“แสนสิริ” เปิดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ทำยอดขายไปแล้ว 52% จากเป้า ครึ่งปีหลัง 2565 ลุยต่อเนื่อง เปิดตัว 31 โครงการ มูลค่ารวม 31,200 ล้านบาท ไฮไลต์โครงการสำคัญ เปิดบ้านเดี่ยว 3 ระดับราคา 3 แบรนด์บนทำเล “กรุงเทพกรีฑา” พื้นที่ที่แสนสิริมีที่ดินรวมกว่า 500 ไร่ พร้อมวางเป้ากลับมาเป็น “ผู้นำ” ในกลุ่ม “คอนโดมิเนียม” อีกครั้ง
“อุทัย อุทัยแสงสุข” ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกปี 2565 ของบริษัท โดยมีการเปิดตัวไป 15 โครงการ มูลค่ารวม 18,800 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 12 โครงการ และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ
ด้านยอดขายและยอดโอน ครึ่งปีมียอดขายรวม 18,300 ล้านบาท จากเป้า 35,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 52% จากเป้า ยอดโอนครึ่งปี 14,000 ล้านบาท จากเป้า 35,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40% ทั้งนี้แสนสิริมีแบ็กล็อกรอโอนอยู่ในมือแล้ว 10,500 ล้านบาทในครึ่งปีหลังนี้
สำหรับการบุกครึ่งปีหลังของแสนสิริ จะเปิดตัวทั้งหมด 31 โครงการ มูลค่ารวม 31,200 ล้านบาท แบ่งเป็น
- 9 โครงการบ้านเดี่ยว
- 2 โครงการแนวราบแบบผสมหลายโปรดักส์
- 5 โครงการทาวน์เฮาส์
- 15 โครงการคอนโดฯ
โดยการเปิดตัวแนวราบจะมีการกระจายตัวทุกเซ็กเมนต์ ตั้งแต่แบรนด์ “นาราสิริ” ที่เป็นบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ จนถึง “สิริ เพลส” แบรนด์ทาวน์โฮมราคาเข้าถึงได้ ส่วนคอนโดฯ จะมีแบรนด์ เดอะ เบส, เดอะ มูฟ และ คอนโด มี
ไฮไลต์ทำเล “กรุงเทพกรีฑา”
โครงการแนวราบที่สำคัญของแสนสิริครึ่งปีหลังนี้ต้องจับตาทำเล “กรุงเทพกรีฑา” ทำเลนี้แสนสิริมีที่ดินอยู่กว่า 500 ไร่ เคยขึ้นโครงการ เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา 1 และ 2 รวม 154 ไร่ ซึ่งปิดการขายแล้วทั้งหมด และปีนี้แสนสิริจะกลับมาเปิดตัวบ้าน 3 แบรนด์ 3 ระดับราคา ได้แก่
- นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา 57 ไร่ บ้านเดี่ยวระดับราคา 50-95 ล้านบาท (*เปิดขายพิเศษก่อนพรีเซลไปแล้ว ทำยอดขาย 70% ของโครงการก่อนเปิดตัว)
- บูก้าน (BuGaan) กรุงเทพกรีฑา 19 ไร่ บ้านเดี่ยว 3 ชั้นราคา 25-40 ล้านบาท
- บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา 85 ไร่ บ้านเดี่ยวราคา 13-35 ล้านบาท
รวมทั้งหมดแสนสิริจะมีการเปิดตัวโครงการสะสม 315 ไร่บนที่ดินทำเลนี้ และยังเหลืออีก 185 ไร่ที่คาดว่าจะเปิดตัวได้ต่อเนื่องอีก 3 ปี มูลค่าโครงการในพื้นที่รวมกว่า 30,000 ล้านบาท ถือเป็นทำเลทองในการสร้างคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งของบริษัท
ขอกลับมาเป็น “ผู้นำคอนโดฯ”
แสนสิริอาจจะมีการผ่อนคันเร่งกับตลาดคอนโดฯ ไปบ้างในช่วงเกิดโรคระบาด แต่ครึ่งปีหลังนี้เห็นได้ชัดว่าจะมีการกลับมาโหมตลาดอีกครั้ง ด้วยแผนเปิด 15 คอนโดฯ มูลค่ารวม 5,250 ล้านบาท
โครงการแนวสูงที่เปิดเผยได้ในขณะนี้ ได้แก่ เดอะเบส ริเวอร์วิว ทำเล 400 เมตรจาก BTS คลองสาน มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท เปิดตัวพฤศจิกายนนี้ และกลุ่มแบรนด์ “คอนโด มี” 4 ทำเล คือ สินสาคร, บางนา-บางบ่อ, อ่อนนุช-พระราม 9 และ นวนคร (เฟสใหม่) และยังมีแผนจะเปิดตัวคอนโดฯ ต่างจังหวัดอีกแห่งหนึ่งที่ จ.ขอนแก่น ด้วย
เห็นได้ว่าปีนี้แสนสิริจะยังเน้นคอนโดฯ ระดับกลางจนถึงเข้าถึงได้ง่าย เน้นทำเลตามแนวรถไฟฟ้า พ่วงด้วยทำเลที่ใกล้แหล่งงานหรือแหล่งชุมชนภายใต้แบรนด์คอนโดมี
- สนับสนุน “ความเท่าเทียม” อย่างไรไม่ให้เป็นแค่การตลาด ศึกษาจาก แสนสิริ-ยูนิลีเวอร์-ดีแทค องค์กรต้นแบบ UNDP
- เจาะ 3 เหตุผล ทำไม “แสนสิริ” จึงเลือก “ขายหัวเราะ” เป็นคาแรกเตอร์โปรโมตแบรนด์ปีนี้
Speed to Market กลยุทธ์เร็วตอบสนองตลาด
อุทัยกล่าวต่อว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะยังใช้กลยุทธ์ “Speed to Market” อย่างต่อเนื่อง และจะพัฒนาให้เร็วขึ้นกว่าที่เคยทำได้ เพื่อให้ตอบสนองตลาดหรือลูกค้าได้เร็วที่สุด
ส่วนปัจจัยบวกลบในตลาด ขณะนี้หลายฝ่ายมีความกังวลกับภาวะเงินเฟ้อ แต่แสนสิริมองอีกมุมหนึ่งว่าในวิกฤตยังมีโอกาส เพราะจะเห็นว่าภาคธุรกิจสำคัญ 2 ธุรกิจของไทยเริ่มฟื้นตัวแล้ว ได้แก่ ภาคส่งออกที่ดีขึ้นเพราะค่าเงินบาทอ่อน และการท่องเที่ยวของไทยที่เปิดได้เต็มที่ ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจไทยดีขึ้นก็จะส่งผลต่อเนื่องถึงภาคอสังหาฯ โดยเฉพาะกลุ่มลักชัวรีที่จะได้อานิสงส์ก่อน เป็นเหตุให้แสนสิริเลือกเปิดตัวโครงการกลุ่มบ้านเดี่ยวเป็นหลัก และยังคงกลยุทธ์เน้นการเป็นผู้นำในตลาดลักชัวรี
“เราจะลดเวลาการทำงานต่างๆ ลง เพราะต้นทุนทุกวันนี้สัมพันธ์กับเวลา เวลาคือดอกเบี้ย เวลาคือแรงงานที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เช่น การก่อสร้างที่เคยทำได้ใน 6-7 เดือน ต้องลดเหลือ 5-6 เดือน หรือการเปิดตัวโครงการต้องเตรียมตัว 14 เดือน เราจะลดเหลือ 10-12 เดือน เราจะเหยียบคันเร่งกับกลยุทธ์นี้ต่อเนื่องและให้เร็วกว่าเดิม” อุทัยกล่าว