กลายเป็นกระแส “ไวรัล” ที่ถูกแชร์กระจายในโลกออนไลน์ อย่าง “อินสตาแกรม” ไปแล้ว สำหรับแคมเปญส่งท้ายปี “Share a Coke” เมื่อโค้กซึ่งเป็นสินค้าที่ได้ชื่อว่า “แมส” ที่สุด กำลังเล่นกับความรู้สึกส่วนตัวของผู้บริโภค ด้วยการนำ 80 ชื่อเล่นของคนไทยมาประทับบนกระป๋องและขวดพีที
หลังจากแซงหน้า “เป๊ปซี่” ขึ้นเป็นเบอร์ 1ในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในไทย ด้วยส่วนแบ่งตลาด 56.7% โค้กเพิ่มน้ำหนักการลงทุนทั้งการเพิ่มกำลังการผลิต และงบการตลาดในไทย เพื่อหวังจะรักษาแชมป์นี้ไว้ โดยมีการออกแคมเปญการตลาดต่อเนื่อง
ล่าสุด โค้กออกแคมเปญ “Share a Cokeต้องซ่า ต้องกล้า ส่งโค้กให้” ด้วยการออกโค้กรุ่นพิเศษ ที่มีการประทับคำพิเศษลงบนขวดและกระป๋องโค้กกว่า 250 ล้านขวด/กระป๋อง นอกจากนี้โค้กยังเพิ่ม คำชมแสดงความรู้สึก เป็นประเทศแรกในเอเชียด้วย
ก่อนหน้านี้ โค้กได้ชิมลางด้วยการออกกระป๋องโค้กรุ่นพิเศษที่มีคำว่า “แม่” เพื่อต้อนรับวันแม่ ซึ่งสร้างความฮือฮาบนโลกออนไลน์ไปบ้างแล้ว โดยโค้กออกมาระบุว่า ทำยอดขายกว่า 5 ล้านกระป๋องภายใน 1 เดือน จากนั้นโค้กได้เริ่มวางแคมเปญ Share a Coke เฉพาะภายในองค์กรก่อน ด้วยการนำชื่อเล่นของพนักงานมาประทับบนกระป๋องโค้ก สร้างการรับรู้ให้กับพนักงาน เรียกว่าเป็นการ “พรีแคมเปญ” ให้เกิดการแชร์บนเฟซบุ๊กล่วงหน้าก่อน 3-4วัน ก่อนจะมีการจัดแถลงข่าว ลอนช์แคมเปญ ”Share a Coke” ออกมาอย่างเป็นทางการ ไปเมื่อวันที่ 24 กันยายน
คอสตาส เดลิอาลิส ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า แคมเปญ Share a Coke เปิดตัวมาแล้ว 50 ประเทศ โดยเริ่มที่ออสเตรเลียเป็นประเทศแรก จากนั้นขยายไปยังอังกฤษ อิตาลี ออสเตรีย ฝรั่งเศส เยอรมัน กรีซ อิสราเอล และไทยเป็นประเทศล่าสุด โดยมองว่าคนไทยค่อนข้างขี้อาย ไม่กล้าแสดงความรู้สึก ซึ่งแคมเปญนี้จะกระตุ้นให้แชร์ความรู้สึกผ่านกระป๋องและขวดโค้กได้ และยังปรับให้เข้ากับนิสัยคนไทย
เพราะในขณะที่ประเทศอื่นจะใช้ชื่อเล่นเป็นหลัก ส่วนในไทยนอกจากชื่อเล่นแล้ว โค้กยังเพิ่มถ้อยคำแสดงความสัมพันธ์และความรู้สึกชื่นชม ซึ่งเริ่มนำมาใช้ในไทยเป็นประเทศแรก โดยได้พิมพ์ชื่อเล่นคนไทยลงบนแพ็กเกจจิ้งชนิดกระป๋องและขวด PET ทุกขนาด ตั้งแต่ขนาด 325 มิลลิลิตร จนถึง 1.5 ลิตร และวางขายทุกช่องทางจำหน่าย
นอกจากจะทำให้เกิดอารมณ์ร่วมที่ให้ความรู้สึกส่วนตัว กับการที่ผู้บริโภคจะหาซื้อกระป๋องหรือขวดโค้กที่มีชื่อตัวเอง ชื่อเพื่อน คนในครอบครัว หรือคนรู้จัก ไปส่งต่อให้กันและกัน ซึ่งเป็นจุดหลักของแคมเปญแล้ว การเพิ่มถ้อยคำ แสดงออกผ่านคำชมที่แสดงออกถึงความรู้สึก เช่น คนสวย คนน่ารั ก เท่ากับ ยิ่งกระตุ้นให้เกิดการแชร์ในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกผ่านคำเหล่านี้ เช่น การนำชื่อเล่นอย่าง “ไอซ์” มาต่อท้ายด้วยคำว่า “คนสวย” หรือ “คนน่ารัก” รวมเป็นคำว่า ไอซ์น่ารัก หรือ ไอซ์คนสวย หรืออาจจะให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น “ไอซ์น้องออยคนสวย”
ผลปรากฏว่าแคมเปญนี้กำลังสร้างกระแส “ไวรัล” ในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในอินสตาแกรม เว็บแชร์ภาพยอดนิยม เวลานี้ได้มีการแชร์ภาพกระป๋องโค้กรุ่นพิเศษที่มีชื่อเล่นต่างๆ ทั้งของตัวเอง คนรัก และเพื่อนฝูง คนในครอบครัว หรือประโยคบอกรักแฟน
ทางด้านโค้กเองใช้งบการตลาด 140 ล้านบาทสำหรับแคมเปญนี้ ยังได้จัดกิจกรรม กระตุ้นให้เกิดการสะสมกระป๋อง หรือขวดโค้กที่มีชื่อหลากหลาย เพื่อชิงรางวัลทั้งแพ็กเกจทัวร์ชมฟุตบอลโลกที่บราซิล หรือตั๋วชมคอนเสิร์ตที่อังกฤษ มูลค่า 4 ล้านบาท
รวมทั้งยังสร้างการรับรู้ผ่านโฆษณาชุด “เฟิร์น” เป็นเรื่องราวของวัยรุ่นคู่หนึ่ง ที่ผู้ชายแอบชอบหญิงสาว จึงใช้โค้กเป็นสื่อทายชื่อ โดยหยุดที่คำว่าเฟิร์น และต่อท้ายด้วยคำว่าคนสวย จากสถิติก็พบว่าชื่อเฟิร์นอยู่ในชื่อเล่นที่น่าสนใจของเด็กยุคใหม่อีกด้วย
แม้ว่าผู้บริหารของโค้กจะไม่สามารถเปิดเผยยอดขาย แต่ด้วยยอดผลิต250 ล้านขวด/กระป๋อง ในทุกแพ็กเกจจิ้ง ตลอดแคมเปญ 3 เดือน พอจะทำให้โค้กเชื่อมั่นว่า จะรักษาอัตราการเติบโต 21% เหมือนกับที่เคยทำในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้มาแล้ว
หากดูจากประเทศออสเตรเลีย ที่โค้กออกแคมเปญ Share a Coke เป็นแห่งแรก ปรากฏว่าสามารถสร้างกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์ และยังทำให้แบรนด์โค้กเข้าถึงกลุ่มคนได้กว้างขึ้น ซึ่งแต่เดิมโค้กมุ่งเน้นไปที่กลุ่มวัยรุ่น หนุ่มสาว อายุ 18-30 ปี แต่ปรากฏว่า กลับได้รับความสนใจจากลูกค้าที่มีอายุตั้งแต่ 13–60 ปี โดยสามารถสร้างกระแสทั้งในออนไลน์และออฟไลน์ มีการแชร์ขวดโค้กที่ชื่อคนรู้จักก็จะแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย ส่งผลให้ผู้บริโภคในวัยรุ่นเพิ่มขึ้น 7%
ในประเทศอังกฤษ พบว่า แคมเปญนี้โดนใจชาวอังกฤษ ซึ่งนิยมแชร์เรื่องส่วนตัว นี่จึงเหตุผลที่ทำให้ Share a Coke ประสบความสำเร็จมาแล้วในหลายประเทศ
ส่วนในไทยก็เช่นกัน เชื่อได้ว่าแคมเปญนี้น่าจะทำให้แบรนด์โค้กกลับมาดูสดใส ครองใจวัยรุ่นได้อีกครั้ง เพราะที่ผ่านมาแบรนด์โค้กตกเป็นรองเป๊ปซี่มาตลอด โดยเฉพาะกิจกรรมและการตลาดที่เป๊ปซี่ทำได้โดนใจวัยรุ่นได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการเลือกพรีเซนเตอร์ระดับท็อป อย่าง บอดี้สแลม ดา เอ็นโดรฟิน หรือการจัดกิจกรรม เช่น สปอนเซอร์ “มันใหญ่มาก” บิ๊กอีเวนต์ที่สร้างชื่อให้เป๊ปซี่กับกลุ่มวัยรุ่นมาต่อเนื่อง
เมื่อเป๊ปซี่ต้องตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ กลายมาเป็นมวยรอง อันเป็นผลจากการแยกทางกับ “เสริมสุข” เป็นโอกาสทำให้ตาอยู่อย่าง “โค้ก“ จะใช้จังหวะนี้ อัดแคมเปญการตลาดต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับแคมเปญ Share a Coke ที่ถือว่าสร้างกระแสได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับแคมเปญที่ผ่านมา
เนื่องจากพฤติกรรมวัยรุ่นไทยชื่นชอบการ “แชะแล้วแชร์” เมื่อแคมเปญนี้โค้กสามารถสร้างให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะวัยรุ่น เกิดอารมณ์ร่วมได้ ด้วยการซื้อโค้กที่มีชื่อเพื่อน ชื่อแฟน หรือคนรู้จักแล้ว จะแชร์บนโลกออนไลน์ ซึ่งเมื่อโค้กปรับแคมเปญ โดยนำคำชมแสดงความรู้สึกมาใช้ ก็ยิ่งกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ร่วมได้กว้างขึ้น และการแชร์ก็มากขึ้น
แน่นอนว่าผลตอบรับสุดท้าย คือ ยอดขายจะมีทั้งซื้อบริโภคและสะสม เปรียบแล้วก็ไม่ต่างจากการส่ง “สติกเกอร์” แต่เปลี่ยนมาเป็นส่งด้วยกระป๋อง หรือขวดโค้กแทน
นอกจากนี้ยังเป็นการทำตลาดที่เน้นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก หรืออีโมชันแนล มาร์เก็ตติ้ง ที่เป็นกลไกการตลาดสำคัญของเครื่องดื่มน้ำอัดลม เหมือนอย่างแคมเปญนี้ที่กระตุ้นความรู้สึกในการส่งความรู้สึกผ่านกระป๋องโค้กไปให้เพื่อนฝูง คนใกล้ชิด ครอบครัวได้รับรู้
เป๊ปซี่ ส่ง “เมาเทนดิว” คืนตลาดไทย เจาะลูกค้าวัยทีน
ทางด้าน “เป๊ปซี่” ที่กำลังถูกท้าทายอย่างหนักจากโค้ก ได้ตัดสินใจนำ “เมาเทนดิว” คัมแบ็กเมืองไทยอีกครั้ง หลังจากเคยวางขายในไทยเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว
การนำกลับมาครั้งนี้ เป๊ปซี่ หวังว่า “เมาเทนดิว” จะเป็น “ไฟท์ติ้งแบรนด์“ ที่ช่วยปลุกกระแสความนิยมในหมู่วัยรุ่นให้กลับมาอีกครั้ง โดยเป๊ปซี่ได้สร้างสีสัน ความแปลกใหม่ ด้วยการออกแพ็กเกจจิ้งที่เป็น “ขวดนีออน” เพื่อมุ่งเน้นวัยรุ่น ที่ชื่นชอบกีฬาเอ็กซ์ตรีมโดยเฉพาะ
ในต่างประเทศ “เมาเทนดิว” วางโพสิชันนิ่งไปยังกลุ่มวัยรุ่นชาย ที่มีไลฟ์สไตล์ลุยๆ แบบเอ็กซ์ตรีม สปอร์ต ใช้พลังงานเยอะ โดยจะสื่อสารไปในทางเครื่องดื่มเกลือแร่ผสมกับเครื่องดื่มชูกำลัง โดยกลยุทธ์หลักของเมาเทนดิวจะเน้นสนับสนุนกิจกรรมดนตรีที่วัยรุ่นชอบ และสนับสนุนร็อก คอนเสิร์ต และกีฬาประเภท Action Sport
มีผลการสำรวจว่าในร้านสะดวกซื้อในอเมริกา เมาเทนดิวนั้นเป็นคู่หูอย่างดีของขนมขบเคี้ยวโดริโทส เพราะเป็นสินค้าที่ขายดีในหมู่วัยรุ่นมาก ตอบรับกับกลยุทธ์ Power of One ของทางเป๊ปซี่ โคลา ที่จับมือกับเลย์
ล่าสุด เมาเทนดิว และโดริโทส ยังได้จับคู่กับ Microsoft แจกเครื่องเล่น Xbox จำนวน 5,000 เครื่อง โดยเมาเทนดิวออกแพ็กเกจจิ้งใหม่เป็น “Game Fuel” เพื่อตอบรับกับโปรโมชั่นนี้
ส่วนในไทย หลังจากที่ “เมาเทนดิว” เริ่มวางขายในร้านเซเวนอีเลฟเว่นและตามห้างโมเดิร์นเทรด ด้วยขนาด 485 มิลลิลิตร ราคา 18 บาท กระป๋องสลิม 12 บาท และขวดลิตร ได้ไม่นาน ก็เริ่มมีกระแสในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในหมู่คนวัย 30 ปี ที่เคยลิ้มรสน้ำอัดลมชนิดนี้มาก่อน เพราะให้ความรู้สึกเหมือนกับได้ย้อนยุคกลับสู่วัยเด็ก ทำให้ส่วนหนึ่งเรียกเมาเทนดิวว่าเป็นสินค้าเช็กอายุ
แต่ก็มีบางกระแสที่ยังไม่ชื่นชอบรสชาติมากนัก โดยให้เหตุผลว่าไม่เหมือนของนำเข้าจากอเมริกาและมาเลเซีย และมีราคาที่ค่อนข้างสูง
นอกจากนี้ คนไทยยังชอบทดลองของใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งพร้อมเปิดรับสินค้าใหม่ๆ ซึ่งเป๊ปซี่เองเตรียมนำ “เมาเทนดิว” ไปเปิดตัวในงานดนตรี “บิ๊กเมาเทน” อีเวนต์แห่งปีของเป๊ปซี่ ที่สร้างทั้งแบรนด์และยอดขาย
งานนี้ “เป๊ปซี่” คงต้องเร่งสปีดเต็มที่ เพราะลำพัง “เป๊ปซี่ สลิม” ที่มีลวดลายนักร้องดัง “บียอนเซ่” ก็อาจไม่เพียงพอกับการกอบกู้สถานการณ์ของเป๊ปซี่ที่ตกเป็น “มวยรอง” ให้กลับขึ้นมาได้โดยเร็ว ต้องอาศัยการมีไฟท์ติ้งแบรนด์ “เมาเทนดิว” เพื่อสร้างทางเลือกและสีสัน ต่อกรกับแคมเปญ “แชร์ อะ โค้ก” ที่กำลังเป็นกระแสในเวลานี้ มีผู้บริโภคไม่น้อยที่รอดูว่าโค้กจะส่งแบรนด์ “เมลโล” ซึ่งเป็นตลาดเดียวกับเมาเทนดิวลงตลาดหรือไม่…