เปิดแผนขยายสาขา “เซ็นทรัล รีเทล” ปี 2566 ปูพรม “ท็อปส์” ในไทย “Go!” บุกต่อเวียดนาม

เซ็นทรัล รีเทล 2566
  • “เซ็นทรัล รีเทล” (CRC) ประกาศผลประกอบการปี 2565 รายได้เติบโตมากกว่า 20% ผลักดันรายได้จาก Omnichanel สัดส่วนแตะ 18%
  • ปี 2566 เตรียมอัดงบลงทุน 28,000 ล้านบาท ขยายสาขาทุกหมวดธุรกิจทั้งในไทยและเวียดนาม เล็งตลาดเวียดนามสดใส โมเดิร์นเทรดยังโตได้อีก 4 เท่า
  • ครึ่งปีหลังมีเซอร์ไพรส์ เปิดตัวธุรกิจใหม่ในประเทศไทย และจะส่งเข้าสู่ตลาดเวียดนามด้วย โดยเป็นธุรกิจที่ ‘ขยายตัวได้สูง’

“ญนน์ โภคทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC สรุปผลการดำเนินงานปี 2565 ทำรายได้เติบโต 20% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ และใช้งบลงทุนไป 18,000-20,000 ล้านบาท

เซ็นทรัล รีเทล 2566
“ญนน์ โภคทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC

สัดส่วนรายได้ 18% ยังมาจากการขายผ่าน Omnichannel ที่เซ็นทรัล รีเทลผลักดันมาตลอดและมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีสูง มีการปรับปรุงหลังบ้านใหม่ทั้งหมด

ญนน์มองว่าตัวเลข 18% เป็นสัดส่วนการขายที่น่าพึงพอใจ สามารถกล่าวได้ว่า CRC ปรับตัวมาเป็นรีเทลแบบ Omnichannel ได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมก้าวสู่อนาคตค้าปลีกที่ผู้บริโภคน่าจะใช้ช่องทางผสมผสานเช่นนี้มากยิ่งขึ้น คาดว่าสัดส่วนจาก Omnichannel จะขึ้นไปถึง 25% ภายใน 5 ปี

“สิ่งที่เราจะขายไม่ใช่แค่สินค้า แต่ต้องเป็น ‘Total Solutions’ ต้องมีบริการที่ดี และประสบการณ์ที่ดีด้วย ไม่ใช่การฟาดฟันเรื่องราคาเท่านั้น” ญนน์ฉายภาพวิสัยทัศน์การขายแบบ Omnichannel ที่เซ็นทรัล รีเทลกำลังเดินไป

 

ปี 2566 เตรียมงบลงทุน 28,000 ล้าน รับตลาดฟื้น

ด้านแผนการลงทุนค้าปลีกแบบ “กายภาพ” ของปี 2566 เซ็นทรัล รีเทล เตรียมงบลงทุนไว้ 28,000 ล้านบาท ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุน 150,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี (2566-2570)

งบดังกล่าวจะมีการลงทุนสาขาใหม่ แบ่งตามประเทศและแบรนด์รีเทล ดังนี้

ประเทศไทย

  • เซ็นทรัล ดีพาร์ทเมนต์สโตร์ 2 สาขา
  • ไทวัสดุ และ ไทวัสดุ ไฮบริด ฟอร์แมท 10 สาขา
  • ท็อปส์ 15 สาขา

ประเทศเวียดนาม

  • ศูนย์การค้าและไฮเปอร์มาร์เก็ต GO! รวม 5-7 สาขา
  • ซูเปอร์มาร์เก็ต Tops Market และ Mini go! รวม 8-10 สาขา
  • เหงียนคิม 5 สาขา และรีโนเวตใหม่ 10-12 สาขา

เม็ดเงินลงทุนแบ่งเป็นในประเทศไทยราว 70-75% และในต่างประเทศ 25-30%

ปีนี้ “ท็อปส์” จะมีการขยาย 15 สาขาในไทย

ญนน์ยังแย้มด้วยว่า ครึ่งปีหลังปีนี้ CRC จะมีการเปิดธุรกิจใหม่ที่ ‘ขยายตัวได้สูง’ โดยจะเริ่มเปิดที่ประเทศไทยก่อน และจะส่งเข้าประเทศเวียดนามต่อเนื่อง ขณะนี้ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดของธุรกิจใหม่

 

โอกาสในเวียดนามสดใส โมเดิร์นเทรดโตได้อีก 4 เท่า

สำหรับตลาดเวียดนามถือเป็นตลาดสำคัญของเซ็นทรัล รีเทลหลังเข้าไปบุกตลาดมานาน 10 ปี ญนน์กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มเซ็นทรัลถือเป็นผู้เล่นจากต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในธุรกิจค้าปลีกเวียดนาม โดยมีการเปิดธุรกิจไปแล้ว 41 จังหวัด ครอบคลุม 70% ของตลาด และต้องการจะไปให้ครบ 100%

กลยุทธ์การบุกเวียดนามของ CRC ใช้กลุ่มฟู้ดเป็นตัวนำทางด้วยแบรนด์ GO! ซึ่งเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตและศูนย์การค้า และปีนี้จะยิ่งแทรกซึมเข้าไปในตลาดท้องถิ่น ด้วยการเปิดแบรนด์ Mini go! เป็นซูเปอร์มาร์เก็ต พร้อมทั้งโมเดลลงทุนที่ดินเองหรือจับมือกับแลนด์ลอร์ดเพื่อเปิดสาขา

แบรนด์ Go!
Go! Mall ประเทศเวียดนาม

ญนน์ระบุว่า ตลาดค้าปลีกเวียดนามยังเป็นตลาดของค้าปลีกดั้งเดิม (TT) เป็นส่วนใหญ่ สัดส่วนของโมเดิร์นเทรดยังมีแค่ 5% เท่านั้น ทำให้โอกาสในเวียดนามยังมีอีกสูงมาก เชื่อว่าตลาดจะโตกว่านี้ได้อีกอย่างน้อย 4 เท่า หรือมีโมเดิร์นเทรดเป็นสัดส่วน 20-30% ของตลาดค้าปลีกภายใน 10 ปีข้างหน้า

 

รายได้รวม “เซ็นทรัล รีเทล” โตต่อ 12-15%

รายได้ปีก่อนโตพุ่ง 20% แต่ปี 2566 ญนน์มองว่ารายได้เซ็นทรัล รีเทลยังโตได้อีก 12-15% และวางเป้า EBITDA เติบโต 18-20%

การเติบโตเหล่านี้มาจากเศรษฐกิจไทยที่น่าจะปรับตัวดีขึ้น คาดการณ์จีดีพีไทยจะเติบโตไม่น้อยกว่า 3% ซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจค้าปลีกโตได้ 6-8% และปีนี้ไทยยังจะมีการเลือกตั้งด้วยซึ่งปกติมักจะส่งให้เศรษฐกิจเดินสะพัด

ในขณะที่กลุ่มลูกค้าเซ็นทรัล รีเทลเป็นลูกค้าระดับกลางถึงบนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมาน้อยกว่า และยังมีทำเลที่รับนักท่องเที่ยวด้วย เช่น ย่านซีบีดีของกรุงเทพฯ, พัทยา, ภูเก็ต, เกาะสมุย ถือเป็นรายได้เพิ่มเติมเข้ามา

โรบินสันไลฟ์สไตล์ บ้านฉาง หลังปรับปรุงใหม่

นอกจากนี้ เซ็นทรัล รีเทลมีการกระจายตลาดไปในต่างประเทศ คือ เวียดนาม และ อิตาลี (ห้างฯ รีนาเชนเต้) ซึ่งในเวียดนามนั้นเป็นดาวรุ่งทางเศรษฐกิจอยู่แล้ว ส่วนในอิตาลีนั้นค้าปลีกกลุ่มลักชัวรีฟื้นตัวได้ดีมาก

ภาพรวมปี 2566 จึงน่าจะสดใสสำหรับเซ็นทรัล รีเทล วัดจากเดือนมกราคมปีนี้ ญนน์กล่าวว่าบริษัททำรายได้ได้ตามเป้าที่วางกรอบการเติบโต 12-15% ส่วนหนึ่งมาจากนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามา และมีแรงกระตุ้นจากโครงการ “ช้อปดีมีคืน” ช่วยดันยอดได้ 2-3%

“ยุทธศาสตร์ของเราสั้นๆ คือ สิ่งไหนที่เราเป็นเบอร์ 1 เราจะยึดตำแหน่งนั้นต่อไป สิ่งไหนที่เรายังไม่เป็นเบอร์ 1 เราจะต้องทำให้ได้” ญนน์กล่าว