-
แผนธุรกิจ “แสนสิริ” ปี 2567 เน้นวินัยลงทุนมากกว่าคว้าทุกโอกาส ผ่อนคันเร่งเปิดตัวใหม่เล็กน้อย ปีนี้จะเปิด 46 โครงการ มูลค่ารวม 61,000 ล้านบาท
-
น้ำหนักการเปิดตัวปีนี้ ประเภทที่อยู่อาศัยจะเน้นที่กลุ่ม “คอนโดฯ” มากขึ้นหลังซัพพลายในมือเหลือน้อยลง ขณะที่เซ็กเมนต์เน้นกลุ่มตลาดกลางและตลาดพรีเมียมรวมกันถึง 82%
“อุทัย อุทัยแสงสุข” ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลประกอบการของแสนสิริในปี 2566 ดังนี้
- เปิดตัวโครงการใหม่ 44 โครงการ มูลค่ารวม 65,000 ล้านบาท
- ยอดพรีเซล 49,000 ล้านบาท
- ยอดรับรู้รายได้ 39,000 ล้านบาท
- กำไรสุทธิ (เฉพาะ 9 เดือนแรก) 4,760 ล้านบาท
ตัวเลขของปีที่แล้วนั้นแสนสิริสร้างสถิติ ‘All-time High’ ได้สองรายการ คือ มูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่และกำไรสุทธิที่มากที่สุดตั้งแต่เปิดบริษัท ขณะที่ยอดรับรู้รายได้เติบโตจากปี 2565 ได้ 6% อย่างไรก็ตาม ยอดพรีเซลลดลงเล็กน้อยจากปี 2565 ที่ทำได้ 50,000 ล้านบาท
อุทัยสรุปภาพรวมของปี 2566 ว่าเป็นปีแห่งการขายบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีของแสนสิริ ทำยอดขายได้ดีทั้งในกลุ่มบ้านแบรนด์เศรษฐสิริและนาราสิริ รวมถึงเห็นสัญญาณการขายคอนโดฯ ที่ดีขึ้นมาก
เปิดตัวใหม่ให้น้ำหนัก “คอนโดฯ” สูงขึ้น
สำหรับปี 2567 อุทัยเปิดแผนธุรกิจของแสนสิริ ดังนี้
- เป้าเปิดตัวโครงการใหม่ 46 โครงการ มูลค่ารวม 61,000 ล้านบาท (ลดลง -7% YoY)
- เป้าพรีเซล 52,000 ล้านบาท (เติบโต 6% YoY)
- เป้ารับรู้รายได้ 43,000 ล้านบาท (เติบโต 10% YoY)
รายละเอียดการเปิดตัวโครงการใหม่ปีนี้ แบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัย 57% เป็นกลุ่มแนวราบ เตรียมเปิด 26 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท ส่วนอีก 43% เป็นกลุ่มคอนโดมิเนียม เตรียมเปิด 20 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ การเปิดตัวแนวราบลดลงจากปีก่อน ขณะที่คอนโดฯ เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากคอนโดฯ หลายโครงการเลื่อนการเปิดตัวมาจากปีที่แล้วเพราะการขออนุมัติ EIA ล่าช้ากว่าที่คาด
หากแบ่งตามเซ็กเมนต์การเปิดตัวปีนี้รวมทุกประเภทสินค้า แบ่งเป็นกลุ่มพรีเมียม 38% กลุ่มระดับกลาง 44% และกลุ่มเข้าถึงได้ง่าย 18% เห็นได้ว่าแสนสิริให้น้ำหนักมากกับกลุ่มระดับกลางและกลุ่มพรีเมียมรวมกันในพอร์ตเปิดใหม่ปี 2567 ถึง 82%
ให้ความสำคัญกับ “หัวเมือง” – เปิดแบรนด์ใหม่ 4 แบรนด์
ไฮไลต์การเปิดโครงการใหม่แสนสิริปี 2567 มี 3 ประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่
- สัดส่วน 26% จะเปิดตัวใน “ต่างจังหวัด” โดยมีทั้งหมด 9 โครงการ มูลค่ารวม 11,800 ล้านบาท ปักหมุดหัวเมืองต่างๆ เช่น ภูเก็ต หัวหิน พัทยา เชียงใหม่ อยุธยา ฉะเชิงเทรา
- เปิด Branded Residence ในโครงการ “The Standard Residences Hua Hin” เป็นที่พักอาศัยภายใต้แบรนด์โรงแรมบูทีค The Standard แห่งแรกในเอเชียและแห่งที่ 3 ของโลก
- แตกไลน์แบรนด์ใหม่ 4 แบรนด์ คือ
– ณริณสิริ (Narinsiri) ทำเลกรุงเทพกรีฑา บ้านเดี่ยวราคา 45-70 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท
– Else (เอลส์) เปิด 6 ทำเลในกรุงเทพฯ บ้านเดี่ยวย่านใกล้เมือง ราคา 20-60 ล้านบาท มูลค่ารวมทั้งหมด 840 ล้านบาท
– Mabel (มาเบิล) ทำเลบางนา กม. 26 บ้านเดี่ยวราคา 5-7 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท
– Pynn (พิน) 2 ทำเลที่ ศูนย์วิจัย และ ปรีดี 20 เป็นคอนโดฯ ขนาดเล็กย่านใกล้เมือง
บริหารพอร์ต เน้นวินัยลงทุน คุมระดับซัพพลายคงเหลือ
“ภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ” ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวสรุปการดำเนินงานปี 2567 ว่าแสนสิริมีการวางกลยุทธ์ไว้ 3 ด้าน คือ 1)รักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ 2)บริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย และ 3)ยกระดับคุณภาพสินค้า บริการ และความยั่งยืน
กลยุทธ์ที่น่าสนใจและเห็นได้ว่าสอดคล้องกับการเปิดตัวโครงการในปีนี้คือการบริหารพอร์ตของแสนสิริ ภูมิภักดิ์ชี้ให้เห็นว่าปีนี้บริษัท “เน้นเรื่องวินัยในการลงทุนมากกว่าคว้าทุกโอกาสที่เข้ามา” การจะเปิดโครงการใหม่แต่ละครั้งต้องพิจารณาระดับสินค้าเพื่อการขายที่ยังคงเหลือ
นั่นทำให้ฝั่งแนวราบผ่อนคันเร่งการเปิดตัวใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มเข้าถึงง่ายที่จะเปิดตัวน้อยลงมาก เพราะบริษัทมีซัพพลายในระดับเหมาะสมสำหรับจำหน่ายใน 3-4 ปีข้างหน้าแล้ว
ส่วนคอนโดฯ มีการเปิดตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพราะแสนสิริมีซัพพลายระหว่างขายอยู่กว่า 10,000 ยูนิตเท่านั้น ยังสามารถเติมซัพพลายได้อีก 2,000-3,000 ยูนิตเพื่อให้ถึงระดับเหมาะสม อย่างไรก็ตาม บริษัทให้น้ำหนักกับเซ็กเมนต์ระดับกลางสูงขึ้นมาก แต่ลดการเปิดตัวคอนโดฯ ระดับเข้าถึงง่ายลง
- สรุปตลาดอสังหาฯ ปี 2566 ปีแห่งการขายที่อยู่อาศัย “ระดับบน” หนีความท้าทายในตลาดกลางล่าง
- LWS คาดการณ์ “อสังหาฯ” ปี 2567 เปิดใหม่กระเตื้องขึ้น 3-5% ยอดโอนทรงตัวเท่าปีนี้
“ตลาดคอนโดฯ เน้นในกลุ่มระดับกลางสูงขึ้นเพราะเราเห็นลูกค้าได้ชัดเจน คอนโดฯ ประเภทแคมปัสคอนโดฯ ใกล้มหาวิทยาลัย ซิตี้ คอนโดฯ กลางใจเมือง หรือคอนโดฯ ตามหัวเมืองท่องเที่ยว กลุ่มเหล่านี้มีนักลงทุนที่เป็นแฟนคลับเราเป็นฐานผู้ซื้อหลัก” ภูมิภักดิ์กล่าว