เริ่มไตรมาสแรกปี 2558 กลุ่มสามารถประเดิมรายได้รวม 4,801 ล้านบาท กำไรสุทธิ 273 ล้านบาท เผยแนวโน้มธุรกิจไอซีทีกระเตื้องขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากความคืบหน้าในการประมูลโครงการ โดยครึ่งปีแรก มั่นใจกวาดโครงการใหม่ๆเข้าพอร์ต มูลค่ารวมกันไม่ต่ำกว่า 7 พันล้านบาท และตั้งเป้ามูลค่ารวมของสัญญาที่จะปิดได้ในปีนี้สูงถึง 15,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจมือถือสมาร์ทโฟนไอ-โมบายก็มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจำนวนขายและราคาเฉลี่ยต่อเครื่องที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังมีแผนการขยายตลาดยังต่างประเทศ คาดส่งออกมากกว่าล้านเครื่องในปีนี้ นอกจากนั้น ธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ก็ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ เพราะสามารถเซ็นสัญญาให้บริการแก่องค์กรระดับประเทศเพิ่มเติมอีกหลายแห่ง แม้เศรษฐกิจในภาพรวมยังคงซบเซา แต่กลุ่มสามารถยังคงมั่นใจว่าจะมีผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย
วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของกลุ่มสามารถว่า “แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอาจจะยังไม่สดใส แต่ก็เริ่มมีปัจจัยบวกจากความพยายามของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เห็นได้ชัดจากการความคืบหน้าในการประมูลโครงการต่างๆ ซึ่งส่งผลให้กลุ่มสามารถเทลคอมได้งานโครงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปีแรก มั่นใจว่าจะได้สัญญาโครงการใหม่มูลค่ารวม 7,000 ล้านบาท และที่จะตามมาในครึ่งปีหลัง รวมมูลค่ากว่า 8,500 ล้านบาท สรุปแล้วในปี 58 จะเป็นปีที่สามารถเทลคอม จะทุบสถิติสร้างมูลค่าสัญญาที่เซ็นได้สูงสุดได้รอบ 5 ปี ปัจจุบันมีมูลค่างานในมือ (Backlog) แล้ว 6,100 ล้านบาท โดยตั้งเป้า Backlog ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาทในสิ้นปี 58
“สำหรับภาพรวมผลประกอบการของกลุ่มบริษัทสามารถ ในไตรมาสแรกของปี 2558 มีรายได้รวม 4,801 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 273 ล้านบาท โดย สายธุรกิจ ICT Solutions มีรายได้ 1,375 ล้านบาท กำไรสุทธิ 120 ล้านบาท มูลค่างานที่ได้เซ็นสัญญาในไตรมาสแรกรวม 533 ล้านบาท อาทิ โครงการพัฒนาศักยภาพด้านความปลอดภัยกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี โครงการขยายระบบห้องประชุมทางไกลของกระทรวงสาธารณสุข โครงการติดตั้งอุปกรณ์ DWDM ให้กับ บมจ.กสท โทรคมนาคม เป็นต้น ส่วนโครงการที่มีโอกาสสูงที่คาดว่าจะได้เซ็นสัญญาในไตรมาสสองนั้น มีมูลค่ารวมถึง 6,400 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการที่เป็นส่วนต่อขยาย ได้แก่ โครงการกรมที่ดิน รวมถึงโครงการใหม่อื่นๆ จากลูกค้าสำคัญๆ อาทิ บมจ.ท่าอากาศยานไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นต้น
สายธุรกิจ Mobile-Multimedia ไตรมาสแรกมีรายได้รวม 2,341 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 101 ล้านบาท แม้ต้องเผชิญกับภาวะกำลังซื้อหดตัว รวมทั้งการแข่งขันที่สูงขึ้น แต่ ไอ-โมบายก็ยังคงมียอดขายที่น่าพอใจ ครึ่งปีคาดจะขายได้มากกว่า 2 ล้านเครื่อง ยิ่งไปกว่านั้น การประมูล 4G ก็ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นยอดขายสมาร์ทโฟนได้เป็นอย่างดี กลยุทธ์หลักของไอ-โมบาย จึงมุ่งเน้นทั้งการนำเสนอมือถือคุณภาพสูงและการให้บริการหลังการขายที่ดี เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค และสร้างความแตกต่างจากแบรนด์จีนที่กำลังทะลักเข้ามาแข่งขันในตลาดบ้านเรา นอกจากนี้ ไอ-โมบายยังพุ่งเป้าไปที่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะพม่า คาดว่าจะส่งออกได้ถึงหลักล้านในปีนี้ ส่วนธุรกิจคอนเทนต์ก็ได้มีการขยับตัวครั้งสำคัญ เพื่อสร้างโอกาสธุรกิจใหม่ๆ นั่นคือ การจับมือกับสยามสปอร์ต จัดตั้ง “ไอ-สปอร์ต” เพื่อเป็นผู้ให้บริการคอนเทนต์และบริหารจัดการอีเวนท์ด้านกีฬาระดับประเทศอย่างครบวงจร ล่าสุด จะนำทีมเชลซี แชมป์พรีเมียร์ลีกอังกฤษเยือนไทย ด้วยการเปิดศึกครั้งประวัติศาสตร์ ดวลแข้งทีมไทยแลนด์ออลสตาร์ ในวันที่ 30 พ.ค.นี้ นอกจากนี้ยังมีแผนนำบริษัทไอ-สปอร์ต เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงต้นปีหน้าด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อบรรลุเป้าหมายในการสร้างรายได้ประจำและพัฒนาช่องทางการขายและการตลาดใหม่ๆ ให้แก่กลุ่มไอ-โมบาย บริษัทฯ กำลังศึกษารูปแบบธุรกิจใหม่ ครอบคลุม e-commerce & e-logistic พร้อมเปิดตัวในไตรมาสสาม
ด้านสายธุรกิจ Related Businesses โดยบมจ.วันทูวัน คอนแทคส์ , วิชั่น แอน ซิเคียวริตี้ ซิสเต็ม และ สามารถวิศวกรรม มีรายได้รวม 510 ล้านบาท โดย “วันทูวันฯ” มีโอกาสเติบโตทางด้านรายได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์จากฐานลูกค้าเดิม และด้วยแนวโน้มความต้องการใช้บริการคอลเซ็นเตอร์ขององค์กรต่างๆที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 60 เปอร์เซ็นต์ย่อมส่งผลโอกาสในการสร้างฐานลูกค้าใหม่ ล่าสุดคว้างานโครงการศูนย์บริการลูกค้าทางโทรศัพท์ ของบมจ.การบินไทย และเป็นที่ปรึกษาโครงการพัฒนาระบบ Knowledge Base ของกรมการท่องเที่ยว ส่วน “สามารถวิศวรรม” ก็มีโอกาสขยับยอดขายกล่องและเสารับสัญญานดิจิตอลทีวีเพิ่มขึ้น จากการแจกคูปองล็อตสุดท้ายอีก 5.8 ล้านใบกลางเดือนพ.ค.นี้
ส่วนสายธุรกิจ U-Trans มีรายได้ไตรมาสแรกรวม 600 ล้านบาท นอกจากความเสถียรของรายได้ประจำจาก CATs และโรงไฟฟ้ากัมปอต ที่ประเทศกัมพูชาแล้ว ยังมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากบริษัทลูกคือ เทด้า ซึ่งล่าสุด ได้งานการปรับปรุงสถานีไฟฟ้าสุราษฎร์ธานีของกฟผ. มูลค่าประมาณ 484 ล้านบาท และงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าเชิงเนิน ขนาด 230 กิโลวัตต์ จ.ระยอง ของบริษัท ไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ จำกัด มูลค่ากว่า 265 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีความคืบหน้าในการรุกธุรกิจด้านพลังงานของกลุ่มสามารถที่เห็นชัด คือ การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในนาม บริษัท เชียงใหม่ เวสทูเพาเวอร์ จำกัด เพื่อบริหารจัดการขยะมูลฝอยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลงในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งในระหว่างนี้ ก็กำลังพิจารณาการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานขยะในอีก 2-3 จังหวัดใหญ่ สำหรับการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานอื่นๆ อาทิ ถ่านหิน, น้ำและแสงอาทิตย์ ก็ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาและพัฒนาโครงการร่วมกับพันธมิตรมากมาย ทั้งในและต่างประเทศ
“บริษัทฯ มีเป้าหมายในการสร้างธุรกิจให้เติบโตยั่งยืนด้วยรายได้ประจำ จึงวางเป้าหมายยาวให้ภายใน 5 ปี กลุ่มสามารถ จะมีรายได้แสนล้าน จากเป้าหมายที่ท้าทายทำให้ทุกสายธุรกิจ ต้องเร่งปรับกลยุทธ์และเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ซึ่งก็เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเฉพาะในธุรกิจพลังงาน อย่างไรก็ตาม การที่ภาคธุรกิจจะขยายตัวได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ต้องอาศัยการขับเคลื่อนจากภาครัฐ โดยเชื่อว่าจากนโยบายภาครัฐที่มุ่งให้ประเทศเข้าสู่ยุค “ดิจิตอล อิโคโนมี” การให้ความสำคัญกับพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและคมนาคม จะเป็นตัวผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งรวมถึงธุรกิจของกลุ่มสามารถด้วย” วัฒน์ชัย กล่าวปิดท้าย
“กลุ่มบริษัทสามารถ” มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการด้านเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าอย่างครบวงจร ภายใต้บริษัทในเครือกว่า 20 บริษัท และมี 4 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกอบด้วย บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) และล่าสุด บริษัท .วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน)
ข้อมูล บริษัท ไอ-สปอร์ต จำกัด
บริษัท ไอ-สปอร์ต จำกัด เกิดจากความร่วมมือกันของ บริษัท สามารถมัลติมีเดีย จำกัด ที่มีความแข็งแกร่งในด้านธุรกิจคอนเทนต์ และ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ผู้นำทางด้านสื่อกีฬาครบวงจร จับมือกันสร้างความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในธุรกิจคอนเทนต์กีฬาครบวงจร ที่ในปัจจุบันมีทั้งสถานีโทรทัศน์กีฬา ออกอากาศทาง True Visions 3 ช่อง และผู้ผลิตรายการกีฬาให้กับโทรทัศน์ช่องต่างๆ ทั้ง สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, CTH, เนชั่นทีวี ฯลฯ รวมถึงการจัดกิจกรรมต่างๆ ในระดับบิ๊กโปรเจ็คท์ อาทิ การนำทีมฟุตบอลระดับโลกเข้ามาร่วมแข่งขันในประเทศไทยเป็นแมตช์แห่งประวัติศาสตร์มากมาย อาทิ ทีมเชลซี เข้ามาครั้งแรกในปี 2011, ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด , ทีมอาร์เซน่อล และทีมลีดส์ ยูไนเต็ด