น ทำให้การซื้อขายหยุดชะงักเมื่อวันที่ 2 วันที่ 3 และวันที่ 16 มกราคม 2564

รวมไปถึงระบบสำคัญ เช่น ระบบการฝากถอนเงินและสินทรัพย์ดิจิทัล ระบบการแสดงข้อมูลทรัพย์สินลูกค้า ระบบการให้บริการติดต่อลูกค้า ทั้งหลายเหล่านี้เป็นปัญหาที่ก...ได้สั่งการให้บิทคับแก้ไขและเยียวยาผู้เสียหายมาโดยตลอด เพราะมีลูกค้าร้องเรียนจำนวนมาก เมื่อเทียบกับไบแนนซ์แล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้แทบจะไม่ค่อยเกิดขึ้น

bitkub

อีกประการที่พูดกันในวงในเทคโนโลยีก็คือ ระบบการป้องกันความปลอดภัยจากการโจมตีของแฮกเกอร์ซึ่งถือว่าสำคัญมากของตลาดซื้อขายคริปโตฯ โดยแม้ว่า แฮกเกอร์ จะเลือก Exchange ที่เป็นเจ้าใหญ่ มีชื่อเสียงของโลก แต่ไม่มีใครกล้ารับประกันได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นกับบิทคับ ซึ่งก็เป็นเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ว่า บิทคับ พร้อมหรือไม่สำหรับการทดสอบอันตรายจากแฮกเกอร์

ที่ผ่านมา แฮกเกอร์ เจาะเข้าระบบของเครือข่ายบล็อกเชนของเจ้าใหญ่ๆ หลายราย โดยรายล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมาบล็อกเชน โรนิน เน็ตเวิร์กก็เพิ่งถูกแฮกเกอร์โอนเงินออกจากระบบ คิดเป็นมูลค่ากว่า 20,455ล้านบาท มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในโลกของคริปโตเคอเรนซี่เมื่อเทียบกับความเสียหายครั้งก่อนหน้าหลายครั้ง

บิทคับ = มาร์เก็ตติ้งคอมปะนี

จากทั้งหมด บทสรุปของบิทคับ จากสตาร์ทอัปอัปเกรดขึ้นมาเป็นยูนิคอร์นภายในเวลาอันรวดเร็ว โดยการขี่กระแสขาขึ้นของบิตคอยน์พร้อมกับความพยายามในการสร้าง “ลัทธิ หรือ การสร้างบุคคลิกให้กับธุรกิจและตัวของ ท๊อปจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ให้เป็นดั่งเจ้าลัทธิ” ที่ปลุกเร้าเจ้าของธุรกิจ และ คนดัง ด้วยการทุ่มงบประมาณการตลาดให้เชื่อไปในแนวทางเดียวกันกับบิทคับ

บิทคับ คือ ผู้ที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลกการเงิน และ เชื่อมต่ออนาคต ด้วยนวัตกรรมใหม่ พร้อมกับการปูพรมกวาดต้อนนักลงทุนหน้าใหม่ไร้ประสบการณ์ นักเรียนมัธยม เด็กมหาวิทยาลัย ที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเองด้วยแคมเปญเช่น 10 บาทก็ลงทุนได้ เมื่อเทียบกับ ไบแนนซ์ หรือ แม้แต่ ศูนย์การซื้อขายคริปโตฯ ของไทยด้วยกันเองก็จะไม่บ้าคลั่งเช่นนี้ เห็นข้อแตกต่างอย่างชัดเจน ว่าบิทคับนั้นเอาการตลาดนำหน้าเพื่อรายได้ เพื่อผลกำไรทางธุรกิจ มากกว่าผลลัพธ์การพัฒนาตลาดคริปโตฯ

จิรายุส มักพูดเสมอถึง การเปลี่ยนแปลงโลกการเงินดิจิทัลที่จะเข้ามาดีสทรับ หรือทำธุรกิจให้ชะงักงันได้หากไม่เข้าร่วมขบวนคล้ายๆเขียนเสือให้วัวกลัวส่วนของบิทคับรอจับปลาตอนน้ำขุ่น เมื่อธุรกิจตอบรับเข้าร่วมลัทธิ บนความไม่รู้เรื่องของคริปโตฯ และเทคโนโลยีก็ต้องจ่ายค่าบริการและ ราคาที่ต้องจ่าย” เพราะวาดหวังจะออกเหรียญของตัวเอง ทำกำไรเหมือน KUB ของบิทคับที่ทำตัวอย่างให้ดูแล้ว

ในความเป็นจริง เมื่อแบงก์ชาติออกกฎคุมเข้ม เช่น ห้ามนำเหรียญมาชำระสินค้าหรือบริการ นี่ก็ไปไม่เป็นหลายราย หรือ กระทั่งล่าสุด ...ออกหลักเกณฑ์กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจัดทำและส่งรายงานข้อมูลการซื้อขาย การแลกเปลี่ยน และการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลของลูกค้าเพื่อประโยชน์ในการสอบทานทรัพย์สินของลูกค้า

นั่นหมายความว่า ก...ไม่ไว้ใจ บริษัทที่ดูแลคริปโตฯ ของลูกค้าอาจจะไม่ปฎิบัติตามข้อกำหนดส่งผลให้นักลงทุนมีความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งความเสี่ยงนี้ย่อมกระทบต่อการดำเนินงานขององค์กรธุรกิจและเงื่อนไขทางการเงินของบริษัทต่างๆ อาจจะมีการเล่นแร่แปรธาตุไว้นอกงบการเงิน ไปปล่อยกู้กันเอง หลีกภาษี หรือ แม้แต่ ฟอกเงิน

ดังที่เป็นกระแสกังวลกันทั่วโลกของหมู่ Regulator ว่า สินทรัพย์ดิจิทัล ถูกใช้เพื่อการมุ่งหวังทำกำไร สร้างความมั่งคั่ง ให้คนบางกลุ่มมากกว่า มุ่งพัฒนาเพื่อโลกการเงินในอนาคต โดยการทำทุกวิถีทางที่จะหาองค์กรธุรกิจมาเป็นลูกค้ายกกระแสเปลี่ยนแปลงมากล่าวอ้าง

เพราะฉะนั้นเวลาที่ จิรายุส เสนอผ่านสื่อจะโน้มน้าวให้เจ้าของธุริกิจ หรือ ชนชั้นนำของสังคม กลุ่มอีลิท ดารา เซเลบ ผ่านการตั้งหลักสูตร หรือ โปรแกรม เช่น The chosen one เปลี่ยนองค์กร เปลี่ยนชีวิตให้หนีจากกับดักรายได้ปานกลางที่ทำกันแค่ สร้างผลผลิต และ บริการ โดยบอกว่า เมืองไทยบริษัทใหญ่ ๆ ในตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 30 ปีที่แล้วเป็นยังไง ทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม สูญเสียโอกาสมหาศาลใน ไปยึดติดกับการทำธุรกิจแบบเดิมๆ ซึ่งก็พอจะอยู่รอดในยุคนั้นเท่านั้น

วันนี้ทุกคนต้องสามารถสร้างธุรกิจในเลเยอร์ที่ 3 – 4- 5 ขึ้นมาได้ เหมือนกับ บิทคับ ที่ยกระดับจากสตาร์ทอัปมาเป็น ยูนิคอร์น และ กำลังจะก้าวต่อไปในอีกระดับที่สูงกว่า เพื่อรองรับการเติบโตสู่โลกใหม่ และ ทุกคนก็ควรสนับสนุนให้บิทคับไปถึง level 4 คือ super app อยู่เหนือตลาด ถึงตรงนั้น ก็ต้องถามว่า คนไทย ประเทศไทยได้อะไรจากบิทคับ?

ด้วยนโยบายการขับเคลื่อนธุรกิจดังกล่าวของบิทคับ จึงไม่แปลกที่คนในวงการเทคโนโลยี จะมองว่า บิทคับ เป็นเพียง Marketing Company ที่หากให้วิเคราะห์กันจริงๆ เทคโนโลยี หรือ นวัตกรรม ของบิทคับที่ว่า เป็นนวัตกรรมใหม่ที่จะมาเปลี่ยนโลก เชื่อมต่ออนาคต ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ เทคโนโลยีเหล่านี้มีผู้พัฒนาเอาไว้อยู่แล้ว

ตรงกันข้าม วันนี้ระบบสำคัญของบิทคับก็ยังพึ่งพาเชื่อมต่อกับ การเงินแบบดั้งเดิมอยู่มาก เรียกว่า นำของที่มีผู้คิดค้นไว้เอาป้ายสติกเกอร์ใหม่ของตัวเองมาแปะทับเท่านั้นเอง

ที่หัวเราะไม่ออกร่ำไห้มิได้ คือ การบอกว่า โลกการเงินแบบเก่าซึ่งหมายถึงระบบการเงินที่พึ่งพาแบงก์ จะถูกดิสรัปต์ด้วยเทคโนโลยีเงินดิจิทัล ทำการตลาดให้คนเชื่อมั่นเข้าสู่ธุรกิจเงินดิจิทัล แต่บิทคับกลับเสนอขายหุ้นบิทคับให้กับกลุ่มธนาคาร และ เชื่อว่า บรรดาผู้ก่อตั้ง รวมทั้ง จิรายุส เองก็ยังต้องฝากเงินในระบบธนาคารแบบดั้งเดิมเพื่อความปลอดภัยของตนเอง

ถึงวันนี้ คนในวงการเทคโนโลยีหลายคนรู้สึกผิดหวัง และเสียดาย ที่ให้โอกาสบิทคับมาเชื่อมต่อระบบ โดยไม่เพียงไม่ให้เครดิต ยังนำระบบนั้นๆ ไปทำการตลาดเสนอลูกค้าโกยกำไร

แน่นอนว่า จิรายุส ก็รู้ซึ่งถึงข้อนี้ดี ระหว่างการพัฒนาสินทรัพย์ไปสู่โลกอนาคตจริงๆ บนความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการที่ดำเนินการเพื่อปกป้องทรัพย์สินดิจิทัลไม่ใช่เรื่องง่าย รวมถึงความเสี่ยงและความไม่แน่นอนด้านเทคโนโลยี กฎหมายและกฎระเบียบของ แบงก์ชาติ และ ก...โดยเฉพาะการทำธุรกิจ “Exchange” นั้นอยู่บนความไม่แน่นอนไปด้วย ไม่เช่นนั้นคงไม่พยายามจะ “Exit” ออกจากธุรกิจที่ตั้งมากับมือ แว่วว่า ใน 49% ที่เหลือในบิทคับออนไลน์ ทางบิทคับโฮลดิ้งส์ก็กำลังวางแผนที่จะเสนอขายให้กับผู้สนใจอยากจะกระโจนเข้ามาเป็นเจ้าของตลาดซื้อขายคริปโตฯ 

หากมองตามวิถีของสตาร์ทอัพเมื่อถึงจุดพีคแล้วต้องรีบ Exit ให้หมดเพื่อ “Win” ในธุรกิจก็มีความเป็นไปได้สูงที่กลุ่มบิทคับจะทำ

นั่นหมายความว่า เป้าหมายใหม่ของบิทคับ หรือ Bitkub The next chapter อยู่ที่  Bitkub Chain Bitkub Next กับโปรแกรม The chosen one ที่เป็นกลุ่ม elite insider เหรียญสุดอันตราย ท่ามกลางความพินาศฉิบหายของแมงเม่า ใน Bitkub exchange ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของ SCBX ที่ไปวัดดวงเอาในวันข้างหน้า

ประการสำคัญบทสรุปสุดท้าย  ซีรีส์บิทคับ ตีแผ่เรื่องของธุรกิจคริปโตฯ ในอีกด้านจะเป็นอย่างไรที่มุ่งแต่ฉกฉวยหากำไร สร้างความร่ำรวยให้คนบางกลุ่ม มาถึงตรงนี้ 5 ตอน SCBX จะมีคำตอบอย่างไรให้กับบรรดาผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะสำนักงานทรัพย์สินฯ ผู้ถือหุ้นใหญ่ กับการจะทะเล่อทะล่าละเลงเงินลงทุน 17,850 ล้านให้กับ Bitkub Exchange หรือกลุ่มของ จิรายุส นั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่อย่างไร นี่ก็ต้องติดตามกันต่อไป

Source

อ่านต่อ