อีกสิบปี ‘กาแฟ RTD’ ในไทยจะมีมูลค่า 6.2 หมื่นล้าน อะไรที่ทำให้ตลาดนี้โตแรง?

ด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้คนยุคปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกสบาย และความรวดเร็ว หากสินค้าหรือบริการใดสามารถตอบสนองเทรนด์นี้ได้ นั่นหมายถึงยอดขายและโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับ ‘กาแฟพร้อมดื่ม’ หรือ กาแฟ RTD (Ready To Drink) ที่แม้ตอนนี้คนไทยยังมีการบริโภคน้อยอยู่ แต่ในอีกสิปปีข้างหน้ามีการประเมินว่า ตลาดนี้จะโตปีละ 9% มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 62,033 ล้านบาท

 

นอกจากความสะดวกสบายแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นหรือไม่ที่เป็นแรงส่งให้ตลาดกาแฟ RTD มีการเติบโตร้อนแรงเช่นนี้?

 

จากข้อมูลของ Tetra Pak Compass 2023 ได้รายงานถึงปริมาณการบริโภคกาแฟ RTD ของทั่วโลกในปี 2020-2023 อยู่ที่ประมาณ 7,600 ล้านลิตร มีการเติบโต 3.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน และจากการบริโภคทั้งหมดเป็นการบริโภคอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือ APAC ถึง 75%

 

ตลาดกาแฟในไทยน่าสนใจแค่ไหน ?

 

สำหรับประเทศไทยนั้น จากรายงานดังกล่าวระบุว่า มีการบริโภคเครื่องดื่ม (ไม่รวมน้ำดื่ม) อยู่ราว 15,864 ล้านลิตร ในจำนวนนั้นเป็นการบริโภคกาแฟอยู่ในสัดส่วนที่ 11% ซึ่งตลาดกาแฟในภาพรวมมีแนวโน้มการเติบโตเฉลี่ย 3.5% ต่อปีสูงกว่าเครื่องดื่มหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มนมและกลุ่มน้ำผลไม้ เป็นต้น

 

นั่นทำให้กาแฟกลายเป็นอีกหนึ่งเซ็กเมนต์ของตลาดเครื่องดื่มที่มีการเติบโตน่าสนใจ

‘สุภนัฐ รัตนทิพ’ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในบรรดาตลาดกาแฟทั้งหมดเซ็กเมนท์ RTD เป็นตลาดน่าสนใจที่สุด เพราะแม้ปัจจุบันจะมีการบริโภคอยู่ในสัดส่วน 12% จากภาพรวมของตลาดกาแฟ แต่ในอนาคตโตแรงแน่นอน ซึ่งเหตุผลเพราะนอกจากช่องว่างทางการตลาดที่มีอยู่ ยังมาจากปัจจัยหลัก ดังต่อไปนี้

 

ประเด็นแรก ความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงาน และกลุ่ม Gen Z มีความคุ้นเคยและดื่มกาแฟมากขึ้น โดยจะมีการบริโภคอย่างน้อย 2 แก้วต่อวัน

 

ประเด็นที่ 2 ด้วยเทรนด์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่มองหาความสะดวกสบายและความรวดเร็วมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการนี้เพิ่มขึ้น

 

ประเด็นที่ 3 การมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาด รวมถึงมีการออกรสชาติและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เป็นการขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น

 

ประเด็นที่ 4 มาจากการขยายตัวของช่องทางจัดจำหน่ายที่มากขึ้น โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อ ที่ส่วนใหญ่จะมีสินค้ากลุ่ม RTD วางจำหน่าย ทำให้เป็นเพิ่มโอกาสในการขยายตัวของสินค้ากลุ่มนี้ รวมถึงกาแฟ RTD

 

จากปัจจัยทั้งหมด ทำให้มีการประเมินว่า ในอีกสิบปีข้างหน้าตลาดกาแฟพร้อมดื่มจะมีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 9% และมีมูลค่าเพิ่มขึ้น จากปี 2024 มีมูลค่าอยู่ที่ 26,095 ล้านบาท เพิ่มเป็น 62,033 ล้านบาท ในปี 2034 ซึ่งถือเป็นโอกาสน่าสนใจสำหรับทั้งผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจและผู้เล่นรายใหม่ที่มองหาช่องทางเข้าสู่ตลาดกาแฟ RTD

 

ทั้งนี้ ตลาดกาแฟ RTD ในบ้านเรา จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ‘กลุ่มแมส’ เป็นตลาดพื้นฐาน เช่น กาแฟดำ กาแฟใส่นม ฯลฯ ราคาอยู่ประมาณ 10 บาท กับ ‘กลุ่มพรีเมียม’ ใช้เมล็ดกาแฟพิเศษ มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ระดับราคาอยู่ที่ 30 บาทขึ้นไป ซึ่งสุภนัฐบอกว่า การทำตลาดอยากให้โฟกัสในกลุ่มพรีเมียม เพราะกำไรต่อหน่วยสูงกว่า และยังเพิ่มคุณค่าให้กับแบรนด์

โดยการทำตลาดในกลุ่มนี้ สามารถต่อยอดความได้เปรียบด้วยการ Value-added ผ่านนวัตกรรมต่าง ๆ เช่น การใช้บรรจุภัณฑ์สำหรับสร้างความแตกต่าง บรรจุภัณฑ์หรูหรา การตลาดแบบเฉพาะเจาะจง หรือการนำเสนอเรื่องราวของแบรนด์

 

รวมไปถึงพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์เป็น ‘มากกว่ากาแฟ’ ด้วยการเพิ่มคุณประโยชน์อื่นเข้าไปเพื่อตอบสนองเทรนด์สุขภาพที่มาแรง ยกตัวอย่าง ประเทศเกาหลีที่มีการใส่ High Protein เข้าไป หรือญี่ปุ่น อีกตลาดที่ใหญ่ของกาแฟ ได้มีการออกผลิตภัณฑ์ไซด์ลิตรให้บริโภคที่บ้าน และมีการทำกาแฟ Plant-based ขึ้นมา เป็นต้น

 

“ราคา เป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจซื้อ แต่ถ้าสินค้าสามารถตอบโจทย์ความต้องการเขาได้ผู้บริโภคก็พร้อมจ่าย และต้องทำความเข้าใจลูกค้าแต่ละกลุ่มให้ชัดเจน เพื่อให้รู้ว่า เราจะสู้ด้วยกลยุทธ์อะไร เพราะอย่าลืมว่า ตอนนี้ไม่มีแล้วสำหรับ One size doesn’t fit all”