-
COTTO รายงานผลประกอบการปี 2565 รายได้เติบโต 17% แต่บรรทัดสุดท้ายขาดทุน 228 ล้านบาท จากการต้องหยุดสายการผลิตแผ่นหินประดิษฐ์ขนาดใหญ่เพราะขาดแคลนวัตถุดิบ รวมถึงต้นทุนค่าไฟฟ้า-ก๊าซยังสูงขึ้นต่อเนื่อง
-
คาดว่าปี 2566 จะยังต้องปรับราคาสินค้า “กระเบื้อง-สุขภัณฑ์” อีก 5% เพื่อให้สะท้อนต้นทุนค่าไฟฟ้า
-
ขณะที่ภาพรวมตลาดสัญญาณไม่ดี ยังทรงๆ ทั้งภายในประเทศและตลาดส่งออก
ปี 2565 ถือเป็นปีแห่งความผันผวนของ บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ หรือ COTTO จากสงครามรัสเซีย-ยูเครนมีผลโดยอ้อมแต่กระทบเต็มๆ กับการผลิตสินค้ากลุ่มกระเบื้อง-สุขภัณฑ์ เริ่มเห็นสัญญาณมาตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีก่อน และหนักที่สุดในช่วงไตรมาส 4
“นำพล มลิชัย” กรรมการผู้จัดการ COTTO สรุปผลประกอบการปี 2565 ของบริษัท ทำรายได้รวม 13,157 ล้านบาท เติบโต 17% จากปีก่อนหน้า แต่บริษัทขาดทุน 228 ล้านบาท ลดลง -139% เทียบกับปีก่อนหน้า
เหตุที่ขาดทุนหนักมาจากไตรมาสสุดท้ายซึ่งบริษัทต้องหยุดสายการผลิตแผ่นหินประดิษฐ์ขนาดใหญ่ เนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนทำให้นำเข้าวัตถุดิบมาผลิตไม่ได้ จึงเป็นการขาดทุนทางบัญชี แต่กระแสเงินสดยังคงปกติ
ถึงแม้ว่าจะหักรายการสำคัญ (Key Items) ดังกล่าวออก กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทยังลดลง -13% จากปีก่อนหน้า เหลือ 469 ล้านบาท เพราะต้นทุนการผลิตที่พุ่งสูงจากการขึ้นค่าไฟฟ้าและค่าก๊าซธรรมชาติ กระทบหนักที่สุดในช่วงไตรมาส 4/2565
ช่วงไตรมาสสุดท้ายเองยังเห็นสัญญาณการชะลอตัวของตลาดด้วย โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่กำลังซื้อเริ่มลดลง รวมถึงตลาดส่งออกหลักของบริษัท คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา (CLM) ชะลอการนำเข้าสินค้าเนื่องจากความผันผวนของค่าเงินแลกเปลี่ยน
ปรับราคาขึ้นอีก 5% ตั้งแต่ไตรมาสแรกปีนี้
นำพลกล่าวต่อว่า จากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น บริษัทมีการดำเนินงานหลายประการเพื่อรับมือวิกฤตไปแล้ว เช่น
- เริ่มปรับปรุงสายการผลิตและเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อลดการใช้พลังงาน
- มีการติดตั้งแหล่งพลังงานโซลาร์ในโรงงานเพื่อลดค่าไฟฟ้า
- ปรับราคาขึ้น โดยปรับขึ้นไปแล้วเฉลี่ย 10% ในช่วงปี 2565 ทั้งนี้ ยังไม่สามารถปรับราคาได้ทุกรายการ เพราะราคายังต้องแข่งขันได้กับสินค้าที่มีผู้นำเข้า
- ผลักดันกลุ่มสินค้านวัตกรรม เพื่อหนีจากการแข่งขันกับตลาดผู้นำเข้า
ปี 2566 ก็จะยังเห็น COTTO ต่อสู้กับวิกฤตค่าพลังงาน เพราะเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีแรกนี้ค่าไฟฟ้าจะยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง และค่าก๊าซธรรมชาติจะยังทรงตัวในระดับสูง ต้องรอดูครึ่งปีหลังว่าค่าพลังงานจะมีทีท่าปรับลดหรือไม่
บริษัทจึงมีการตั้งงบลงทุน 400-450 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะลงทุนในโครงการลดพลังงาน เช่น การติดตั้งโซลาร์เพิ่มเติม และปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อลดการใช้พลังงานเพิ่มอีก
ส่วนการปรับราคาสินค้าขึ้นนั้น เนื่องจากต้นทุนพลังงานทั้งหมดที่ขึ้นมาจนถึงขณะนี้คิดเป็นประมาณ 15% ทำให้ราคาที่ปรับขึ้นมา 10% เมื่อปีก่อนยังไม่สะท้อนต้นทุนทั้งหมด จึงจะมีการทยอยปรับราคาขึ้นอีกประมาณ 5% เริ่มตั้งแต่ไตรมาสแรกปีนี้
สัญญาณตลาดไม่ดี ปี’66 ยังเหนื่อย
ด้านภาพรวมตลาดปี 2566 นำพลมองว่า ตลาดรวมปีนี้น่าจะ ‘ไม่โต’ หรือโตน้อย เพราะถึงแม้ว่ากลุ่มดีเวลอปเปอร์จะมีการพัฒนาโครงการใหม่ แต่ตลาดรายย่อย กลุ่มสร้างบ้านหรือซ่อมแซมบ้านจะหดตัวลง (ยกเว้นในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ที่น่าจะมีการปรับปรุงโรงแรมเพื่อตอบรับการท่องเที่ยว) เมื่อถัวเฉลี่ยกันแล้วจึงทำให้ตลาดไม่เติบโตมากนักในแง่ปริมาณการขาย
ส่วนภาคการส่งออก เชื่อว่าครึ่งปีแรกจะยังมีปัญหาเดิมต่อเนื่องคือประเทศ CLM ชะลอนำเข้าจากค่าเงินที่ผันผวน ต้องรอติดตามครึ่งปีหลังอีกครั้ง
- “CRC ไทวัสดุ” โหมบุกตลาด! วางเป้า 10 ปีข้างหน้าโตปีละ 18% ขยายสาขาพรึบชิงมาร์เก็ตแชร์
- ล้ำไปอีก! ‘ญี่ปุ่น’ เริ่มทดลองผลิตไฟฟ้าจาก ‘หิมะ’ หวังใช้เป็นพลังงานทดแทนราคาประหยัด
สำหรับ COTTO ปี 2566 จึงมองว่าปริมาณการขายไม่น่าจะเติบโตมากนัก แต่ตัวเลขรายได้น่าจะโต 5% จากการปรับขึ้นราคา ส่วนกำไรจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการลดต้นทุน ซึ่งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถฝ่าวิกฤตพลังงานไปได้