สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (CBDC) หรือ ‘ดอลลาร์ดิจิทัล’ จำเป็นต้องใช้เวลา ‘หลายปี’ ในการพัฒนา
‘เจเน็ต เยลเลน’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวสุนทรพจน์ครั้งแรกเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ระบุว่า การนำสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางสหรัฐฯ ไปใช้นั้น จะต้องสนับสนุนบทบาทที่โดดเด่นของเงินดอลลาร์ในระบบการเงินโลก “CBDC อาจกลายเป็นรูปแบบของเงินที่เชื่อถือได้เทียบเท่ากับเงินสดที่จับต้องได้”
เยลเลน ยังชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบัน เงินดอลลาร์คิดเป็นเกือบ 90% ของธุรกรรมต่างประเทศ และสินทรัพย์ที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์คิดเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของการโอนเงินข้ามพรมแดน
ความคิดเห็นเรื่อง CBDC ของรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ลงนามคำสั่งพิเศษ สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาวิจัยใน ‘คริปโตเคอร์เรนซี’ พร้อมทำการศึกษาเรื่อง CBDC เเละ Stablecoin ต่างๆ
“เราจำเป็นต้องพิจารณาถึงสำคัญเหล่านี้ ในบริบทของการที่เงินดอลลาร์เป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลก” เยลเลนกล่าว
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาด้านคริปโตฯ ใดๆ จะต้องมีความสอดคล้องกับค่านิยมและกฎหมายของสหรัฐอเมริกา ซึ่งการออก CBDC ของสหรัฐฯ นั้นจะต้องใช้เวลาหลายปีในการพัฒนา ไม่ใช่เเค่หลายเดือน
โดยเธอเห็นด้วยกับการที่ประธานาธิบดีไบเดนสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ เพื่อทำความเข้าใจความท้าทายและโอกาสที่ CBDC อาจจะนำประโยชน์มาให้กับชาวอเมริกันได้ในอนาคต
สหรัฐฯ นับเป็นหนึ่งในร้อยกว่าประเทศทั่วโลก ที่กำลังเดินหน้าสร้างสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง รวมถึงจีนซึ่งออกเงินหยวนดิจิทัล (e-CNY) มาตั้งเเต่ ปี 2014 เเละมีเริ่มการนำร่องเพื่อขยายการใช้งานสกุลเงินหยวนดิจิทัลในบริการค้าปลีก บริการของรัฐบาล ภาคอสังหาฯ และอื่นๆ
ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2021 มูลค่าการทำธุรกรรมด้วยหยวนดิจิทัลของทั้งประเทศจีน สูงเกือบ 8.76 หมื่นล้านหยวน (ราว 4.63 แสนล้านบาท) มีการเปิดใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลหยวน 261 ล้านบัญชี
- จีนเริ่มใช้ ‘หยวนดิจิทัล’ ชำระเงินโครงการอสังหาฯ เร่งขยายไปยังภาคธุรกิจอื่น
- ‘สหราชอาณาจักร’ ปักเป้าเป็น ‘ผู้นำโลกคริปโต’ พร้อมเตรียมสร้าง NFT ของตัวเอง
ที่มา : businessinsider