แม้จะเป็นหุ้นส่วนสำคัญ แต่ด้วยขนาด และความใหญ่ของ “สยามพารากอน” ก็ทำให้เอ็มโพเรียมต้องลุกขึ้นมาปรับโฉมใหม่ ในฐาะนะที่เป็น icon ของ luxury lifestyle และ hi-end center
เอ็มโพเรียมใช้โอกาสครบรอบ 8 ปี และช่วงชิงจังหวะ เปิดตัวอีกครั้ง (re-launch) ตัดหน้าสยามพารากอน เพราะเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ ผู้บริหารที่ควบตำแหน่งในห้างหรูทั้ง 2 แห่ง ตระหนักดีว่า เมื่อใดที่ห้างหรูขนาดใหญ่อย่างนั้นเปิดตัวอาจทำให้คลื่นไฮโซผู้คลั่งไคล้ความหรูหราอาจม้วนตัวจากเอ็มโพเรียมไปขึ้นฝั่งที่นั่นจำนวนไม่น้อย
การปรับโฉมครั้งนี้ใช้งบกว่า 670 ล้านบาท เป้าหมายก็เพื่อตอกย้ำความเป็น “The Ultimate Shopping Complex” ด้วยกลิ่นอายปารีเซียงที่อบอวล เพื่อเป็นการเปิดประตูสู่ความเป็นมหานครแห่งแฟชั่นเฉกเช่นเมืองปารีส
“เพราะปารีสเป็นเมืองที่สวยงาม หรูเก๋ และมีความเป็นแฟชั่น ทั้งเมือง ที่สำคัญ เพราะสไตล์ปารีเซียงเป็นสไตล์แบบ sophisticated & commercial style ขณะอิตาลีจะค่อนข้างแรงในเรื่องแนวคิด”
เอ็มโพเรียมยังได้นำนักพฤกษาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียงระดับโลก มาเป็นผู้ออกแบบลิฟต์แก้วให้มีลักษณะเป็นส่วนป่า หรือ Vertical Garden และนำเทคโนโลยีมัลล่าสุดด้านมัลติมีเดียจอ 3 มิติ แบบที่ไม่ต้องใส่แว่น หรือแบบ Virtual Reality มาติดตั้งภายในศูนย์เป็นครั้งแรกของเอเชีย จำนวน 61 จอ ร่วมกับจอ 2 มิติอีก 66 จอ มูลค่า 120 ล้านบาท เพื่อเป็นการเพิ่มสีสันในการโฆษณาและให้ข้อมูลกับลูกค้า
นอกจากกลิ่นอายความเป็นแฟชั่นหรูหราของปารีส การปรับโฉมครั้งนี้ทำเพื่อสร้างบรรยากาศ อารมณ์ และความรู้สึกของห้างให้เป็นเสมือนบ้านหลังที่สอง หรือแหล่งพักผ่อนสังสรรค์ของลูกค้ากับครอบครัวและเพื่อนฝูง และอีกสิ่งสำคัญที่ถูกนำมาใช้รักษาฐานลูกค้าไฮโซก็คือ “Superb Services” เช่น บริการแบบเฉพาะบุคคล หรือ one-on-one service หรือ loyalty program ซึ่งเอ็มโพเรียมได้วางแผนเปลี่ยนคู่แข่งเป็นพันธมิตร ด้วยการทำ synergy membership-campaignร่วมกับสยามพารากอนอีกด้วย
สำหรับลูกค้าเป้าหมายของเอ็มโพเรียม ได้แก่ กลุ่มไฮเอนด์ที่พักอาศัยอยู่ย่านนั้นและบริเวณใกล้เคียง และนักช้อปที่มีไลฟ์สไตล์และรสนิยม (สูง)
*Changes of Super Brand
เพื่อบรรลุความเป็น Ultimate Shopping Complex เอ็มโพเรียมเพิ่มพื้นที่อีก 12,000 ตร.ม. เพื่อขยายพื้นที่ให้กับแบรนด์ชั้นนำ ไปตกแต่งปรับโฉมร้านใหม่ให้หรูหรา โดดเด่นยิ่งขึ้น ซึ่งหลายแบรนด์ก็ร่วมแรงปรับภาพลักษณ์ของร้านด้วย “global concept” และยังได้แบรนด์ใหม่เข้ามาเสริมทัพอีกด้วย
– Louis Vuitton ขยายพื้นที่ร้าน และปรับโฉมด้วยรูปแบบโกลบอลคอนเซ็ปต์ โดยมีการรวมพื้นที่ของนาฬิกาเข้ามาเป็นครั้งแรก
– Bluemarine เป็น flagship store แห่งแรกและแห่งเดียว ซึ่งแบรนด์นี้นำเข้าจากอิตาลี ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่สะท้อนความเป็น “ราชินีแห่งดอกกุหลาบ” และความหลงใหลในท้องทะเล ของเจ้าของแบรนด์
– Kenzo ตกแต่งร้านภายใต้คอนเซ็ปต์ที่แสดงถึงความพรั่งพร้อม อิสรภาพ และความหฤหรรษ์ รวมถึงมีการเพิ่ม item สินค้าแฟชั่นสำหรับสุภาพบุรุษขึ้นมาด้วย
– DKNY ตกแต่งด้วด้วยสไตล์ที่เน้นสีสันและความทันสมัย ซึ่งเป็นร้านคอนเซ็ปต์ใหม่แห่งแรกของโลก ที่นำเสนอความเป็น minimalism ยึดหลักความเรียบเก๋ และดูดี ตามไลฟ์สไตล์ของคนเมือง
– MaxMara ซึ่งจะเป็นร้านที่ดีไซน์ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ ร่วมกับการเป็น shop-in-shop ครั้งแรกในเมืองไทย
*Magnet
การปรับโฉมครั้งนี้ เอ็มโพเรียมใส่ “magnet” ตัวใหม่ๆ ขึ้นมาดึงดูดความสนใจของลูกค้า เช่น
1. Shoes & Bags Salon
บูติกที่รวมเครื่องหนัง รองเท้า และกระเป๋าเข้าด้วยกัน อยู่ในเนื้อที่กว่า 1,500 ตร.ม. เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่มีเทรนด์การแต่งตัวที่เน้นกระเป๋าและรองเท้าที่เข้ากัน อยู่ที่ชั้น G
2. Living Hall
อีเวนต์ ฮอล์แห่งใหม่ที่มีพื้นที่กว้างขวางขึ้น สำหรับจัดกิจกรรม นิทรรศการ หรืองานแสดงสินค้าที่เป็น hi-end lifestyle & leisure ที่มีความทันสมัย แฝงวัฒนธรรมจากประเทศต่างๆ ทั้งนี้ เดิมพื้นที่ตรงนี้เป็นบริเวณ Exotic Thai และฟู้ด เซ็นเตอร์ อยู่ที่ชั้น 4
3. Park Food Hall
เป็นศูนย์รวมอาหารนานาชาติ มีร้านชื่อดังจากหลายประเทศทั่วโลก 10 ร้าน ตั้งอยู่บนชั้น 5 ทำให้สามารถมองเห็นวิวของสวนเบญจศิริ โดยบรรยากาศภายในตกแต่งให้มีกลิ่นอายของสวนอีเดน ประเทศฝรั่งเศส ความจุ 450 ที่นั่ง บนพื้นที่ 1,500 ตร.ม.
4. TCDC หรือ Thailand Creative & Design Center
เป็นศูนย์ความรู้ด้านงานครีเอทีฟและดีไซน์ จัดตั้งโดยรัฐบาลไทย อยู่บนชั้น 6 ของอาคารดิ เอ็มโพเรียม มีเนื้อที่ราว 4,000 ตร.ม. ภายในประกอบด้วย ห้องสมุดที่รวมรวมข้อมูลเกี่ยวกับงานดีไซน์ ทั้งหนังสือ ฟิล์ม เพลง รูปภาพ และอุปกรณ์ต่างๆ และพื้นที่สำหรับแสดงงานออกแบบหรือนิทรรศการ รวมทั้งยังมีระบบการควบคุมแสงและอุณหภูมิที่ได้มาตรฐานสากล จึงสามารถจัดแสดงผลงานของ hi-end designer ที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้
