เปิดเบื้องหลัง ‘CTM’ แบรนด์ใหม่จาก ‘ชาตรามือ’ รับเทรนด์ ‘Specialty Tea’ ที่ถึงแพงแต่ ลูกค้าพร้อมจ่าย

หากพูดถึง ชาไทย หนึ่งในชื่อแบรนด์ที่หลายคนต้องเข้ามาในหัวก็คือ ชาตรามือ ที่อยู่ในตลาดไทยมายาวนานถึง 80 ปี และถือเป็น เบอร์ 1 ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดชาในไทยถึง 70% อย่างไรก็ตาม ในวันที่พฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มหันมาสนใจใน Specialty Tea มากขึ้น และมีแบรนด์ใหม่ ๆ ทั้งจากในและต่างประเทศเข้ามาในตลาด ชาตรามือเองก็ไม่อยู่นิ่ง แต่ได้ส่งแบรนด์ใหม่อย่าง CTM มาเจาะในเซกเมนต์นี้

ตลาดชายิ่งโต คนยิ่งหาความพิเศษ

แพรว – พราวนรินทร์ เรืองฤทธิเดช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิพย์ธารี จำกัด ทายาทรุ่น 3 ของ ชาตรามือ เล่าให้ฟังว่า ตลาด ชา ก็คล้าย ๆ กับตลาด กาแฟ ที่เมื่อตลาดเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ความต้องการของลูกค้าก็มีมากขึ้น และมีความ เฉพาะเจาะจง มากขึ้น ส่งผลให้มีการแตกเซกเมนต์ใหม่ ๆ และมีความ Specialty มากขึ้น

ขณะเดียวกัน ชาตรามือก็มีชาอีก หลายชนิด ที่อยากจะ นำเสนอ แต่ถ้าวางขายที่ร้านชาตรามือ สุดท้าย ลูกค้าจะคิดว่าเป็นเพียง เมนูซีซันนอล และจะยังคงสั่งแต่ เมนูเดิม ทำให้ พราวนรินทร์ จึงตัดสินใจเปิดแบรนด์ใหม่ CTM เพื่อเจาะเซกเมนต์ Specialty Tea

“เราคิดมานาน และก็ใช้เวลาเตรียมตัวพอสมควร ทั้งการเตรียมวัตถุดิบ และการตกผลึกแบรนด์เพื่อให้มีความแตกต่างจากชาตรามือ เพราะเราอยากมีเวทีให้กับชาใหม่ ๆ แต่ถ้าเปิดในร้านชาตรามือ คนอาจยังเห็นภาพไม่ชัด อาจคิดว่าเป็นเมนูใหม่ตามซีซันนอล

แพรว – พราวนรินทร์ เรืองฤทธิเดช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิพย์ธารี จำกัด

เริ่มต้น 70-200 บาท แต่ลูกค้าพร้อมจ่าย

สำหรับชาในร้าน CTM จะมีกว่า 12 สายพันธุ์ ทั้งที่ปลูกเองและนำเข้า โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่

  • ชาแดง หรือ ชาดำ (ที่ใช้ชงชาไทย)
  • ชาอู่หลง
  • ชาเขียว (นำเข้าจากญี่ปุ่น) 

นอกจากนี้ จะมี ท็อปปิ้ง ที่เพิ่ม ลูกเล่น ให้กับชา เช่น เนื้อเกาลัดบด, เนื้อส้มโอ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นจุดที่ใช้ แข่งขันหลัก ในตลาด ขณะที่ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 70 บาท ไปจนถึง 200 บาท และมีเมนูให้เลือกกว่า 40 เมนู โดยมี 6 เมนูซิกเนเจอร์ ได้แก่ ชานมอู่หลงนางงาม, ชาจัสมินบลูม, ชาต้งติ่งเกาลัด, ชาขาวไอวอรี่นมปั่น, ชาไทยซีทีเอ็ม  เครมบรูเล่, ชาส้มโอทับทิมสยาม

“เราไม่ได้ต้องการทำแบรนด์ให้พรีเมียมราคาสูงจนจับต้องไม่ได้ เพราะความต้องการหลัก ๆ คือ อยากให้ทุกคนเข้าถึงได้ ซึ่งตั้งแต่ตลาดเติบโตจนเกิดเป็นเซกเมนต์ Specialty เราเห็นเลยว่าลูกค้าเองก็กล้าและพร้อมจ่ายมากขึ้น เราจึงเข้ามาในตลาดตอนนี้ เพราะเห็นว่าเป็นจังหวะดี”

ไม่อยากตะโกนว่า CTM = ชาตรามือ

พราวนรินทร์ เล่าต่อว่า หลังจากเปิดตัวสาขาแรกไปเมื่อวันที่ 4 กันยายน ที่เซ็นทรัล พาร์ค มีลูกค้าบางคน ไม่รู้ ว่า CTM เป็นแบรนด์จากชาตรามือ ซึ่ง พราวนรินทร์ เองก็ไม่ได้ต้องการ ตะโกน ให้ทุกคนรู้ แค่ต้องการ สื่ออ้อม ๆ เพราะไม่ต้องการให้ลูกค้าสับสนระหว่างแบรนด์ CTM กับชาตรามือ ดังนั้น โลโก้ต่าง ๆ จึงทำใหม่ทั้งหมด และความจริงแล้ว CTM มาจากคำว่า Captivating Tea Muse

“เราอยากพรีเซ็นต์แบรนด์ CTM ให้มีความสากล มีความร่วมสมัยมากขึ้น ซึ่งจะเป็นภาพที่ต่างจากชาตรามือ ที่พรีเซ็นต์ภาพของความเป็นไทย ความดั้งเดิม”

ซึ่ง พราวนรินทร์ มองว่า การที่ชาตรามือมีแบรนด์ CTM ก็จะยิ่ง เพิ่มโอกาสการบริโภค ของลูกค้าได้อีกด้วย เพราะลูกค้าอาจจะสลับทานทั้งชาตรามือ และแบรนด์ CTM หรือเพิ่มความถี่ในการบริโภคได้

พร้อมขยายสาขาหากการตอบรับดี

อย่างไรก็ตาม พราวนรินทร์ ยังไม่ได้วางแผนการขยายสาขาที่ชัดเจน เนื่องจากอยากเห็นการตอบรับจากลูกค้าก่อน รวมถึงต้องได้โลเคชั่นที่เหมาะสมจริง ๆ ซึ่งเบื้องต้นมองว่าต้องเป็นโซนเมืองในกรุงเทพฯ ก่อน

“ตอนนี้เรายังไม่ได้วางแผนขยายสาขา หรือใช้พรีเซ็นเตอร์ทำการตลาด เพราะอยากให้ลูกค้าซื้อเพราะตัวโปรดักส์ และเรายังต้องการเก็บฟีดแบ็กเพื่อนำมาพัฒนาก่อน”

เป้าใหญ่คือการขึ้นเป็น Global Brand

สำหรับเป้าหมายใหญ่ของชาตรามือก็คือ การขึ้นเป็น Global Brand โดยที่ผ่านมา ชาตรามือมีสาขาใน 11 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ จีน และเขตเศรษฐกิจพิเศษฮ่องกง กัมพูชา พม่า มาเลเซีย บรูไน เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม พร้อมส่งออกสินค้าไปกว่า 23 ประเทศ ครอบคลุม 5 ทวีป โดยปีนี้จะขยายไปอีก 4 ประเทศ ได้แก่ แคนาดา ลาว เม็กซิโก และอินโดนีเซีย คาดว่าสิ้นปีจะมีสาขาในต่างประเทศทั้งหมดเป็น 130 สาขา ส่วนในไทยคาดว่าสิ้นปีจะมี 230 สาขา

โดย พราวนรินทร์ มองว่า การจะขึ้นเป็นแบรนด์ระดับโลกได้ ไม่ใช่แค่แบรนด์เป็นที่รู้จักเท่านั้น แต่สินค้าต้องขายได้ และมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 90% ดังนั้น การเพิ่มช่องทางและโอกาสทางการขายจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งทางแบรนด์เองก็มีการออกสินค้าใหม่ ๆ เช่น ชาหมัก (Kombucha) เพื่อเพิ่มโอกาสทางการขาย ลดข้อจำกัด รวมถึงการคอลแลป (Collaboration) กับแบรนด์ระดับโลก