ASCONโชว์ระบบ Dual Track รุกงานก่อสร้าง ชี้จุดเด่นสร้างเสร็จเร็ว

แอสคอนรุกงานก่อสร้างชูระบบ Dual Track สำหรับงานอาคารสูง ร่นระยะเวลาก่อสร้าง ช่วยลดดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้า และใช้ประโยชน์จากพื้นที่ก่อสร้างได้เร็วยิ่งขึ้น พร้อมรุกกระจายช่องทางรับงานเพื่อพัฒนาฝีมือ ทั้งลดความเสี่ยงในแง่แหล่งที่มาของรายได้ เตรียมพร้อมผนึกพันธมิตรธุรกิจรับงานที่ต้องใช้โนว์ฮาว

นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายการเติบโตด้านผลประกอบการ ซึ่งมุ่งกระจายช่องทางการรับงานให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยมีสัดส่วนการรับงานเอกชน งานรัฐ และงานโรงงานเป็น 40:40:20 นอกจากนั้น เพื่อมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีและฝีมือการก่อสร้างของทีมงาน ถือเป็นอีกนโยบายหนึ่งซึ่งบริษัทในฐานะธุรกิจรับเหมาก่อสร้างคลื่นลูกใหม่ให้ความสำคัญ ด้วยเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ดีจะช่วยร่นระยะเวลาการก่อสร้าง เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากอาคารที่ก่อสร้างได้เสร็จเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งสามารถลดภาระดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินได้เพราะสามารถเปิดขายโครงการและโอนให้ลูกค้าได้ ซึ่งเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์เศรษฐกิจเช่นขณะนี้ ที่มีผลกระทบทั้งจากดอกเบี้ย และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

“เทคโนโลยีงานก่อสร้างระบบ Dual Track ที่บริษัทนำมาใช้กับงานก่อสร้างอาคารสูงขณะนี้ ถือเป็นจุดเด่น ที่ทำให้มีความแตกต่างจากบริษัทรับเหมารายอื่น เนื่องจากผู้รับเหมาต้องมีความพร้อมทั้งด้านการออกแบบโครงสร้างทางวิศวกรรม บุคลากรที่มีฝีมือ รวมถึงด้านเงินทุนอีกด้วย ซึ่งบริษัท แอสคอนฯ ก็มีศักยภาพเพียงพอที่จะใช้เทคนิคดังกล่าวช่วยในการบริหารงานก่อสร้างได้เป็นอย่างดี สำหรับเทคนิค Dual Track นี้ เป็นเทคนิคพิเศษ โดยสามารถที่จะก่อสร้างโครงสร้างของอาคารชั้นล่างที่เป็นฐานไปพร้อมกับอาคารสูงด้านบนได้เลย อย่างในส่วนของ คอนโด ณุศาศิริ ที่เรากำลังก่อสร้างอยู่นั้น เราก็สามารถสร้างส่วนที่เป็นพลาซ่าไปพร้อมกับส่วนที่เป็นอาคารสูงที่เป็นที่พักอาศัยได้พร้อมกัน และเราก็นำเทคนิคนี้มาใช้เพื่อนำเสนอลูกค้าที่ต้องการก่อสร้างอาคารแบบรวดเร็ว ปลอดภัย และมีคุณภาพ ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง”

นายพัฒนพงษ์กล่าวต่อว่า “ระบบดังกล่าวบริษัทฯได้มีการนำมาใช้กับโครงการณุศาศิริ สุขุมวิท-เอกมัย แกรนด์ คอนโด ซึ่งเป็นอาคารชุดพักอาศัย 305 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 5 ไร่ ปากซอยสุขุมวิท 42 ติดสถานีขนส่งเอกมัย โดยมี 2 อาคาร สูง 28 ชั้น และ 22 ชั้น พื้นที่รวมกว่า 75,000 ตารางเมตร ปัจจุบัน มีความคืบหน้าไปมากกว่า 50% โดยเทคนิคดังกล่าวจะทำให้งานก่อสร้างเสร็จเร็วกว่ากำหนดเวลาถึง 6 เดือน โดยทาง ณุศาศิริ เองก็มีความยินดีและพอใจเพราะสามารถขายโครงการ และโอนให้ลูกค้าได้เร็วขึ้น นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนจะใช้เทคนิคดังกล่าวกับโครงการ คอนโด วอเตอร์ มาร์ค ซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบจากเจ้าของโครงการเป็นอย่างดีอีกด้วย

ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเดือนธันวาคมปี 2548 โดยปี 2549 ตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตของมูลค่างานในมือเพิ่มขึ้น 50 % จาก 2,000 ล้านบาทที่มีอยู่ ณ ต้นปี ให้เป็น 3,000 ล้านบาท โดยทยอยรับรู้รายได้ตามแผนงานไปกว่า 400 ล้านบาท และในเดือนมิถุนายน บริษัทฯได้งานก่อสร้างคอนโดบ้านธนารักษ์ นนทบุรี โดยผู้ว่าจ้าง คือ บริษัท ธนารักษ์ พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด มูลค่างาน 494.9 ล้านบาท และในเดือนกรกฎาคมมีการเซ็นสัญญาก่อสร้างเพิ่ม 4 งาน คือ

โครงการบ้านธนารักษ์ ภูเก็ต จากผู้ว่าจ้างรายเดียวกัน มูลค่างาน 135.5 ล้านบาท จำกัด โครงการ อาคารคลังเก็บสินค้า ของบริษัท คาทูน นาที เซมป์คอร์ป (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่างาน 60.11 ล้านบาท โครงการดิอินสไปร์ เป็นคอนโดพักอาศัย สูง 18 ชั้น ของ บริษัท วัชรธร จำกัด มูลค่างาน 356 ล้านบาท และอีก 1 โครงการ เดอะมาสเตอร์ มณธาราเป็นอาคารที่พักอาศัย 8 ชั้น 2 อาคาร ของบริษัท เพาเวอร์พลัส พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด มูลค่างาน 331 ล้านบาท ซึ่งยังคงเหลืองานคอนโดพักอาศัย 27 ชั้น โครงการ วอเตอร์มาร์ค อีก1 โครงการ ที่กำลังอยู่ระหว่างการเซ็นสัญญา โดยคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จภายในต้นเดือนสิงหาคมนี้ กล่าวโดยสรุปแล้วบริษัทฯ จะมีมูลค่างานในมือ (Back Log) ล่าสุด ทั้งหมดประมาณ 3,800 ล้านบาท ซึ่งเกินเป้าที่ตั้งไว้ในแผนธุรกิจของปี 49

สำหรับนโยบายการดำเนินงานของบริษัทปี 49 ได้มุ่งพัฒนารูปแบบการดำเนินงานที่หลากหลาย และกระจายช่องทางการเพิ่มรายได้ โดยรุกเข้าประมูลงานก่อสร้างของภาครัฐ เช่น โครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานทั้งหมดรวมถึงงานที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงมากขึ้น ซึ่งต้องมีการจอยท์ เวนเจอร์กับพันธมิตร ที่มีเทคโนโลยีและความชำนาญงานในด้านนั้นๆ อาทิ ถนน อุโมงค์ สะพาน อาคารสูง ระบบบำบัดน้ำเสีย รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (MRT) รวมถึง โรงผลิตไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งเป็นการปรับแผนจากปีก่อนหน้าที่รับงานเอกชนเป็นหลัก หากพิจารณางานของภาครัฐที่คาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามแผนการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ (Mega Project) ซึ่งในส่วนของโครงการรถไฟฟ้าที่รัฐบาลจะเปิดประมูล 3 เส้นทาง คือสายสีแดง สายสีม่วง สายสีน้ำเงินนั้น คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1.5 แสนล้านบาท โดยคาดว่า จะเริ่มขายแบบ และกำหนดเงื่อนไขการประมูล (TOR)ในเร็วๆนี้ ซึ่งทางบริษัท แอสคอนฯ ก็มีความสนใจ ที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการดังกล่าว โดยจะร่วมทุนกับพันธมิตรจากต่างประเทศ อาทิ ประเทศจีน ตามที่ได้มีข้อตกลงเบื้องต้นไว้แล้ว