Netflix เริ่มสนใจถ่ายทอดสดกีฬาเพิ่มมากขึ้น ปิดดีลลิขสิทธิ์ NFL บางคู่ เหตุผลเพราะรายได้จากค่าโฆษณาที่สูง

ภาพจาก Pixabay
Netflix แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งเริ่มสนใจที่จะถ่ายทอดสดกีฬาเพิ่มมากขึ้น ล่าสุดนั้นบริษัทปิดดีลถ่ายทอดสดกีฬาคนชนคนอย่าง NFL ในช่วงวันคริสต์มาส เป็นเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป เนื่องจากจำนวนของผู้ชม ซึ่งเป็นโอกาสที่บริษัทจะมีรายได้จากค่าโฆษณามหาศาล

CNBC รายงานข่าว ชี้ว่า Netflix ผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งจากสหรัฐอเมริกา เริ่มที่จะมองลู่ทางในการทำรายได้จากการถ่ายทอดสดกีฬามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายได้จากโฆษณาในช่วงการถ่ายทอดสดซึ่งอาจสร้างรายได้ให้กับบริษัทเป็นมูลค่ามหาศาล

สำหรับกีฬาที่ Netflix เริ่มจับตามองและสนใจที่จะซื้อลิขสิทธิ์คือการถ่ายทอดสดกีฬาอเมริกันฟุตบอล (NFL) โดยล่าสุดบริษัทปิดดีลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดวันคริสมาสต์เป็นเวลา 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2024 เนื่องจากมีผู้ชมมหาศาลในช่วงเวลาดังกล่าว

นอกจากจำนวนผู้ชมมหาศาลในช่วงเวลาดังกล่าวแล้วยังเป็นข้อดีในการขายโฆษณาในช่วงเวลาถ่ายทอดสด ซึ่งการถ่ายทอดสด NFL นั้นมักจะมีการตัดเข้าโฆษณาเสมอเมื่อมีช่วงเวลาหยุดเกม ทำให้บริษัทมองถึงรายได้มหาศาลจากช่องทางดังกล่าว

ในปี 2023 ที่ผ่านมา บริษัทได้ลองเชิงในการถ่ายทอดสดกีฬาคู่พิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการนำนักแข่งของ F1 มาแข่งขันรายการกอล์ฟ The Netflix Cup หรือแม้แต่เทนนิสรายการพิเศษ ซึ่งได้รับผลตอบแทนที่ดีไม่น้อย และบริษัทยังเริ่มทำสารคดีที่เกี่ยวข้องกับกีฬาเพิ่มมากขึ้น เช่น สารคดีเกี่ยวกับ NFL ฯลฯ

และในปีนี้ Netflix ได้เริ่มเข้าสู่การซื้อลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดกีฬาเพิ่มมากขึ้น เช่น การปิดดีลถ่ายทอดสดมวยปล้ำ WWE แม้ว่าจะเริ่มต้นถ่ายทอดสดในปี 2025 ก็ตาม

ภายหลังดีลกับ WWE นั้น Ted Sarandos ซึ่งเป็น CEO ของ Netflix มีท่าทีกับเรื่องดังกล่าวเปลี่ยนไปไม่น้อย ก่อนหน้านี้เขาได้กล่าวว่าบริษัทไม่สนใจที่จะถ่ายทอดสดกีฬาเลยด้วยซ้ำ แต่ล่าสุดเขากล่าวว่า เขาไม่ใช่คนต่อต้านกีฬา แต่เขามองว่าการเติบโตของกำไรต้องมาก่อน

และ CEO รายนี้มองว่าถ้าหากการถ่ายทอดสดกีฬาทำให้รายได้และกำไรของบริษัทเติบโตมากขึ้น เขาเองก็พร้อมที่จะลุยกับเรื่องดังกล่าว

สาเหตุที่ทำให้ Netflix เริ่มมองลู่ทางดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นจนน่าแปลกใจคือเครือข่ายทีวีบอกรับสมาชิกในสหรัฐ อเมริกาที่กำลังมีสมาชิกลดลงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สวนทางกับแพลตฟอร์มวิดีโอสตีมมิ่งที่มีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น

ไม่เพียงเท่านี้คู่แข่งหลายราย เช่น Apple TV หรือแม้แต่ Peacock ซึ่งเป็นบริการแพลตฟอร์มวิดีโอสตีมมิ่งของ Comcast และ Max ของ HBO ไปจนถึง Prime Video ของ Amazon ซึ่งเป็นบริการของเหล่าคู่แข่งโดยตรง ก็เริ่มมีการซื้อลิขสิทธิ์กีฬาเพื่อถ่ายทอดสดบนแพลตฟอร์มมากขึ้น

ในการประกาศผลประกอบการเมื่อไตรมาส 1 ที่ผ่านมาของ Netflix นั้น บริษัทยังได้ชี้ว่านักลงทุนควรจะดูการเติบโตของรายได้และอัตรากำไรจากการดำเนินงานมากกว่าจำนวนสมาชิก ซึ่งกลยุทธ์หนึ่งของบริษัทก็คือการหารายได้จากค่าโฆษณา รวมถึงรายได้จากธุรกิจอื่นๆ

ทำให้อนาคตอันใกล้นี้เราต้องจับตาดูกันว่า Netflix จะจริงจังกับเรื่องดังกล่าวมากแค่ไหน หลังจากที่ปิดดีล NFL ช่วงวันคริสต์มาสต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว