หุ้นของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนอย่าง BYD พุ่งขึ้นมากกว่า 5% เนื่องจากผลกำไรครึ่งปีแรกพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 200% จากรายได้ที่เติบโตกว่า 70% แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกของตลาดรถอีวีของจีนจะตัดราคากันดุเดือดก็ตาม
รายได้ของ BYD ในช่วงครึ่งปีแรกเติบโตขึ้น 72.72% มี กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 204.68% คิดเป็นมูลค่า 1.09 หมื่นล้านหยวน (ราว 54,700 ล้านบาท) เทียบกับ 3.59 พันล้านหยวน ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2022 โดยจะผลประกอบการดังกล่าวทำให้หุ้นของบริษัทพุ่งขึ้น 5.6%
โดยยอดขายของ BYD ใน Q2/2023 ทำสถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมาที่ 700,244 คัน เพิ่มขึ้น 98% ขณะที่คู่แข่งอย่าง Tesla มียอดส่งมอบรถยนต์ 466,140 คันทั่วโลก
“หากดูตัวเลขของ BYD จะเห็นชัดว่าการเติบโตในระดับนั้นแข็งแกร่งมาก ที่น่าสนใจคือ อัตรากำไร โดยอัตรากำไรขั้นต้นของ BYD ในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 18% ซึ่งเทียบเท่ากับ Tesla” Jiong Shao นักวิเคราะห์เทคโนโลยีของจีนของ Barclays กล่าว
ปัจจุบัน จีนเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อวัดจากยอดขายและการผลิต นอกจากนี้ยังเป็นตลาดรถอีวีที่ใหญ่ที่สุดในโลก และถือเป็นแรงผลักดันสำคัญในการผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก แต่ในช่วงปลายปี 2022 ตลาดก็ดุเดือดด้วยสงครามราคาที่เริ่มโดย Tesla เนื่องจากบริษัทต้องการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในจีน
“หากเทียบกับ Tesla แล้ว มีค่ายรถของจีนหลายค่ายที่มีสเป็กใกล้เคียงกัน แต่รถที่ผลิตในจีนจะมีความได้เปรียบด้านราคามากกว่า” Vivek Vaidya หุ้นส่วนร่วมของ Frost & Sullivan กล่าว
แม้ว่าการที่ Tesla ดัมพ์ราคาลงมาจะทำให้ BYD และแบรนด์อื่น ๆ ต้องเข้ามาในสงครามราคาด้วย แต่ BYD กำลังกำหนดเป้าหมายไปที่ ตลาดแมส ซึ่ง Tesla ไม่สามารถเข้าถึงได้ และแม้ว่า BYD จะลดราคาลงเพื่อแข่งขัน แต่อัตรากำไรขั้นต้นของ BYD ยังค่อนข้างทำได้ดีที่ 5% เมื่อเทียบกับผู้เล่นจากจีนรายอื่นที่กำไรขั้นต้นติดลบ
“ราคาที่ต่ำกว่าเพื่อบีบออกจากผู้เล่นที่อ่อนแอออกจากตลาด ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพของอุตสาหกรรม” Shao จาก Barclays กล่าว
อีกหนึ่งจุดแข็งของ BYD ก็คือ บริษัทไม่ได้มีแค่ธุรกิจยานยนต์ เพราะจุดเริ่มต้นของบริษัทมาจากการจำหน่ายแบตเตอรี่ให้สินค้าเทคโนโลยี เช่น สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต เป็นต้น ซึ่ง BYD Electronics กำลังเข้าซื้อธุรกิจการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของ Jabil ในประเทศจีน ด้วยมูลค่าประมาณ 2.2 พันล้านดอลลาร์