แสนสิริโชว์กำไรสุทธิปี 53 กว่า 1,898 ลบ. โตสูงสุดเป็นประวัติการณ์

กลุ่มแสนสิริ โชว์ผลการดำเนินงานปี 2553 กำไรสุทธิ 1,898 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 289 ล้านบาท หรือ 18% อัตราการเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เหตุรับรู้ยอดขายเป็นจำนวนมากและบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ยอดขายรวมทั้งปี สามารถทำได้ถึง 27,000 ล้านบาท คิดเป็นรายได้รวมสุทธิ 18,755 ล้านบาท ใจดีจ่ายปันผลด้วยเงินพร้อมหุ้น เติมทุนเพิ่มศักยภาพ รองรับการขยายธุรกิจในอนาคต

นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานประจำปี 2553 ของกลุ่มบริษัทแสนสิริสร้างยอดขายรวม 27,000 ล้านบาท มีรายได้สุทธิ 18,755 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 7 และมีกำไรสุทธิ 1,898 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.12 ของรายได้ ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นกว่าในปี 2552 ที่มีกำไรสุทธิร้อยละ 9.2 ทั้งที่มาตรการลดหย่อนภาษีธุรกิจเฉพาะและการโอนกรรมสิทธิ์ได้หมดลง แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยบริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงการบันทึกรายการทางบัญชี จากเดิมที่บันทึกรายได้ตามเกณฑ์ความสำเร็จของงานก่อสร้าง มาเป็น ตามเกณฑ์การโอนกรรมสิทธิ์ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของสภาวิชาชีพบัญชีแห่งประเทศไทย

นอกจากนี้ นายวันจักร์ ยังเปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทมีมติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่เดือน ม.ค.-ธ.ค. 2553 โดยจ่ายเป็นเงินสดหุ้นละ 0.117975 บาท และปันผลเป็นหุ้นสามัญในอัตราส่วน 6 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นปันผล ซึ่งการปันผล 1 หุ้นมีราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 6.1 บาท เฉลี่ยแล้วผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนในรูปของหุ้นปันผลและเงินสด รวมกันเป็นเงินประมาณ 1.17975 บาท ต่อหุ้น หรือคิดเป็นผลตอบแทนร้อยละ 19.3 และสืบเนื่องจากการจ่ายหุ้นปันผลดังกล่าว ทำให้ต้องมีการปรับสิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิฯ (SIRI-W1) ใหม่ด้วย โดยในเบื้องต้น คาดว่า ในส่วนราคาการใช้สิทธิ์จะมีการปรับลดลงจากเดิมที่ 5.20 บาท มาอยู่ที่ประมาณ 4.46 บาท และอัตราการใช้สิทธิ จากเดิม 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ์มีสิทธิซื้อหุ้น 1 หุ้นมาเป็นประมาณ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ์มีสิทธิซื้อหุ้น 1.167 หุ้น ทั้งนี้ อัตราการใช้สิทธิและราคาใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ดังกล่าว เป็นเพียงข้อมูลที่คำนวณคร่าวๆ โดยประมาณเท่านั้น เมื่อบริษัทได้ทำการจัดสรรหุ้นปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเรียบร้อยแล้ว จึงจะสามารถนำจำนวนหุ้นปันผลที่แน่นอนภายหลังจากทำการจัดสรรครบถ้วนแล้ว มาเป็นฐานในการคำนวณและแจ้งตัวเลขที่แน่นอนให้ผู้ถือหุ้น ผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบต่อไป นอกจากนี้ บมจ. แสนสิริ จะทำการเพิ่มทุนจดทะเบียนเพื่อรองรับการจ่ายหุ้นปันผล และรองรับการปรับสิทธิตามเงื่อนไขของใบสำคัญแสดงสิทธิฯ โดยออกหุ้นสามัญใหม่ จำนวน 388,80 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 4.28 บาท (พาร์) รวมประมาณ 1,664 ล้านบาท

“การจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการเพิ่มศักยภาพในการขยายงานของบริษัทในอนาคตเท่านั้น โดยบริษัทมีแผนจะขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้บริษัทจะเปิดตัวโครงการทาวน์เฮ้าส์ระดับบนราคาประมาณ 15 – 20 ล้านบาทต่อยูนิต รวมถึงโฮมออฟฟิศ เพื่อให้บริษัทมีสินค้าที่ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าอย่างแท้จริง หลังจากที่ปีที่แล้ว บริษัทประสบความสำเร็จอย่างมากในการรุกเข้าสู่ตลาดล่าง ทั้งคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ D Condo และ The Base รวมทั้งทาวน์เฮ้าส์ภายใต้แบรนด์ V village ซึ่งทุกโครงการได้รับการตอบรับอย่างจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับล่าง ซึ่งแม้จะมีกระแสความกังวลต่อภาวะ oversupply จนธนาคารแห่งประเทศได้ออกมาตราการกำหนดอัตราสินค้าเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันหรือ LTV แต่เนื่องจาก ความเชื่อมั่นใจของลูกค้าที่มีต่อที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์แสนสิริ รวมถึงทำเลและการออกแบบที่พิถีพิถันของบริษัท ทำให้บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว ยอดขายของคอนโดมิเนียมยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง” นายวันจักร์ กล่าว

โดยในปีนี้ บมจ. แสนสิริ มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการทั้งสิ้น 23 โครงการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการแนวราบ 12 โครงการ มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท และโครงการแนวสูง 11 โครงการ มูลค่าประมาณ 17,000 ล้านบาท และจากความสำเร็จในปี 2553 ที่สามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 27,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทได้คาดการณ์ยอดขายปีนี้ไว้ที่ 30,000 ล้านบาท โดยในปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) สูงถึง 25,000 ล้านบาทที่จะรอรับรู้รายได้ในอีก 3 ปีข้างหน้าอยู่แล้วทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนความสามารถในการทำกำไรนั้นบริษัทได้มีการเพิ่มขีดความสามารถในการควบคุมต้นทุนการก่อสร้าง และค่าใช้จ่ายในการและบริหารอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2553 ที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรขั้นต้นร้อยละ 33.13 และกำไรสุทธิร้อยละ 10.12 ซึ่งในปีนี้บริษัทจะยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารและควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายของบริษัท เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทต่อไป