มีสงครามราคาก็ไม่สะเทือน! ‘BYD’ โชว์กำไร 1.5 แสนล้าน โต 80%

Photo : Shutterstock
แม้ว่าปีที่ผ่านมา ตลาดรถอีวีที่ใหญ่ที่สุดอย่างจีนจะเจอกับการแข่งขันราคาที่รุนแรง ทำให้หลายแบรนด์อัตรากำไรหดหาย แต่ไม่ใช่กับ BYD ที่ประกาศผลกำไรปี 2023 ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด หลังยอดขาย Q4/2023 แซงหน้า Tesla เรียบร้อยแล้ว

บีวายดี (BYD) ได้เปิดเผยถึงกำไรสุทธิในปี 2023 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 3 หมื่นล้านหยวน หรือราว 1.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า +80% จากปี 2022 ที่มีกำไรสุทธิ 1.66 หมื่นล้านหยวน (8.5 หมื่นล้านบาท) แม้ว่าบริษัทจะเจอกับปัญหาอัตราเงินเฟ้อในระดับสูงทั่วโลก และการชะลอตัวของการเติบโตในประเทศเศรษฐกิจหลักส่วนใหญ่

ย้อนไปช่วงไตรมาส 4/2023 ยอดขายของ BYD ได้แซงหน้า เทสลา (Tesla) ขึ้นเป็นแบรนด์อันดับ 1 ที่มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในโลก ด้วยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) 525,409 คัน เทียบกับ Tesla ที่มียอดขาย 484,507 คัน หากรวมยอดขายทั้งปีอยู่ที่ 3.02 ล้านคันทั่วโลก เพิ่มขึ้น +62% จากปี 2022 โดยแบ่งเป็นยอดขาย BEV 1.8 ล้านคัน และรถปลั๊กอินไฮบริดที่ 1.44 ล้านคัน

หนึ่งในจุดที่ทำให้ BYD มียอดขายมากกว่า Tesla มาจาก ราคาที่ถูกกว่า เมื่อเทียบกัน ซึ่งช่วยให้ดึงดูดผู้ซื้อได้กว้างขึ้น โดยรถรุ่นเริ่มต้นที่ขายในประเทศจีนมีราคาเพียง 10,000 ดอลลาร์ (3.6 แสนบาท) ส่วนรถ Tesla ที่ถูกที่สุดคือ Model 3 มีราคาเกือบ 39,000 ดอลลาร์ (1.4 ล้านบาท)

ทั้งนี้ จากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นและสงครามราคาในปีที่แล้ว ได้ส่งผลกระทบต่ออัตรากําไรของผู้ผลิตรถยนต์จีนหลายราย โดยอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีนมี อัตรากําไรเฉลี่ย 5% ลดลงจากในปี 2022 ที่มีอัตรกำไรเฉลี่ย 5.7% และ 6.1% ในปี 2021 ตามตัวเลขล่าสุดจากสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของจีน

แม้จะมีอัตรากําไรเพียงเล็กน้อย แต่สงครามราคาก็ดูเหมือนจะไม่ลดลง เพราะเมื่อต้นเดือนนี้ BYD ได้ลดราคาเริ่มต้นของรถอีวีรุ่นเริ่มต้นอย่าง Seagull hatchback ลง 5% เป็น 69,800 หยวน (9,670 ดอลลาร์) ผู้ผลิตรถยนต์จีนรายอื่นๆ ได้ประกาศลดราคาในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึง Geely, Chery และ XPeng Motors

Source