10 สินค้า TOP HIT ในญี่ปุ่นประจำปี 2006

นิตยสาร “Trendy” ประกาศ ผู้นำสินค้าและบริการยอดฮิต ประจำปี 2006 ในญี่ปุ่น โดยเกาะติดไอเดียแปลกๆ ใหม่ๆ ของสินค้าและบริการซึ่งได้รวบรวมข้อมูลทุกความเคลื่อนไหวไว้อย่างละเอียด ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2005 ถึงเดือนกันยายน 2006

ผลการวิเคราะห์โดยใช้เกณฑ์ทั้ง 4 ประการออกมาดังนี้

อันดับที่ 1 Nintendo DS Lite & Brain Training Games ไต่ขึ้นมาจากอันดับ 4 เมื่อปีที่แล้ว Nintendo DS Lite ได้ทุบสถิติเกมพกพาที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในประวัติศาสตร์ถึง 10 ล้านเครื่องภายในปีเดียว และยังไม่พอต่อความต้องการในปัจจุบันต้องสั่งจองล่วงหน้าเป็นเวลาแรมเดือนนอกจากนี้ซอฟต์แวร์ Brain Training Games ทั้งสองเวอร์ชั่นที่ออกมามียอดจำหน่ายสูงถึงอย่างละ 3 ล้านแผ่น ยังไม่รวมถึงเกมอื่นๆ อีกร่วมร้อยรายการ

ทุกวันนี้ภาพทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่พกพา Nintendo DS Lite ออกมาเล่นนอกบ้านอย่างเช่นในรถไฟหรือการต่อแถวที่ใช้เวลารอนานๆ นั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติ

ส่วน iPod Nano & iTMS อันดับที่ 1 เมื่อปีที่แล้วหลุดหายไปจากชาร์ต (ทั้งหมดมี 30 อันดับ) ซึ่งชี้ให้เห็นถึงสภาวะเสื่อมถอยของ iPod ในตลาดญี่ปุ่นไม่ผิดอะไรกับไฟไหม้ฟาง เมื่อผู้บริโภคในญี่ปุ่นจะเรียนรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประสิทธิภาพและบริการของ iPod ที่ไม่ได้ตอบสนองความต้องการลูกค้าอย่างที่ได้โฆษณาไว้

นอกจากนี้ ใน iTMS มีเพลงที่อยู่ในความสนใจของคนญี่ปุ่นเพียงหยิบมือ เทียบไม่ได้กับบริการดาว์นโหลดเพลงจาก Music Store ของบริษัทโทรศัพท์มือถือ (3G) ที่มีเพลง J-Pop ไว้บริการอย่างล้นเหลือ

อันดับ 2 Keijidousha (แปลตรงตัวได้ว่า Light Car) หรือเรียกว่า Kei-Car เป็นรถที่มีขนาดเล็กกว่ามาตรฐานรถยนต์ที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากรถมอเตอร์ไซค์แบบที่ใช้ส่งของจนกลายเป็นรถสี่ล้อที่มีสมรรถนะและความเร็วใกล้เคียงรถยนต์ทั่วไป รถ Kei-Car มีความแตกต่างกับ City Car (ซึ่งจัดอยู่ในประเภทเดียวกับรถยนต์ปกติ) หลายประการอย่างเช่นขนาดที่เล็กกว่า กินน้ำมันน้อยกว่า ใช้ป้ายทะเบียนสีเหลืองและเสียภาษีเพียง 3% (รถยนต์ปกติป้ายทะเบียนสีขาวและเสียภาษี 5%) ข้อกำหนดในการดูแลรักษาน้อยกว่า ซึ่งทั้งหมดกลายเป็นข้อดีที่ทำให้คนสนใจใช้ Kei-Car มากขึ้น

ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายได้ทยอยออก Kei-Car รุ่นใหม่ๆ ที่มีคุณภาพไม่แพ้ City Car ทำให้ยอดขาย Kei-Car ของทุกค่ายรวมกันในปี 2006 มีมากถึง 2 ล้านคัน โดยมี Kei-Car ทั้งหมดเท่ากับ 25% ของจำนวนรถยนต์ในญี่ปุ่น

อันดับที่ 3 Shiseido Tsubaki หลังจากที่ Shiseido ตัดสินใจส่ง Tsubaki เข้าลุยตลาดผลิตภัณฑ์เส้นผมอย่างเต็มตัว เพียงไม่กี่เดือนให้หลัง Tsubaki สามารถครองส่วนแบ่งตลาด 23% แซง Unilever ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ได้สำเร็จ

สารสกัดจากดอก Tsubaki ซึ่งเป็นพืชพื้นเมืองที่มีสรรพคุณดูแลเส้นผมให้เงางามมีน้ำหนักและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ผสมอยู่ในแชมพู ครีมนวดและทรีตเมนต์ บวกกับแบรนด์ Sheseido ทำให้ผลิตภัณฑ์ได้รับความเชื่อถือในคุณภาพ เสริมด้วยการทุ่มงบโฆษณาทั้งปี 5 หมื่นล้านเยน โดยใช้นางแบบชั้นนำของญี่ปุ่นถึง 12 คนเป็นพรีเซ็นเตอร์ ภายใต้ธีมที่ว่า “สุภาพสตรีญี่ปุ่นสวยงาม”

อันดับที่ 4 Mixi เป็นผลพวงความนิยมต่อเนื่องจากปีที่แล้วในการสร้างพื้นที่ส่วนตัวบนโลกอินเทอร์เน็ต สมาชิกของ Mixi สามารถมี Blog ส่วนตัว มี Community รวมถึงสามารถติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนกับเพื่อนในกลุ่มหรือหาเพื่อนใหม่ได้โดยไม่ยาก

จำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดจากปลายปีที่แล้ว 2 ล้านคน เป็น 5.7 ล้านคน ทำให้รายได้จากการโฆษณาใน Mixi และชั่วโมงใช้งานอินเทอร์เน็ตยาวนานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ส่งผลให้ Mixi กลายเป็นเป้าหมายการโฆษณาใหม่ที่เข้าถึงคนเฉพาะกลุ่มได้โดยตรง

อันดับที่ 5 W-ZERO3 จากค่าย Willcom (PHS generation 2) ยังคงรักษาอันดับไว้ได้โดยการออกเครื่องรุ่น W-ZERO3 และ W-ZERO3 es ที่เป็นได้ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ PHS และมินิคอมพิวเตอร์ได้ทั้งสองอย่างในเครื่องเดียว โดยเล็งกลุ่มเป้าหมายไปที่นักธุรกิจซึ่งมียอดขาย 5 แสนเครื่องในปีที่ผ่านมา

อันดับที่ 6 Labre เป็นเครื่องดื่มนมเปรี้ยวที่ใช้จุลินทรีย์แลคโตบาซิลัสที่มีคุณสมบัติเหมือนพืชชนิดแรกที่ออกวางจำหน่ายในญี่ปุ่นซึ่งผลิตโดยบริษัท Kagome

เท่าที่ผ่านมาจุลินทรย์แลคโตลาซิลัสที่มีในเครื่องดื่มนมเปรี้ยวจัดอยู่ในกลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนสัตว์ ยกตัวอย่างเช่นจุลินทรีย์ในยาคูลย์ เป็นต้น

จุลินทรีย์ชนิดดังกล่าวใน Labre สามารถอาศัยอยู่ในลำไส้มนุษย์ได้เป็นเวลานานกว่า ช่วยให้ระบบการย่อยและขับถ่ายมีประสิทธิภาพดีกว่าผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวชนิดอื่นในท้องตลาด อีกทั้งมีรสหวานตามธรรมชาติช่วยให้ดื่มง่าย โดยไม่มีส่วนประกอบของน้ำตาล จึงช่วยลดแคลอรีต่ำลง 20% เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในกลุ่มเดียวกัน

อันดับที่ 7 EOS Kiss Digital ในปี 2006 ที่ผ่านมากล้องดิจิตอลแบบแมนนวลที่มีระบบป้องกันภาพสั่นต่างพากันออกมาอวดโฉมในราคา 1-2 แสนเยน เริ่มด้วย D200 (Nikon), EOS 30D (Canon), Lumix L1 (Panasomic) ซึ่งมักจะดึงส่วนแบ่งตลาดไปได้ประมาณ 15% หลังจากเริ่มวางจำหน่ายแต่จากนั้นยอดขายก็จะเริ่มตกลง รุ่นที่ครองส่วนแบ่งมากที่สุดตั้งแต่ต้นปีคือ EOS Kiss Digital N (Canon) และยอดขายก็เริ่มตกลงตามแนวโน้มตลาดเช่นกัน

สวนทางกับ EOS Kiss Digital X (Canon) ออกสู่ตลาดเมื่อเดือนสิงหาคม ด้วยขนาดกะทัดรัด สมรรถภาพสูง ซึ่งเป็นรุ่นเดียวที่มียอดขายเพิ่มขึ้นทุกเดือนจนครองยอดรวมส่วนแบ่งตลาดสูงสุดประจำปี

อันดับที่ 8 The Da Vinci Code ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงเป็นอันดับ 3 ในญี่ปุ่นในปี 2006 แต่เมื่อรวมกับยอดขายหนังสือกว่า 10 ล้านเล่ม และรายได้จากสินค้าที่ระลึกมากกว่าหนึ่งพันล้านเยน รวมทั้งความสำเร็จของอีเวนต์ที่จัดขึ้นที่ Roppongi Hills ใจกลางมหานครโตเกียว ทำให้ The Da Vinci Code กวาดรายได้จนขึ้นอันดับท็อปเทน

อันดับ 9 สเปรย์ทำความสะอาดและขจัดกลิ่น Look จากค่าย Lion สามารถดึงส่วนแบ่งการตลาดขึ้นเป็นอับดับหนึ่งทีเดียวทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์อันได้แก่ สเปรย์ทำความสะอาดและขจัดกลิ่นห้องน้ำ ห้องสุขา และครัว ด้วยพลังขจัดคราบของ Silver ion ในกลิ่นหอมของ Linen water ซึ่งมียอดขายเฉลี่ยเดือนละกว่า 1 ล้านขวด

อันดับ 10 เต้าหู้ Otoko Mae เป็นผลิตภัณฑ์เต้าหู้เลิศรสจากเกียวโตที่บุกตลาดด้วยกลยุทธ์การจัดแสดงสินค้าที่สะดุดตาในซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ อีกทั้งชื่อสินค้าและแพ็กเกจที่จดจำง่าย และที่สำคัญคือรสชาติอร่อยไม่แพ้ใคร ที่ถึงแม้จะมีราคาสูงกว่าเต้าหู้ยี่ห้ออื่น 2-3 เท่าตัว แต่สามารถขายได้กว่า 4 หมื่นแพ็กต่อวัน จนครองส่วนแบ่งตลาดเต้าหู้อันดับ 1 ไปโดยปริยาย

หลักเกณฑ์ในประเมินผลภายใต้กฎเกณฑ์
1. ยอดรายได้รวมจากสินค้าและ/หรือบริการ ส่วนแบ่งตลาดและอัตราการเติบโตเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (สำหรับสินค้าที่มีในตลาดอยู่แล้ว)
2. ความคิดสร้างสรรค์และลักษณะพิเศษของสินค้า/หรือบริการที่แปลกใหม่และยังไม่เคยปรากฏมาก่อน
3. กลยุทธ์ในการทำตลาดในรูปแบบใหม่แกะกล่อง
4. ความสามารถในการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค