กลุ่มแสนสิริ โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2552 เติบโตรับสภาพตลาดฟื้นตัวเต็มที่ คิดเป็นรายได้รวมกว่า 4,524 ล้านบาท และมีกำไรกว่า 502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115 ล้านบาท อัตราการเติบโตด้านกำไรก้าวกระโดดถึง 30% จากไตรมาส 2/2552 สูงสุดในระบบอสังหาฯ ขณะนี้ เดินหน้ารุกขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศ โดยปรับแผนเปิดขายอาคารชุดกลางกรุงลอนดอน ภายในปลายปี 2552 นี้ มั่นใจผลประกอบการและกำไรไตรมาสสุดท้ายดีกว่าไตรมาส 3 รับสภาพตลาดฟื้นตัวเต็มที่ พร้อมการบริหารต้นทุนดีขึ้นต่อเนื่อง ส่วนกำไรทั้งปีสูงกว่าปีที่ผ่านมากว่า 60% ขณะที่ผู้ถือหุ้นแสนสิริโหวตผ่านแผนเพิ่มทุน 1.2 หมื่นล้าน เตรียมแผนรุกโปรเจ็กต์ครบวงจร รองรับสู่อันดับหนึ่งตลาดอสังหาริมทรัพย์
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัท แสนสิริ ตั้งแต่ต้นปี 2552 เป็นต้นมา สามารถขยายการเติบโตที่ชัดเจนและต่อเนื่องจากการสร้างยอดขายที่อยู่อาศัยครบวงจร รวมทั้งการรุกขยายงานในตลาดต่างประเทศ โดยในช่วงไตรมาส 3/2552 มีผลประกอบการที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก สามารถสร้างยอดขายรวมกว่า 4,500 ล้านบาท มียอดรับรู้รายได้รวมกว่า 4,524 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) 11% หรือคิดเป็นกำไรสุทธิ 502 ล้านบาท เติบโตขึ้น 30% หรือเพิ่มขึ้นถึง 115 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2/2552 ที่ผ่านมา นับว่ามีอัตราการเติบโตด้านกำไรสูงที่สุดในระบบอสังหาริมทรัพย์ขณะนี้ โดยรายได้หลักมาจากที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยว ในสัดส่วน 50:50
ขณะที่ ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2552 กลุ่มบริษัทแสนสิริ มียอดขายรวมกว่า 6,100 ล้านบาท คิดเป็นรายได้รวม 2,950 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 119 ล้านบาท และผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2552 ที่ผ่านมา มียอดขายรวมกว่า 3,100 ล้านบาท คิดเป็นรายได้รวมกว่า 3,650 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 387 ล้านบาท ส่วนยอดขายในช่วงไตรมาส 3/2552 มียอดขายรวม 4,500 ล้านบาท คิดเป็นรายได้รวมกว่า 4,524 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 502 ล้านบาท อัตราการเติบโตของภาพรวมธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากสภาพตลาดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มฟื้นตัวเต็มที่จากช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งการควบคุมวินัยทางการเงินของบริษัทฯ เป็นอย่างดี ประกอบกับการตอบรับในแบรนด์ที่อยู่อาศัยของแสนสิริที่ได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้จากปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลให้ผลประกอบการรวมทั้งกำไรในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 นี้ดีกว่าช่วงไตรมาสที่ 3 อย่างแน่นอน รวมทั้งยังมั่นใจว่าบริษัทฯ จะสามารถทำกำไรได้สูงกว่าปีที่แล้วถึงกว่า 60%
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของกลุ่มบริษัทแสนสิริ จะเน้นการรุกขยายฐานในตลาดต่างประเทศรวมทั้งพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เพื่อให้การเติบโตของธุรกิจครอบคลุมทุกเซกเมนต์มากยิ่งขึ้น จึงมีการปรับแผนการเปิดตัวโครงการบนถนน Elvaston ย่าน High Kensington กลางกรุงลอนดอน มาเปิดตัวการขายภายในปลายปี 2552 นี้ จากแผนเดิมซึ่งจะเปิดการขายในช่วงเดือน เมษายน 2553 เนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าสนใจสอบถามรายละเอียดโครงการอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อมั่นว่าจะเป็นโครงการที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
ขณะที่ ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2552 เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2552 ได้มีมติอนุมัติการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) จำนวน 1,473 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ4.28 บาท โดยจะดำเนินการเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ที่อาจเป็นนักลงทุนในประเทศหรือต่างประเทศในลำดับต่อไป ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะดำเนินการเพิ่มทุนเมื่อบรรยากาศการลงทุนกระเตื้องขึ้นจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และตลาดหลักทรัพย์กลับเข้าสู่สภาวะปกติ นอกจากนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นดังกล่าว ยังได้อนุมัติออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (Warrant) จำนวน 736.81 ล้านหน่วย ให้กับผู้ถือหุ้นทุกรายในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ อย่างไรก็ดี ผู้ที่เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนในส่วนที่บริษัทได้ทำการจัดสรรให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) จะไม่ได้รับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ในส่วนนี้
นายเศรษฐา กล่าวเสริมว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2553 รวมถึงแผนการดำเนินธุรกิจในอนาคต น่าจะสรุปได้อย่างชัดเจนที่สุด หลังจากได้ดำเนินการเพิ่มทุนเสร็จเรียบร้อย ทั้งนี้ในเบื้องต้นแผนการดำเนินธุรกิจของแสนสิริในช่วงต่อไป ยังคงยึดกลยุทธ์หลัก 4 ประการ ที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การดำเนินธุรกิจมีความแข็งแกร่งนอกเหนือจากการเพิ่มทุนจดทะเบียน ประการแรกคือการสานต่อการสร้างแบรนด์สินค้า ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร และทาวน์เฮาส์ ที่จะเกิดขึ้นอีกหลายโครงการ ประการที่สองคือการที่แสนสิริมียอดขายล่วงหน้า (Pre-Sale Backlog) เป็นมูลค่ารวมเกือบ 15,500 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องใน 1-3 ปีข้างหน้า ประการที่สามคือ แผนการขยายฐานการพัฒนาธุรกิจที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจรผ่านบริษัทในเครือต่างๆ เพื่อรองรับทุกความต้องการของลูกค้า และประการสุดท้ายคือการมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีผลกระทบต่อแผนการลงทุนระยะยาว อันจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนและสถาบันการเงินได้ดียิ่งขึ้นซึ่งนั่นหมายถึงโอกาสที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็มีความชัดเจนมากขึ้นตามเป้าหมายสำคัญที่วางไว้นั่นเอง