ในช่วงที่ตลาดกำลังพูดถึงสมาร์ทโฟน ตื่นเต้นกับนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ออกมาโดยมีไอโฟนเป็นตัวเปิดเกม แม้สมาร์ทโฟนยังไม่กินตลาดใหญ่ของตลาดโทรศัพท์มือถือ แต่แบรนด์ที่ไม่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสมาร์ทโฟน หรือเล่าได้ไม่โดนใจผู้บริโภค ก็ส่งผลให้ภาพลักษณ์รวมของแบรนด์ล้าสมัย ไม่ทันโลกไปด้วย “โนเกีย” เป็นตัวอย่างที่ดีในกรณีนี้ เพราะเมื่อทั่วโลกกำลังสนใจทัชโฟน แต่ที่ผ่านมาผู้บริหารโนเกียเน้นเสมอว่านั่นคือสิ่งที่ตลาดเฉพาะกลุ่มต้องการเท่านั้น แต่ปรากฏว่าตลาดเฉพาะกลุ่มกลายเป็นแรงกระเพื่อมให้ขยายวงกว้างจนยังไม่เห็นขอบเขตว่าจะสิ้นสุดที่จุดใด
หากมองในแง่วิกฤตของโนเกีย จะพบได้ว่าโนเกียเจอศึกที่หนักหนาสาหัสทั่วโลก เพราะมีคู่แข่งรอบทิศ จนเสียส่วนแบ่งตลาดบนให้ “ไอโฟน” ที่สามารถกวาดกลุ่มที่ต้องการใช้สมาร์ทโฟนเพื่อมัลติมีเดีย และความบันเทิง และเสียกลุ่มที่ต้องการใช้ทำงานทั้งอีเมลและแชต ให้กับ “แบล็คเบอร์รี่ หรือ บีบี” ขณะที่ “ซิมเบียน” (Symbian) ของโนเกียไม่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เพราะการเข้าถึงการใช้งานไม่ง่ายและไม่สะดวก และลูกเล่นผ่านแอพพลิเคชั่นแทบจะไม่มี จนแอพพลิเคชั่นสโตร์อย่าง Ovi Store เงียบเหงา
โนเกียพยายามพัฒนาโอเอสสำหรับสมาร์ทโฟนอย่าง มีโก (Meego) หลายปี จนเพิ่งเปิดตัวด้วยรุ่น N9 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ท่ามกลางความสับสนของลูกค้า ที่ไม่แน่ใจในอนาคตทั้งซิมเบียนและมีโก หลังจากโนเกียร่วมมือกับไมโครซอฟท์เพื่อพัฒนาโอเอสวินโดวส์โฟน 7 สำหรับสมาร์ทโฟน
ตลาดระดับกลาง “โนเกีย” เสียตลาดให้แอนดรอยด์ ซึ่งเป็นโอเอสที่เปิดกว้างให้แบรนด์สมาร์ทโฟนต่างๆ มาใช้ จนตลาดนี้มีสีสัน และที่สุดเกิดการแข่งขันกันที่ราคา จนระดับ 5,000 บาทกับอินเตอร์แบรนด์ และเฮาส์แบรนด์ต่ำกว่า 5,000 บาท ก็ทำให้ลูกค้าแมสจำนวนมากสามารถถอยสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์มาใช้ได้
เมื่อโนเกียเจอกับคู่แข่งที่มาแรงอย่าง “ซัมซุง” ที่ขอท้าชนโนเกียตรงๆ ประกาศชิงเบอร์ 1 ในตลาดนี้จากโนเกียให้ได้ และดูเหมือน “ซัมซุง” กำลังใกล้เป้าหมาย หลังจากมีโปรดักต์แชมเปี้ยนอย่าง “ซัมซุงกาแล็กซี่ S” ที่ทำให้สมาร์ทโฟนของโนเกียสะเทือนอีกระลอกหนึ่ง
ส่วนตลาดล่างที่ “โนเกีย” เป็นหนึ่งตั้งแต่ระดับต่ำกว่าพันบาทขึ้นมา ก็โดนเฮาส์แบรนด์ และแบรนด์จากเอเชียกระหน่ำโจมตีด้วยคุณสมบัติใหม่ๆ อย่าง 2 ซิม ดูทีวี กล้อง ฟังเพลง หรือแม้แต่แบรนด์เกาหลีทั้งซัมซุงและแอลจี ก็กำลังบุกหนักในตลาดนี้อีกเช่นกัน
ศึกหนักของโนเกียในตลาดโลกคือไอโฟน ความหวังจะกินตลาดล่างอย่างในประเทศไทยเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับโนเกียที่ยังเจอคู่แข่งเพิ่มอย่างเฮาส์แบรนด์ที่ดัมพ์ราคาได้ถูกกว่า
วิกฤตแสดงอาการด้วยส่วนแบ่งตลาดลดลงเรื่อยๆ จนปัจจุบันมูลค่าตลาดของโนเกียเหลือ 24,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่ำสุดตั้งแต่ปี 1998จากที่เคยสูงสุดในปี 2000 มิถุนายน 285,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่นักวิจารณ์ต่างชาติบอกกันว่า เหมือนยักษ์ที่ล้มครืนและร่วงจากยอดเขาอย่างรวดเร็ว
สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยนั้น ไม่ต่างกันมากนัก ตัวเลขมาร์เก็ตแชร์ลดลงเรื่อย ๆ ทำให้ทีมงานของโนเกียต้องทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาตำแหน่งที่หนึ่งให้ได้ เป็นการทำงานภายใต้ความกดดันที่สูงอย่างยิ่ง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โนเกียได้เปลี่ยนผู้บริหารในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย แล้ว 2 ครั้ง โดยล่าสุดผู้บริหารชูมิท คาพูร์” เพิ่งลาออก และไปเป็นผู้บริหารของกลุ่มขนม ขบเคี้ยว Mars มีออฟฟิศอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย
โนเกียประกาศแต่งตั้ง “แกรนท์ แมคบีธ” เป็นกรรมการผู้จัดการที่นอกจากดูแลประเทศไทยแล้ว ยังดูแลตลาดเอเชียเกิดใหม่อีก 3 ประเทศ คือ บังคลาเทศ เนปาล ศรีลังกา ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ “ชูมิท” ดูแลมาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา
“นนทวัน สินธวานนท์” ผู้จัดการอาวุโส วางแผนและบริหารผลิตภัณฑ์ บริษัทโนเกีย (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่าในช่วง 12 ปีที่ร่วมงานกับโนเกียในไทย มี 2 ช่วงเวลาที่ยากลำบากในการทำธุรกิจ คือช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2008 ที่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก คนประหยัดใช้จ่าย และปี 2011 สำหรับโนเกีย ที่เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านรอเทคโนโลยีใหม่อย่างวินโดวส์โฟน โจทย์ในครั้งล่าสุดนี้ท้าทายมากว่าจะทำอย่างไรให้ยังคงรักษายอดขายไว้ได้ และแบรนด์ไม่หายไปจากตลาด
ที่ผ่านมาแบรนด์โนเกียค่อนข้างเงียบไปจากตลาดผู้บริโภคกลุ่มวัยรุ่น และคนรุ่นใหม่ โนเกียจึงพยายามตอบโจทย์ให้แบรนด์ดูสดใส และพูดในสิ่งที่เขาสนใจ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยสื่อที่เขาใช้ให้มากที่สุด เหมือนอย่างที่โนเกียได้วางตลาดมือถือ 2 ซิม แม้จะตามหลังเฮาส์แบรนด์ แต่ความต้องการนี้ยังมีอยู่มาก และถือเป็นความต้องการแรกๆ ของกลุ่มแมส
ขณะที่ “ชูมิท คาพูร์” หลังจากที่เขาได้เรียนรู้ตลาดเมืองไทยมานานกว่า 2 ปี ในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป บริษัทโนเกีย (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า บทเรียนที่โนเกียได้เรียนรู้อย่างดี โดยเฉพาะการทำตลาดในแต่ละประเทศ อย่างเช่นในประเทศไทย คือต้องปรับตัวเพื่อนำสิ่งที่ผู้บริโภคคนไทยต้องการจริงๆ อย่างเช่น ต้องเข้าใจว่า “เลดี้ กาก้า” ไม่ใช่ศิลปินที่คนไทยทุกคนรู้จัก แต่ควรมองหาเพลง หรือศิลปินคนไทยเพื่อให้ถูกกับรสนิยมของคนไทยส่วนใหญ่ หรือรวมไปถึงการเปิดกว้างในการดึงนักพัฒนาให้เข้ามาร่วมกับโนเกียให้มากที่สุด
ในฐานะอดีตผู้บริหารของโนเกีย เขาบอกว่าKey Learning สำหรับโนเกียคือ การทำงานที่ต้องเริ่ม Ecosystem ให้เร็วขึ้น และการ Localize คือสิ่งที่ดีที่สุด
ความพยายามของโนเกียนั้น “ชูมิท” บอกว่าภายใน 12 เดือนนี้โนเกียเตรียมสมาร์ทโฟนจำหน่ายไว้ประมาณ 10 รุ่น และภายในสิ้นปี 2011จะจำหน่ายวินโดวส์โฟน 7 ในไทยด้วยเช่นกัน และเชื่อว่าในตลาดสมาร์ทโฟนจะเหลือแพลตฟอร์มที่ให้บริการในตลาด ในรูปแบบ Ecosystem คือวินโดวส์โฟน ไอโอเอส และแอนดรอยด์เท่านั้น
ส่วนในตลาดแมส โนเกียจะมีโทรศัพท์มือถือ 2 ซิม ทั้งหมดเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดที่ 1 ไว้ให้ได้
หากเปรียบกับทีมฟุตบอลแล้ว “ชูมิท” บอกว่าโนเกียมีมือถือรุ่นต่างๆ ที่พร้อมเล่นในสนามแม้ ผู้เล่นจะไม่เพอร์เฟกต์ แต่ทุกคนก็ดีพอที่จะรักษาตลาดไว้ได้ เพราะแบรนด์โนเกียยังแข็งแรง โดยส่วนตัวเขาเชื่อว่าทุกคนต้องเคยใช้โนเกียมาก่อน แม้ยังต้องรอรุ่นใหม่ๆ เข้ามาในกลุ่มสมาร์ทโฟนอย่างวินโดวส์โฟน 7 จนอาจสูญเสียลูกค้าบางส่วน แม้วันนี้โนเกียจะเป็นอดีตสำหรับเขา แต่เขาก็ยังเชื่อว่าการแข่งขันในตลาดนี้ไม่มีคำว่าสายเกินไป
- ความพยายามหาทางรอดของโนเกีย
- พยายามเจรจาขายธุรกิจเน็ตเวิร์ค โนเกีย ซีเมนส์ เน็ตเวิร์คส เพื่อดันตัวเลขผลประกอบการโดยรวมของโนเกียให้ดีขึ้น
- การลดราคาเครื่องทั้งสมาร์ทโฟนและมือถือราคาถูก
- การร่วมมือกับไมโครซอฟท์ในการพัฒนาสมาร์ทโฟนบนโอเอส “วินโดวส์โฟน 7” ท่ามกลางคำวิจารณ์ที่ว่าเป็นโอเอสที่ดี น่าสนใจ แต่ถ้าราคาแพง ใครล่ะจะซื้อ ดังนั้น ทางรอดคือตลาดระดับกลางที่ไม่ชนกับไอโฟน และเหลือโอกาสทองเพียงปี 2012 ในตลาดอเมริกา ยุโรปเท่านั้น เพราะอัตราส่วนของผู้สมาร์ทโฟนสูงกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว ส่วนตลาดที่เหลืออยู่อาจนานถึงปี 2015 ในตลาดเอเชีย และประเทศที่เศรษฐกิจกำลังเติบโต
เอ็มดีใหม่ “โนเกีย”
โนเกียประกาศแต่งตั้ง “แกรนท์ แมคบีธ” เป็น กรรมการผู้จัดการโนเกียประเทศไทย และตลาดเอเชียเกิดใหม่ (ศรีลังกา บังคลาเทศ เนปาล) ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2011 ก่อนหน้านี้เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการขายโนเกีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประจำประเทศสิงคโปร์ ดูแลการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่าย และการดูแลลูกค้า ประสบความสำเร็จในการสร้างรายได้ และการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่แพลตฟอร์มดิจิตอล และโซเชี่ยลมีเดีย
แกรนท์เริ่มร่วมงานกับโนเกียตั้งแต่ปี 2004ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายร้านค้าปลีก ประจำประเทศนิวซีแลนด์
“แกรนท์” กล่าวในเอกสารข่าวแจกสื่อมวลชนว่า “ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาทำงานในตลาดที่ไม่หยุดนิ่ง และเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของโนเกีย โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นการเริ่มต้นของโนเกียยุคใหม่”
ก่อนร่วมงานกับโนเกีย “แกรนท์” เคยร่วมงานกับแคดบูรี่ เท็กซาโก้ เอสซี จอห์นสัน และโคคา-โคลา
เขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีพาณิชยศาสตร์ สาขาวิชาการตลาด และการเงินบัญชี จากมหาวิทยาลัยอ๊อคแลนด์ และปริญญาโทบริหารธุรกิจ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ