แค่ผิวๆ! นักวิเคราะห์ประเมินกระแส “บอยคอตโฆษณา” Facebook กระทบรายได้เพียง 5%

ด้วยจำนวนบริษัทมากกว่า 500 แห่งที่ประกาศร่วมแคมเปญ “บอยคอตโฆษณา” ใน Facebook ตามเสียงเรียกร้องของกลุ่มรณรงค์เพื่อสิทธิพลเมือง ทำให้นักลงทุนหลายรายกังวลว่ารายได้บริษัทจะลดลงมาก อย่างไรก็ตาม บริษัทวิเคราะห์หุ้นจาก Wall Street ประเมินว่ารายได้ Facebook จะลดลงเพียง 5% เท่านั้น แต่ถ้าเกิดขึ้นยาวนานกว่า 1 เดือนก็อาจจะมีผลกระทบสูงขึ้น

แคมเปญ #StopHateforProfits มีบริษัทตบเท้าเข้าร่วมด้วยมากกว่า 500 แห่งแล้ว โดยมีบริษัทรายใหญ่จำนวนมากที่ประกาศร่วมแคมเปญนี้ด้วย เช่น Unilever, Pfizer, Lego, Dunkin Donuts, Starbucks, Coca-Cola ฯลฯ การรวมตัวกัน “คว่ำบาตร” งดลงโฆษณาใน Facebook ครั้งนี้ ส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัทร่วงลงทันที 8% เมื่อวันศุกร์ที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา

แต่บริษัทวิเคราะห์และลงทุนใน Wall Street ประเมินว่าหุ้น Facebook ยังแข็งแรงอยู่โดยแนะนำให้ “ซื้อ” หุ้นบริษัท เพราะมองว่ารายได้ Facebook จะลดลงจากแคมเปญนี้ไม่เกิน 5%

บริษัท Morgan Stanley คาดการณ์ว่า หากบริษัทที่ลงโฆษณาสูงสุด 100 แห่งหยุดลงโฆษณาทั้งหมด Facebook จะสูญเสียรายได้ประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน

ส่วนนักวิเคราะห์จาก Citi มองว่า ถ้าการบอยคอตโฆษณาเกิดขึ้นเพียงเดือนเดียว ราคาหุ้นบริษัทจะลดลงประมาณ 1 เหรียญต่อหุ้น แต่ถ้าหาก Facebook ไม่สามารถจูงใจให้บริษัทลูกค้ากลับมาลงโฆษณาอีก ราคาหุ้นน่าจะลดลงถึง 17 เหรียญต่อหุ้น

Starbucks หนึ่งในบริษัทร่วมแคมเปญ บอยคอตโฆษณา

ด้าน Rohit Kulkarni นักวิเคราะห์จาก MKM Partners กล่าวว่า นักโฆษณาต่างลดการใช้เม็ดเงินโฆษณาลงอยู่แล้วตั้งแต่เกิดโรคระบาด COVID-19 แต่ Facebook นั้นมีฐานรายได้ที่หลากหลายจากแหล่งผู้ลงโฆษณานับหลายล้านรายทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น Procter & Gamble ซึ่งเป็นผู้ลงโฆษณารายใหญ่ที่สุดในโลก มีส่วนในรายได้ของ Facebook เพียง 0.5% เท่านั้น

บทวิเคราะห์เหล่านี้สอดคล้องกับฐานข้อมูลของ Pathmatics ที่ระบุว่าแม้รวม Top 100 ผู้ลงโฆษณามูลค่าสูงที่สุดของ Facebook ก็ยังคิดเป็นเพียง 6% ของรายได้ทั้งหมด นอกจากนี้ Bank of America ยังวิเคราะห์ด้วยว่า แม้ผู้ลงโฆษณาเหล่านี้จะหยุดไป โซเชียลมีเดียนี้ก็มีกลไก “ประมูล” ที่ดึงผู้ลงโฆษณารายอื่นเข้ามาอยู่ดี

แคมเปญ #StopHateforProfits ดังกล่าว มีการเรียกร้องให้บรรดาโซเชียลมีเดียจัดการกับ Hate Speech หรือคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาสร้างความเกลียดชังบนแพลตฟอร์มอย่างจริงจัง และบริษัทที่เข้าร่วมแคมเปญนี้จะหยุดลงโฆษณาไปก่อน จนกว่าแพลตฟอร์มจะจัดการกับปัญหา โดย Facebook คือโซเชียลมีเดียที่ถูกบอยคอตในครั้งนี้

เรื่องนี้ทำให้ Facebook ออกมาตอบโต้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2020 จากการแถลงของ นิก เคลกก์ รองประธานฝ่ายความสัมพันธ์ระดับโลกของบริษัท ระบุว่า “Facebook ไม่ได้ทำกำไรจากความเกลียดชัง” พร้อมโต้กลับว่าแพลตฟอร์มของบริษัทสามารถลบข้อความสร้างความเกลียดชังได้เร็วกว่าคู่แข่ง เช่น YouTube หรือ Twitter ด้วยซ้ำ

รายได้จากการโฆษณาของ Facebook เมื่อปี 2019 สูงถึง 6.97 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจาก Google ที่ทำรายได้จากเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์สูงที่สุดในโลก

Source