ถ้าเปรียบเป็น “สินค้า” แล้ว รัฐบาลทักษิณได้ชื่อว่า เป็นสินค้าที่ได้นำกลยุทธ์ Event Marketing มาใช้ในการโฆษณา และประชาสัมพันธ์ นโยบายที่ใช้เป็นจุดขายอย่างชัดเจน โดยไม่มีรัฐบาลชุดไหนทำมาก่อน
รัฐบาลทักษิณ เชื่อว่า Big Event ที่ทำขึ้นแต่ละครั้งจะช่วย “ตีปี๊ป” จะช่วยสร้างความเข้าใจ และสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
แต่ในที่สุด เมื่อสินค้า หรือตัวของ “ทักษิณ” มีปัญหา นโยบายเหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยกู้สถานการณ์ให้กับรัฐบาลทักษิณ ในทางกลับกันหลายโครงการ กลับถูกมองว่า Conflict of interest หรือผลประโยชน์ทับซ้อนให้กับธุรกิจของกลุ่มชินคอร์ปอเรชั่น การจัดบริษัทแคปปิตอล โอเค หลังจากนโยบายจดทะเบียนคนจนได้ไม่นาน
คิกออฟ “คาราวานแก้จน”
Big Event ที่สร้างความจดจำ และถูกมองว่าเป็นจุดขายสำคัญ ที่ยังไม่มีรัฐบาลชุดใดในอดีตกระทำให้เกิดขึ้นได้ ก็คือ นโยบายคาราวานแก้จน ที่ออกมาใกล้หมดวาระของรัฐบาลทักษิณ 1
โดยใช้โอกาสแถลงนโยบายนี้ ในการประชุมใหญ่สมาชิกพรรคไทยรักไทย ที่อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมาก กรุงเทพ “ทักษิณ” ได้ปราศรัยใหญ่ในหัวข้อ ”4 ปีซ่อมความหายนะจากวิกฤต 4 ปีสร้างชาติให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” อันเป็นที่มาของแคมเปญหาเสียงที่รู้จักว่า “4 ปีซ่อม 4 ปีสร้าง”
“ทักษิณ” ประกาศคิกออฟ แคมเปญ ไว้อย่างสวยหรู เช่น อนาคตจะไม่มีสลัม มีไฟฟ้าเข้าถึงทุกหมู่บ้าน โดยติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ หนี้เสียลดลง นโยบายเอสเอ็มแอลหาวบ้านบริหารงบประมาณของตัวเอง
ในวันนั้น “ทักษิณ” ยังสัญญาว่า ปี 2549 จะติดคอมพิวเตอร์ทุกโรงเรียนในทั่วประเทศ เพื่อสอนให้เด็กไทยฉลาด ค่าอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะลดลง ค่าโทรศัพท์ทางไกลจะลดลง รายได้ประชาชนต่อคนเพิ่มขึ้นเป็น 24,000 บาทต่อคนต่อปี
และที่ฮือฮา ด้วยกิจกรรมต่อเนื่องคือ ”คาราวานคนจน” ที่ ”ทักษิณ” ร่ายยาวว่า
“4 ปีข้างหน้า ท่านจะเห็นอะไรบ้าง ท่านเคยเห็นไหมว่ารัฐบาลก่อนๆ และรัฐบาลนี้บางช่วง ท่านเห็นคาราวานคนจนไหม ที่ต้องหอบหิ้วกันมาล้อมทำเนียบฯ กระทรวง เพื่อจะประกาศให้รู้ว่าเราจน มีปัญหา ช่วยหน่อย ต่อไปนี้รัฐบาลใหม่ถ้าผมเป็นนายกฯ ต่อไป เป็นอยู่แล้วใช่ไหม ให้เป็นรึเปล่า รัฐบาลใหม่จะมีคาราวานแก้จนบุกไปถึงที่ ท่านที่ลงทะเบียนคนจนทั้งหลายจะมีคาราวานแก้จนบุกไปถึงทุกหลังคาเรือน ไปดูว่ามีลูกได้เรียนหนังสือหรือไม่ หากไม่ได้เรียนก็จะให้เรียน จนก็ให้ทุนไปเรียน พ่อแม่แข็งแรงอยู่ หากไม่มีงานทำก็เอาไปฝึกอาชีพเพื่อทำงานได้ คาราวานนี้จะประกอบด้วยโรงเรียนอาชีวะ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมมือกันเพื่อให้ประชาชนฝึกอาชีพ ไปเพิ่มศักยภาพ ความรู้เพื่อให้ทำงานได้ ระหว่างฝึกก็จะจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้อีกวันละ 100 บาท เพราะรู้ว่าระหว่างฝึกต้องกินต้องใช้ อย่างนี้หายจนไหม”
“ทักษิณ” ยังให้ภาพชัดเจนถึงการสานต่อ โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ที่จะเอาภาษีเหล้า เบียร์ บุหรี่ มาสร้างโรงพยาบาลให้เพียงพอ สานต่อบ้านเอื้ออาทรให้สลัมหมดไป
“ฉะนั้นพี่น้องคนไทยทุกคนที่มีอาชีพแล้ว อยากจะมีบ้านเป็นของตัวเองมีได้ทุกคน ที่วันนี้หากเขาจะไล่ที่ ผมพูดดังๆ ให้เจ้าหน้าที่เข้าใจว่า วันนี้ห้ามรื้อห้ามไล่พี่น้องประชาชนไปอยู่อาศัยโดยบริบททุกที่ และเราจะทำเอกสารสิทธิเพื่อการอยู่อาศัยและเพื่อที่ดินทำกิน ให้คนไทยทั้งประเทศให้เสร็จใน 4 ปีข้างหน้า แล้วจะจนไหมเนี่ย”
สำหรับคนกรุง “ทักษิณ” ยัง ”คิกออฟ” ด้วยคำสัญญาว่า จะหาเงิน 1 ล้านล้านบาท มาแก้ปัญหาจราจร สร้างรถไฟทั้งใต้ดินและบนดิน จากในเมืองถึงชานเมือง และแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเฉพาะระบบขนส่งจะใช้ 6 แสนล้านบาท
อีกมากมายสำหรับแคมเปญ คิกออฟ ที่ได้ผลในแง่การจดจำ และเป็นที่ฮือฮา เพราะทุกสื่อต่างบรรยาย และรายงานข่าวกันอย่างละเอียด ส่งต่อมาถึงการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นอีกไม่กี่วันต่อมา
สัญญาครั้งล่าสุด เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ ”ไทยรักไทย” กลับมาเป็นรัฐบาลด้วยคะแนนเสียงรวม 16 ล้านเสียง
“เหลียวหลังแลหน้า จากรากหญ้าสู่รากแก้ว”
มหกรรมซื้อขายสินค้าราคาถูก เป็นกิจกรรมที่รัฐบาล ”ทักษิณ” จัดทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภายหลังประกาศต่อมา วันที่ 6-10 พฤศจิกายน 2547 รัฐบาลไทยรักไทยได้จัดงานที่เรียกว่า “เหลียวหลังแลหน้า จากรากหญ้าสู่รากแก้ว” ที่มีทั้งสินค้าโอท็อปชั้นดีราคาถูกมาขาย มีเวทีเปิดให้ติติงและแนะนำรัฐบาลเต็มที่
”ทักษิณ” ได้ปราศรัยก่อนหน้านั้นไว้ว่า “ผมขอเชิญทุกคน คนที่เคยด่ากัน ผมอโหสิกรรมไปแล้ว ผมขอเชิญไปร่วม และ ส.ส.พรรคไทยรักไทยทุกคนจะไปร่วมงานนี้ด้วย”
เมื่อวันเปิดงานมหกรรม เหลียวหลังแลหน้า ฯ “ทักษิณ” ก็ได้ประกาศลั่นอีกว่า “รัฐบาลนี้ได้ทุ่มเททำงานหนักในทุกมิติ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ประชาชนและประเทศ และขอยืนยันว่า รัฐบาลนี้จะมุ่งมั่นที่จะทำทุกอย่าง 4 ปีข้างหน้าจะไม่มีคนจนเหลืออยู่ในประเทศไทย 4 ปีข้างหน้าจะไม่มีคนไทยคนไหนที่ตั้งใจทุ่มเทพ้นจากความยากจนแล้ว จะไม่มีบ้านอยู่ จะไม่มีคนไทยที่ไม่มีเอกสารสิทธิ มีที่ทำกินเป็นของตัวเอง และไม่มีคนไทยคนไหนที่ไม่ได้เรียนหนังสือที่อยากเรียน ไม่มีคนไทยคนไหนที่เจ็บป่วยแล้วไม่ได้รักษา และจะไม่ยอมให้คนแก่เหงาหงอยอีกต่อไป จะไม่ยอมให้คนพิการไปไหนมาไหนไม่ได้ เพราะได้สั่งไปแล้วให้บุกไปถึงบ้าน เอาเครื่องมือเข้าไปช่วยเหลือฝึกให้เขาช่วยเหลือตัวเองได้ ธรรมะต้องกลับมาสู่สังคมให้ได้”
เนื้อหาและถ้อยคำอย่างนี้ คือโอกาสหาเสียงอย่างแนบเนียน ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ความเหมาะสมในการแฝงแผนการหาเสียงก่อนเลือกตั้ง จากทั้งฝ่ายค้าน และนักวิชาการ แต่เสียงค้านก็ไม่ดังพอ ที่จะหยุด ”ทักษิณ”
“กินไก่ ตายเพื่อชาติ”
ท่ามกลางขวัญผวาของคนไทยจากโรคไข้หวัดนกระบาด ต้นปี 2547 “ทักษิณ” ก็รู้จังหวะเป็นพรีเซ็นเตอร์ชั้นดี “ยอมกินไก่ ตายเพื่อชาติ”
การประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 27 มกราคม 2547 “ทักษิณ” ถามหาเมนูอาหารกลางวัน “ว่าไม่มีไก่เหรอ” จากนั้นก็มีเมนูอาหารส้มตำ รวมทั้งไก่ย่าง จากร้านนิตยาไก่ย่างมาเสิร์ฟ
ขณะที่ยังคงมีรายงานข่าวการตายของชาวบ้านที่สัมผัสไก่ 7 กุมภาพันธ์ 2547 รัฐบาลจึงได้จัดอีเวนต์ “มหกรรมกินไก่ไทยปลอดภัย 100%” ที่สนามหลวง โดยมีพรีเซ็นเตอร์ร่วมวงทั้งคณะรัฐมนตรี และดาราดังอย่าง ”เบิร์ด ธงไชย”
“เราไม่ได้เป็นประเทศที่สิ้นไร้ไม้ตอก ที่ดิ้นรนอยากได้เงินจากการซื้อขายไก่โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าเรา เราไม่ทำ เราไม่สนใจว่าต่างประเทศจะซื้อไก่เราหรือไม่ ผมสนใจอย่างเดียวว่าคนไทยต้องไม่ถูกทำให้ตกใจโดยใช่เหตุ และไก่ที่ขายในประเทศไทยต้องปลอดภัย ถ้าเราทำอย่างถูกต้อง ปรุงเกิน 70 องศาไปแล้วปลอดภัย ไม่ใช่ 100% แต่ล้านเปอร์เซ็นต์ ไม่เช่นนั้นผมไม่ยอมควักเงินส่วนตัว 3 ล้านบาทมาเสี่ยงหรอก” ”ทักษิณ” ปราศรัยในวันนั้น
“ทักษิณ” เป็นงานวันนั้น ด้วยการปรุงอาหารในเมนู “ไข่คว่ำสูตรนายกฯ” และชำแหละไก่เพื่อชุบแป้งทอด และไปหย่อนไข่ไก่จำนวน 9 ฟองในหม้อไข่พะโล้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อให้ครบ 10,000 ฟอง และแจกจ่ายให้กับประชาชนที่มาร่วมงาน และบันทึกลงกินเนสส์บุ๊กด้วย โดยมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นพิธีกร