Jio Health สตาร์ทอัพที่ก่อตั้งในเวียดนามโดยมี KBank ร่วมลงทุนในการระดมทุนรอบ Series B กำลังกรุยทางสู่การเป็น HealthTech แถวหน้าของประเทศ พร้อมขยายตัวเข้าสู่ประเทศไทยและอินโดนีเซียปลายปี 2023 สตาร์ทอัพรายนี้ใช้โมเดลผสมผสานระหว่างการเป็นแพลตฟอร์มปรึกษาแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ร่วมกับการลงทุน “คลินิก” ออฟไลน์ด้วยตนเอง
ชั้น 1 ของศูนย์การค้า mPlaza กลางเมืองโฮจิมินห์ซิตี้ เป็นที่ตั้งคลินิกแห่งแรกของ Jio Health (จีโอ เฮลธ์) สตาร์ทอัพด้าน HealthTech ในเวียดนาม สตาร์ทอัพรายนี้ก่อตั้งเมื่อปี 2018 เริ่มจากการเป็นแพลตฟอร์มปรึกษาแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ก่อนจะมาก่อตั้งคลินิกออฟไลน์แห่งแรกเมื่อปี 2020
“รากู ไร” ซีอีโอ Jio Health ชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดีย เขาเลือกเข้ามาก่อตั้งสตาร์ทอัพในเวียดนามเพราะเห็นโอกาสการเติบโต รากูเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังระหว่างทัวร์ชมคลินิกว่า โอกาสของ HealthTech ในเวียดนาม เกิดจากระบบสาธารณสุขที่ไม่สะดวกสำหรับ ‘ชนชั้นกลาง’ ที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้น คนกลุ่มนี้แม้จะพร้อมจ่ายเพื่อรับการรักษาในขั้นตอน ‘จ่ายเอง’ ของโรงพยาบาลรัฐ ไม่ใช้สิทธิประกันสังคม ก็ยังต้องรอพบแพทย์ 3-4 ชั่วโมง เพื่อได้คุยกับแพทย์แค่ไม่กี่นาที
ขณะที่เวียดนามเป็นประเทศที่เศรษฐกิจกำลังพุ่งทะยาน แม้แต่ในช่วง COVID-19 ระบาดซึ่งทำให้เศรษฐกิจประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ในโลกติดลบ แต่เศรษฐกิจเวียดนามก็ยังโต 2% ทางธนาคารกสิกรไทยยังประเมินด้วยว่า ช่วงปี 2021-2030 เศรษฐกิจเวียดนามจะโตเฉลี่ยปีละ 7% นั่นหมายความว่า ชนชั้นกลางเวียดนามจะยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ และเป็นประเทศคนหนุ่มสาวที่พร้อมเปิดรับเทคโนโลยีอีกด้วย
พื้นฐานตลาดเช่นนี้ทำให้ Jio Health เกิดขึ้น โดยเป็นระบบปรึกษาแพทย์ผ่านทางวิดีโอแชท สามารถจองนัดและเข้าพบออนไลน์ จากนั้นแพทย์จะออกใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ให้ในแอปพลิเคชัน ซึ่งคนไข้จะเลือกรับยาเดลิเวอรีหรือสามารถนำไปรับยาได้ตามคลินิกที่เป็นพันธมิตรก็ได้
ออนไลน์ไม่พอ ขอพบแพทย์หน้า “คลินิก”
รากูอธิบายต่อว่า หลังจากเริ่มก่อตั้งและฟัง feedback จากลูกค้า แม้ว่าการพบแพทย์ทางไกลจะสะดวกแต่โรคบางโรคนั้นคนไข้ก็ต้องการ end-to-end service เพราะต้องมีการใช้เครื่องมือตรวจโรคบางอย่างที่ทำออนไลน์ไม่ได้ เช่น เอ็กซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจสายตา ทำฟัน รวมถึงการปรึกษาแพทย์แบบตัวต่อตัวเป็นบางครั้งที่จำเป็น ทำให้เริ่มก่อตั้งคลินิก Jio Health สาขาแรกในโฮจิมินห์ คลินิกแห่งนี้จะมีเฉพาะการตรวจโรค เน้นคนไข้ OPD จะต่างจากโรงพยาบาลที่รับคนไข้ IPD ได้
ปัจจุบัน Jio Health มีกลุ่มการรักษาหลักๆ ที่ลูกค้าใช้บริการคือ การตรวจโรคทั่วไป กุมารเวช การผดุงครรภ์ การตรวจสุขภาพตามวงรอบ และ การรักษาโรคเรื้อรัง
เป้าหมายการขยายคลินิกปี 2022 รากูระบุว่าจะมีการขยายไปอีก 3 สาขา ให้ครบ 4 สาขา เพราะพบว่าการมีบริการคลินิกออฟไลน์ร่วมด้วยทำให้บริการได้ดีขึ้นจริง
เตรียมขยายเข้าไทยปลายปี 2023
Jio Health นั้นเพิ่งระดมทุนรอบ Series B ไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้รับเงินลงทุนรวม 20 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 706 ล้านบาท) มีผู้ร่วมลงทุน ได้แก่ Heritas Capital จากสิงคโปร์, Monk’s Hill Venture จากสิงคโปร์, Fuchsia Venture ในเครือเมืองไทย กรุ๊ป และ KVision จากธนาคารกสิกรไทย
รากูกล่าวว่า คาดว่าภายในปลายปี 2023 บริษัทน่าจะเริ่มขยายตัวเข้าสู่ประเทศไทยและอินโดนีเซียได้ โดยเลือกทั้งสองตลาดนี้เพราะมองว่าตลาดมีความต้องการ และประชากรมีความคล่องแคล่วทางเทคโนโลยีสูงแล้ว
- ฉีกแนวธุรกิจ! ByteDance ซื้อกิจการ “โรงพยาบาล” ในจีน เข้าสู่วงการ HealthTech เต็มตัว
- เปิดแล้ว! “วิมุต เวลเนส” สาขาแรก จิ๊กซอว์ธุรกิจ “พฤกษา” ใช้สุขภาพดันอสังหาฯ
บริษัทยังไม่เปิดเผยว่าจะเข้าสู่ตลาดอย่างไรและจับมือกับใครหรือไม่ แต่ถ้าดูจากโมเดลธุรกิจในเวียดนามนั้น Jio Health จะทำงานในลักษณะ B2B2C คือเน้นหาดีลกับบริษัท/องค์กรที่ต้องมีสวัสดิการให้กับพนักงาน ให้หันมาเลือกใช้สวัสดิการสุขภาพผ่านทางแพลตฟอร์มของตน จากนั้นเมื่อพนักงานทดลองใช้และชื่นชอบก็จะมีการใช้งานต่อและบอกต่อกัน ทำให้เติบโตได้ในกลุ่มรายย่อยทั่วไป
ในไทยนั้นตลาด HealthTech ในกลุ่มบริการ Telemedicine นับว่าเป็นธุรกิจที่กำลังบูมเช่นกัน มีสตาร์ทอัพหรือบริษัทต่างๆ ที่เริ่มทำตลาดแล้ว เช่น Good Doctor แอปจาก GDTT บริษัทร่วมทุนระหว่าง Ping An, Grab และ Softbank หรือแอปฯ MorDee ซึ่งพัฒนาโดยกลุ่มทรู Raksa แอปฯ ที่ก่อตั้งโดยคนไทยแต่ปัจจุบันกลุ่มทุนสิงคโปร์ Doctor Anywhere เข้าซื้อแล้ว หรือเครือโรงพยาบาลบางแห่งก็มีบริการพบแพทย์ออนไลน์ให้กับคนไข้แล้ว เช่น รพ.สมิติเวช, รพ.ศิริราช เป็นต้น