Wall Street Journal รายงานจากแหล่งข่าววงใน พบว่ารัฐบาลไบเดนกำลังพิจารณาปรับขึ้น “กำแพงภาษี” ในการนำเข้าสินค้าบางตัวจากจีน ซึ่งรวมถึง “รถอีวี” ด้วย เพื่อสร้างแรงจูงใจให้บริษัทรถย้ายฐานผลิตกลับมาอยู่ในสหรัฐฯ
China Merchants Bank International ประเมินว่าการส่งออกยานยนต์ของจีนจะยิ่งเติบโตขึ้นอีกในปี 2024 โดยคาดว่าจะโตถึง 25% คิดเป็นจำนวนผลิตรถยนต์ 5.3 ล้านคัน และหนึ่งในประเทศที่รถจีนส่งไปตีตลาดก็คือสหรัฐฯ
ทำให้มีความเคลื่อนไหวจากฝั่งรัฐบาลสหรัฐฯ จากแหล่งข่าวในสภาครองเกรสให้ข้อมูลกับ Wall Street Journal ว่า รัฐบาลกำลังวางแผนจะขึ้นกำแพงภาษีสินค้าหลายตัวจากจีนซึ่งหมายรวมถึง “รถอีวี” และจะมีการหาวิธีป้องกันไม่ให้จีนส่งสินค้าอ้อมจากเม็กซิโกเข้ามาสหรัฐฯ เพื่อหนีกำแพงภาษีนี้ด้วย
ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์จีนจะต้องเสียภาษี 25% เมื่อนำสินค้าเข้าสหรัฐฯ อัตราภาษีนี้เริ่มใช้มาตั้งแต่ยุคประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และยังคงใช้มาอย่างต่อเนื่องจนถึงยุครัฐบาลไบเดน
ส่วนการพิจารณาภาษีรอบหน้าในช่วงต้นปี 2024 คาดว่าจะมีการลดภาษีสินค้าบางตัวจากจีนที่รัฐบาลมองว่าไม่ได้สำคัญในเชิงกลยุทธ์ แต่จะขึ้นภาษีสินค้าตัวที่มองว่าสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าเกี่ยวกับพลังงานสะอาด
กลุ่มสมาชิกสภาของสหรัฐฯ เล็งเห็นมานานแล้วว่า แม้แต่ผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์อเมริกันยังไปตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในจีนและนำเข้ามาขายในสหรัฐฯ กัน นั่นหมายความว่าอัตราภาษีในระดับนี้ยังไม่เพียงพอที่จะจูงใจให้โรงงานรถยนต์สหรัฐฯ ไม่ย้ายฐานผลิต
- ยอดขาย ‘รถอีวี’ จีนช่วงต.ค. ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้รัฐบาลจะเลิกนโยบายสนับสนุนแล้วก็ตาม
- ค่ายรถตะวันตกเปลี่ยนแผนชะลอการผลิต เมื่อตลาด “รถอีวี” ในสหรัฐฯ ไม่เปรี้ยงอย่างที่คาด
ฝั่งรัฐบาลจีนแถลงข่าวโดยโฆษกประจำกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าจีนจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และจะหาหนทางที่จำเป็นเพื่อลดผลกระทบต่อประโยชน์ของชาติให้มากที่สุด
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหรัฐฯ ยังไม่ให้ข้อมูลอย่างเป็นทางการในประเด็นการขึ้นภาษีนี้