Wattanapong Jaiwat – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 02 May 2024 07:50:32 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 CFO ของ Starbucks เผย ‘บริษัทไม่มีแผนลดราคาสินค้า’ แม้ยอดขายทั่วโลกจะลดลงก็ตาม https://positioningmag.com/1471751 Thu, 02 May 2024 05:21:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471751 ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ของ Starbucks เชนร้านกาแฟรายใหญ่ ได้กล่าวว่าบริษัทไม่มีแผนลดราคาสินค้าของบริษัท แม้ว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ผ่านมาจะลดลงก็ตาม ขณะเดียวกันบริษัทก็เร่งแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวเช่นกัน

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ของ Starbucks เชนร้านกาแฟรายใหญ่ กล่าวว่าบริษัทไม่มีแผนลดราคาสินค้าของบริษัท ซึ่งเชนร้านกาแฟจากสหรัฐฯ รายนี้กำลังพบกับความท้าทายหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องใหญ่อย่างสภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลทำให้ผู้บริโภคหลายรายลดการจับจ่ายใช้สอย

Rachel Ruggeri ซึ่งเป็น CFO ของ Starbucks ได้กล่าวกับ Yahoo Finance ว่า “บริษัทไม่มีแผนลดราคาสินค้า” และชี้ว่ารายได้ของบริษัทที่ลดลงในผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดของบริษัทลดลงเนื่องจากลูกค้าที่ไม่ใช่ขาประจำของบริษัทได้ลดค่าใช้จ่ายลง

รายงานผลประกอบการล่าสุดของ Starbucks นั้น CFO รายนี้ยังได้กล่าวถึง ไตรมาสที่ผ่านมาถือเป็นไตรมาสที่ยากลำบาก และบริษัทได้เรียนรู้จากเรื่องดังกล่าวและปรับโฟกัสของบริษัทให้เฉียบคมมากขึ้น และยังรวมถึงการแก้ปัญหาการสั่งสินค้าผ่านแอปฯ ของบริษัท หรือแม้แต่การแก้ปัญหาในเรื่องของ Supply Chain

ขณะที่ CEO ของบริษัทอย่าง Laxman Narasimhan ได้ชี้ว่าไตรมาสที่ผ่านมาสภาวะต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแรงกดดันจากผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าลดลง

ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของ Starbucks นั้นรายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 8,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 1% โดยยอดขายในสหรัฐอเมริกาลดลง 3% ขณะที่จีนยอดขายของ Starbucks ลดลง 6% แม้ว่าบริษัทจะมีการออกโปรโมชั่นในแดนมังกรเพื่อกระตุ้นยอดขายแล้วก็ตาม

รายได้จากสหรัฐอเมริกาและจีนคิดเป็น 61% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท ขณะที่เหลือเป็นรายได้จากทั่วโลก และปัจจุบันเชนร้านกาแฟรายนี้มีสาขาทั้งหมด 38,951 สาขา

นอกจากนี้ในผลประกอบการล่าสุดของบริษัท ยังถือว่าเป็นผลประกอบการที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมาอีกด้วย

ยอดขายที่ลดลงทั่วโลกของ Starbucks ยังส่งผลทำให้ราคาหุ้นของบริษัทตกลงไม่น้อยกว่า 10% เนื่องจากรายได้ กำไรของบริษัท นั้นแย่กว่าเหล่านักวิเคราะห์จากหลายสถาบันการเงินคาดไว้

ที่มา – Yahoo Finance

]]>
1471751
ttb reserve ชูเป้าปี 67 เจาะลูกค้ากลุ่ม Young Wealth กลุ่ม SME และดีลเลอร์รถยนต์ คาด AUM ปีนี้โตได้ 40% https://positioningmag.com/1471716 Wed, 01 May 2024 05:26:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471716 ttb reserve โดย ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยกลยุทธ์ธุรกิจในปี 2567 โดยตั้งเป้าเจาะลูกค้ากลุ่ม Young Wealth กลุ่ม SME และดีลเลอร์รถยนต์ ขณะเดียวกันในด้านการลงทุนก็จะเน้นในเรีื่องการจัดพอร์ตให้กับลูกค้าเพื่อที่จะปกป้องความมั่งคั่ง คาดว่าปีนี้ AUM จะเติบโตได้ 40%

ฐากร ปิยะพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ ทีเอ็มบีธนชาต ได้กล่าวถึงกลุ่มลูกค้า Wealth เพิ่มมากขึ้น และต้องการให้ฐานลูกค้านั้นเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งในปี 2566 ที่ผ่านมา และเขายังได้กล่าวถึงลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่สถาบันการเงินหลายแห่งได้ให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้น

ปัจจุบันลูกค้า ttb reserve มี 2 แบบใหญ่ๆ ได้แก่ กลุ่มลูกค้าที่มีสินทรัพย์ 5 ล้านบาทขึ้นไป กับลูกค้าที่มีสินทรัพย์ 30 ล้านบาทขึ้นไป ในปี 2566 ที่ผ่านมาธนาคารมีฐานลูกค้ากลุ่มนี้รวมกัน 39,000 คน และมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ประมาณ 600,000 ล้านบาท

ฐานลูกค้าของ ttb reserve ในปีนี้ที่ต้องการเจาะตลาดได้แก่ กลุ่มลูกค้า Young Wealth อายุ 40 ขึ้นไป เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีครอบครัวกำลังต้องการส่งไปศึกษาต่อในต่างประเทศ หรือโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย ซึ่งกลุ่มลูกค้าดังกล่าวมีศักยภาพสูง

เพื่อที่จะสื่อสารภาพลักษณ์ดังกล่าว ทาง ttb reserve ยังได้เปิดตัว Brand Ambassador คนแรก คือ โสภิตนภา ชุ่มภาณี (เจี๊ยบ) มาเป็นตัวแทนกลุ่มลูกค้าครอบครัวที่ให้ความสำคัญเรื่องการวางแผนการศึกษาส่งต่ออนาคตที่ดีที่สุดให้ลูก

นอกจากนี้ ttb reserve ยังเตรียมเจาะกลุ่มลูกค้า SME ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ หรือแม้แต่ดีลเลอร์รถยนต์ ซึ่งลูกค้าเหล่านี้อยู่ใน Ecosystem ของ ทีเอ็มบีธนชาต อยู่แล้ว เพื่อต่อยอดความสำเร็จสู่ชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น

บุษรัตน์ เบญจรงคกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ในปีนี้ธนาคารได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์และฟีเจอร์ใหม่เพื่อที่จะตอบโจทย์ลูกค้า ttb reserve ในกลุ่มดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นบริการธุรกรรมสกุลเงินต่างประเทศ (FX Solution) ผ่านแอป ttb touch ไปจนถึงบริการ FX Advisory ที่แนะนำบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยผู้เชี่ยวชาญ

และยังรวมถึงบริการบัญชีเงินฝากสกุลต่างประเทศ (FCD) เพื่อลูกค้าที่มีบุตรหลานที่เรียนในต่างประเทศ หรือเพื่อค่าใช้จ่ายการศึกษาในอนาคต สามารถเก็บเงินในสกุลต่างประเทศได้ ซึ่งรองรับ 10 สกุลเงินสำคัญๆ ของโลก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร ปอนด์ เยน สวิสฟรังก์ สิงคโปร์ดอลลาร์ ออสเตรเลียนดอลลาร์ เป็นต้น

ณัฐวรรณ อภิรัตนพิมลชัย ประธานกลุ่ม กลยุทธ์ลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ttb reserve ได้เสนอโซลูชันการปรับพอร์ตลงทุน (Wellness Solution) เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก โดยที่เน้นรักษาเงินต้น และจำกัดความเสี่ยงในช่วงตลาดผันผวน บริการดังกล่าวจะมาพร้อมกับทีม Private Banking ที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุนส่วนบุคคลที่ลูกค้าสามารถติดต่อได้หลายช่องทาง

ประธานกลุ่ม กลยุทธ์ลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบีธนชาต ได้กล่าวว่า ในการจัดพอร์ตให้กับลูกค้าจะเน้นในเรื่องของพอร์ตการลงทุนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น การจัดสรรน้ำหนักการลงทุน เช่น ใน 10 ล้านบาท จะมีเงินฝากกี่ % กองทุนรวมกี่ % หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ ตามความเสี่ยงที่ลูกค้ารับได้

ขณะเดียวกันเธอยังกล่าวว่าจะมีการร่วมมือกับทาง บลจ. อีสท์สปริง ในการเสนอและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้กับลูกค้า ttb reserve เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังเน้นในเรื่องของ Open Architecture ในการเสนอผลิตภัณฑ์จาก บลจ. รายอื่นด้วยเช่นกัน

สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจของ ttb reserve ในปี 2567 คือมี AUM เพิ่มขึ้น 40% มาอยู่ที่ราวๆ 700,000 ล้านบาท มีฐานลูกค้าที่ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 44,000 คน

]]>
1471716
Shein วางแผนขายสินค้าอื่นเพิ่มเติมนอกจากเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็นสกินแคร์ ยาสีฟัน หรือแม้แต่ของเล่น https://positioningmag.com/1471581 Tue, 30 Apr 2024 07:41:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471581 Shein แบรนด์เสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นจากประเทศจีน วางแผนขายสินค้าอื่นเพิ่มเติมนอกจากเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็นสกินแคร์ ยาสีฟัน หรือแม้แต่ของเล่น ล่าสุดได้มีการพูดคุยกับแบรนด์ต่างชาติหลายแบรนด์แล้ว 

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า Shein แบรนด์เสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นจากประเทศจีน กำลังอยู่ในขั้นตอนพูดคุยกับผู้ผลิตสินค้าหลายราย โดยบริษัทมีแผนที่จะวางจำหน่ายสินค้าเพิ่มเติมนอกจากเสื้อผ้า เครื่องประดับ เนื่องจากต้องการความน่าเชื่อถือของแบรนด์ และต้องการหารายได้เพิ่มเติม

ความเคลื่อนไหวล่าสุดนั้น แบรนด์จากประเทศจีน ได้เริ่มพูดคุยกับผู้ผลิต ไม่ว่าจะเป็น Colgate-Palmolive ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ หรือแม้แต่ Hasbro ผู้ผลิตของเล่นจากสหรัฐอเมริกา ให้นำสินค้าของตัวเองมาวางขายบนแพลตฟอร์มได้

Claire Lin ผู้บริหารของ Shein ที่ดูแลในส่วนด้านการตลาดของผู้ค้า ได้กล่าวเชิญชวนกับแบรนด์ต่างๆ ว่า ถ้าแบรนด์ต้องการที่จะเข้าถึงลูกค้าในระดับล้านราย Shein คือโอกาสดังกล่าว และเธอยังได้กล่าวว่าลูกค้าของบริษัทนั้นสนุกในการจับจ่ายสินค้าบนแพลตฟอร์ม

Christina Fontana ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการแบรนด์สำหรับยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ของ Shein ได้กล่าวในงานสัมมนาเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมาว่า ที่ผ่านมาทุกคนต้องการที่จะร่วมมือกับบริษัทในเรื่องของแฟชั่น แต่บริษัทได้ทำอะไรมากกว่านั้น

ผู้บริหารของ Shein ยังได้กล่าวเสริมว่า ถ้าหากลูกค้าต้องการแบรนด์ใดๆ แล้ว บริษัทจะนำแบรนด์เหล่านั้นมาให้กับลูกค้า

สาเหตุที่ทำให้แบรนด์เสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นจากประเทศจีน รายนี้ต้องมีการวางขายสินค้าอื่นเพิ่มเติม เนื่องจากต้องการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ เพื่อที่จะสามารถต่อสู้กับคู่แข่งรายสำคัญคือ Amazon

Xiaofeng Wang นักวิเคราะห์ธุรกิจ E-commerce ของ Forrester ได้กล่าวว่า ถ้าหาก Shein ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ทางฝั่งของ Shein เองก็ต้องได้การรับรองจากแบรนด์ของฝั่งตะวันตกด้วยเช่นกัน

ในช่วงที่ผ่านมา แบรนด์เสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นจากประเทศจีน ได้รุกตลาดต่างประเทศอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา จนทำให้คู่แข่งหลายรายต้องปรับตัว งัดกลยุทธ์มาสู้ หรือแม้แต่การขยายธุรกิจไปยัง ยุโรป ลาตินอเมริกา หรือแม้แต่ในทวีปเอเชีย

ไม่เพียงเท่านี้การวางขายสินค้าจากผู้ผลิตรายอื่นๆ ยังเป็นการหารายได้เพิ่มเติมอีกทาง เพื่อปูทางเข้าตลาดหุ้น โดยผลประกอบการในปี 2023 ที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรมากกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าแบรนด์เสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นอย่าง H&M ที่เป็นคู่แข่งจากทวีปยุโรปด้วยซ้ำ

ท้ายที่สุดต้องมาดูกันว่าแบรนด์ต่างประเทศรายใดจะลงมาวางขายสินค้าบน Shein บ้าง

]]>
1471581
ทำความรู้จักกับ 9Basil กองทุนของ ‘ชวิณ เจียรวนนท์’ https://positioningmag.com/1471348 Mon, 29 Apr 2024 10:52:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471348 Positioning จะพาไปทำความรู้จักกับ 9Basil ธุรกิจลงทุนในบริษัทนอกตลาดหุ้น หรือ Private Equity ซึ่งเป็นอีกธุรกิจสำคัญของ ‘ชวิณ เจียรวนนท์’ ซึ่งกำลังเป็นข่าวกับดาราชื่อดัง ‘เบลล่า’ ราณี แคมเปน อยู่ในขณะนี้

ชวิณ เจียรวนนท์ (วิล) เป็นหลานของ วัลลภ เจียรวนนท์ รองประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ซึ่งปู่ของ ชวิณ นั้นเป็นลูกพี่ลูกน้อง ธนินท์ เจียรวนนท์

ในส่วนของการศึกษานั้น ชวิณ จบการศึกษาจาก University of North Carolina at Chapel Hill ใน 2 สาขาวิชาหลัก นั่นคือ ด้านเศรษฐศาสตร์ และการบริหารธุรกิจ

เขาได้ก่อตั้ง 2W Group ซึ่งเป็นสำนักงานครอบครัว (Family Office) และได้ลงทุนในหลายกิจการ ไม่ว่าจะเป็น MC Payment ซึ่งเป็นบริการรับจ่ายเงินในประเทศอินโดนีเซีย หรือแม้แต่เคยลงทุนใน Aura ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบริหารความมั่งคั่งซึ่งมีสำนักงานทั้งในสิงคโปร์และออสเตรเลียมาแล้วในปี 2016 ก่อนที่จะขายหุ้นในกิจการดังกล่าวออกมาในช่วงปี 2021

ขณะเดียวกันเขาเองยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งของ Blueprint Forest ซึ่งถือเป็น Family Office อีกแห่งเพื่อที่จะบริหารเงินลงทุนให้กับตระกูลมหาเศรษฐีในทวีปเอเชียด้วย

ชวิณ เจียรวนนท์ (คนกลาง) ในช่วงที่เป็นกรรมการ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) / ภาพจากบริษัท

9Basil ธุรกิจสำคัญของ ‘ชวิณ’

ชวิณ เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งของ 9Basil ซึ่งเป็นบริษัทที่เน้นลงทุนในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ หรือหลายคนอาจคุ้นในชื่อของ Private Equity ในช่วงปี 2018 และธุรกิจดังกล่าวยังสร้างชื่อเสียงให้กับเขาในปัจจุบัน

สำหรับพอร์ตการลงทุนของ 9Basil ที่สำคัญๆ เช่น เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ‘เงินติดล้อ’ ซึ่งเป็นบริษัทประกอบธุรกิจการให้บริการสินเชื่อ ซึ่งตัวเขาเองเคยเป็นกรรมการของบริษัทในช่วงปี 2019 จนถึงปี 2022 มาแล้ว ซึ่งการลงทุนในเงินติดล้อนั้นบริษัทได้จับมือกับ CVC Capital Partners ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน Private Equity รายใหญ่ของโลก

ปัจจุบัน 9Basil ถือหุ้นในเงินติดล้อ สัดส่วน 3.49% คิดเป็นมูลค่าล่าสุด (29 เมษายน) ราวๆ 2,000 ล้านบาท

9Basil ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ‘อัลฟาแคปปิตอล พาร์ทเนอร์ส กรุ๊ป’ ซึ่งประกอบธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีหลักประกัน และธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย ซึ่งความเคลื่อนไหวล่าสุดนั้นบริษัทมีการยื่นไฟลิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว

ล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมท่ีผ่านมา 9Basil เองยังเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนของ Sourcefit ซึ่งเป็นธุรกิจรับมอบหมายและดูแลงานบางส่วนภายในองค์กร (BPO) ในประเทศฟิลิปปินส์ ขณะเดียวกันในช่วงปี 2020 นั้นบริษัทเองยังมีการลงทุนในกิจการที่มีปัญหาเรื่องหนี้สินด้วย

นอกจาก 9Basil เองแล้ว ชวิณ ยังมีกองทุนอื่นที่ดูแลไม่ว่าจะเป็น Lossless Capital และ Open Forest อีกด้วย

Private Equity ทำไมถึงได้รับความนิยมในไทย

การลงทุนในบริษัทที่เน้นลงทุนในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ นั้นได้รับความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา สาเหตุหลักคือต้นทุนการเงินที่ถูก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เองนั้นถือว่าต่ำ

จุดเด่นของ Private Equity คือสามารถที่จะหาผลตอบแทนที่สูงมากกว่าในตลาดหลักทรัพย์ได้ โดยที่ไม่ต้องรับความผันผวนจากราคาในตลาดหุ้นในช่วงการลงทุนในกิจการดังกล่าว แต่จะมีการหามูลค่าทางบัญชีว่ากิจการในช่วงลงทุนมีมูลค่าเท่าใด

Private Equity เองมีการกู้ยืมเงิน หรือนำเงินลงทุนจากนักลงทุนไปซื้อกิจการต่างๆ ที่มองว่ามีศักยภาพ สามารถสร้างกำไรในอนาคตได้ ซึ่ง Private Equity มักจะมีการเข้ามาฟื้นฟูกิจการหรือทำให้กิจการมีประสิทธิภาพหรือกำไรที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต

สำหรับการทำกำไรของ Private Equity เช่น การขายกิจการต่อให้นักลงทุนที่สนใจ หรือแม้แต่การนำกิจการที่ตัวเองเป็นเจ้าของ (หรือถือหุ้นอยู่) นำเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งทำให้มีกำไรอย่างมหาศาล อย่างไรก็ดีธุรกิจดังกล่าวมีความเสี่ยงในเรื่องการบริหารกิจการอาจไม่เป็นไปตามแผน หรือแม้แต่สภาวะธุรกิจที่เปลี่ยนไป ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจทำให้การลงทุนเกิดความเสียหายได้

ขณะที่ในประเทศไทย Private Equity ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เหล่าตระกูลมหาเศรษฐีของไทยหลายตระกูลเองได้ประกาศตั้งกองทุน ไม่ว่าจะเป็น ภูมิ จิราธิวัฒน์ ที่มีการประกาศตั้ง ซีจี แคปปิตอล เป็นต้น ซึ่งธุรกิจดังกล่าวถือเป็นการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนของเหล่าตระกูลมหาเศรษฐีของไทยอีกทางหนึ่ง

]]>
1471348
บริษัทแม่ AirAsia ที่มาเลเซีย ปรับโครงสร้างเตรียมควบกิจการ AirAsia X เป็นกิจการเดียว เตรียมระดมทุนเพิ่ม https://positioningmag.com/1471340 Mon, 29 Apr 2024 10:49:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471340 Capital A บริษัทแม่ AirAsia ที่มาเลเซีย ได้ปรับโครงสร้างโดยที่จะเตรียมควบกิจการ AirAsia X กับ AirAsia เป็นกิจการเดียว เพื่อความสะดวกในการบริหาร และบริษัทยังมีแผนที่จะเตรียมระดมทุนเม็ดเงินเพิ่มเติมด้วย

Capital A บริษัทแม่ของสายการบินราคาประหยัดอย่างแอร์เอเชีย (AirAsia) ได้ปรับโครงสร้างกิจการอีกครั้ง โดยจะมีการควบรวมกิจการของ AirAsia และ AirAsia X ให้เป็นกิจการเดียว นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะระดมทุนเพิ่มเติม เพื่อที่จะใช้ในการดำเนินธุรกิจด้วย

การปรับโครงสร้างดังกล่าวจะทำให้ AirAsia และ AirAsia X เป็นกิจการใต้ชายคาเดียวกัน ตามแผนที่บริษัทได้แจ้งไว้ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งแตกต่างกับในอดีตที่ทั้ง 2 บริษัทนั้นมีแผนการดำเนินธุรกิจคนละรูปแบบ โดย AirAsia เองจะเน้นเส้นทางการบินระยะสั้น ขณะที่ AirAsia X เน้นการบินระยะยาว

ไม่เพียงเท่านี้การควบรวมกิจการยังทำให้บริษัทโอนเครื่องบินที่สั่งจองไว้จาก Capital A มากถึง 362 ลำ มาเป็นของบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการนี้ด้วย และบริษัทใหม่ที่ควบรวมกิจการสายการบินราคาประหยัดทั้ง 2 รายยังมีแผนที่จะระดมทุนเพิ่มด้วย

ปัจจุบันสายการบินราคาประหยัดรายนี้มีฝูงบินมากกว่า 200 ลำ ซึ่งให้บริการกับนักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เดินทางในอาเซียน และยังสามารถเดินทางไปยังประเทศอื่นในทวีปเอเชียอีกหลายเส้นทาง รวมถึง ออสเตรเลีย เป็นต้น

Tony Fernandes ซึ่งเป็น CEO ของ Capital A ได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวใน Linkedin ของเขาว่า การควบรวมกิจการของ 2 สายการบินจะทำให้ AirAsia กลายเป็นสายการบินราคาประหยัดรายใหญ่ของทวีปเอเชีย ขณะเดียวกันการควบรวมกันยังทำให้มีเครื่องบินไซส์เดียวที่สามารถลงจอดสนามบินขนาดเล็กได้ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสตามเมืองรองต่างๆ ส่งผลทำให้ค่าการเดินทางลดลง 30%

ซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเขาได้กล่าวเสริมเรื่องดังกล่าวว่า เมื่อโควิดมา สิ่งใดที่ไม่ฆ่าคุณ จะทำให้คุณกลับมาแข็งแกร่งขึ้นได้ เราไม่เคยยอมแพ้และวันนี้เรากำลังแสดงให้เห็นว่าเราจะแข็งแกร่งขึ้น

ปัจจุบันรายได้หลักของ Capital A ยังมาจากสายการบิน AirAsia ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 75% ของรายได้รวมทั้งหมดของบริษัท ขณะที่รายได้อื่นๆ นั้นมาจาก โลจิสติกส์ บริการโทรศัพท์มือถือ ประกันภัย ไปจนถึงบริการผ่าน SuperApp ของบริษัท

นอกจากนี้หัวเรือใหญ่ของ Capital A เองยังกล่าวว่า เขาพยายามที่จะทำให้อัตราส่วนทางการเงินกลับมาเป็นบวกให้ได้ หลังจากที่บริษัทประสบปัญหาขาดทุนซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์มองว่าผลประกอบการของบริษัทจะกลับมาเป็นบวกได้ในปีนี้

]]>
1471340
Apple กลับมาพูดคุยกับ OpenAI อีกครั้ง เพื่อนำฟีเจอร์ AI เข้ามาผนวกใน iOS เวอร์ชั่นใหม่ เร่งลงทุนในเทคโนโลยีดังกล่าวเพิ่ม https://positioningmag.com/1471334 Sun, 28 Apr 2024 12:44:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471334 แอปเปิล (Apple) ได้กลับมาพูดคุยกับ OpenAI เพื่อนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาผนวกใน iOS 18 ที่ทางบริษัทกำลังจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ ขณะเดียวกันบริษัทก็ได้เร่งลงทุนในเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างหนักเช่นกัน

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Apple ผู้ผลิต iPhone ได้พูดคุยกับบริษัทเทคโนโลยีซึ่งเป็นเจ้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั้ง OpenAI เจ้าของ ChatGPT รวมถึง Alphabet เจ้าของ Gemini เพื่อที่จะนำความสามารถของ AI มาไว้บน iPhone

ความเคลื่อนไหวล่าสุดนั้น Apple ได้เจรจากับ OpenAI ว่าจะนำความสามารถ AI มาผนวกใน iOS 18 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ของ iPhone ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้ง 2 ฝ่ายเคยมีการเจรจากันมาแล้ว ก่อนที่จะเงียบหายกันไป

ขณะเดียวกัน Apple เองก็ได้มีการพูดคุยกับ Alphabet บริษัทแม่ของ Google และเป็นเจ้าของ AI อย่าง Gemini มาแล้ว ในส่วนของเทคโนโลยีดังกล่าวในประเทศจีน บริษัทได้พูดคุยกับทาง Baidu ซึ่งเป็นผู้นำเทคโนโลยีดังกล่าวในแดนมังกรเช่นกัน

Apple เองได้มีความพยายามในการไล่ตามเทคโนโลยี AI เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งเองได้ทุ่มสรรพกำลังในเรื่องดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น Alphabet หรือ Meta รวมถึง Microsoft เองที่ได้ลงทุนใน OpenAI ซึ่งผู้ผลิต iPhone เองก่อนหน้านี้มองว่าเทคโนโลยีดังกล่าวยังไม่ใช่ภัยคุกคามของบริษัทด้วยซ้ำ

ขณะเดียวกันการนำเทคโนโลยีของทั้ง Alphabet และ OpenAI เข้ามายังแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาเทคโนโลยี AI ของ Apple เองนั้นอาจมีความล่าช้า แม้จะมีการทดสอบระบบดังกล่าวบางส่วนก็ตาม เช่น ในกรณีการทำแคมเปญโฆษณาบน App Store ของบริษัท

อีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Apple ต้องกลับมาพูดคุยกับบริษัทที่มีเทคโนโลยี AI คือแรงกดดันจากผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือหลายรายได้เริ่มนำฟังก์ชั่นดังกล่าวมาเป็นจุดขายเพิ่มมากขึ้น

ในช่วงที่ผ่านมา Tim Cook ซึ่งเป็น CEO ของ Apple ก็มีการใช้งาน ChatGPT เช่นกัน แต่หัวเรือใหญ่ของ Apple เองได้ชี้ว่ายังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องแก้ไขอีกจำนวนมาก และฟีเจอร์ AI ที่จะนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ของบริษัทเองนั้นก็ต้องมีพื้นฐานที่รอบคอบมาก และล่าสุดเขาเองก็ได้กล่าวว่าบริษัทได้เร่งลงทุนในเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างมากเช่นกัน

อย่างไรก็ดีแหล่งข่าวของสื่อรายดังกล่าวยังกล่าวว่าเรื่องการเจรจานั้นมีความเป็นไปได้ทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาใช้เทคโนโลยีของทั้ง 2 บริษัท หรือเลือกเทคโนโลยีรายใดรายหนึ่ง

]]>
1471334
กรุงศรีฯ คาดสินเชื่อธุรกิจลูกค้าญี่ปุ่น-บรรษัทข้ามชาติ โต 7% ในปีนี้ มองกลุ่ม อสังหาฯ อิเล็กทรอนิกส์ ต้องการลงทุนมากขึ้น https://positioningmag.com/1471329 Sun, 28 Apr 2024 10:51:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471329 กรุงศรีฯ คาดสินเชื่อธุรกิจลูกค้าญี่ปุ่น-บรรษัทข้ามชาติ โต 7% ในปีนี้ โดยมองว่าอาเซียนได้ปัจจัยบวกจากการย้ายฐานการผลิต หรือแม้แต่ปัจจัยการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันมองว่าลูกค้ากลุ่มอสังหาฯ หรืออิเล็กทรอนิกส์ ต้องการขยายธุรกิจมากขึ้น นอกจากนี้ยังชักชวนให้ผู้ประกอบการขยายธุรกิจออกไปในภูมิภาคเพิ่มเติม

บุนเซอิ โอคุโบะ ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึง กลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่น (JPC) และบรรษัทข้ามชาติ (MNC) ในปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งพอร์ตสินเชื่อเหล่านี้ บุนเซอิ ได้กล่าวว่า NPL สำหรับกลุ่มลูกค้านี้ถือว่าน้อยมาก

ผู้บริหารรายนี้ยังได้กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของทางกลุ่มมีตั้งแต่อุตสาหกรรมหนักอย่างธุรกิจพลังงาน โลหะ ผลิตภัณฑ์เคมี ไปจนถึงอุตสาหกรรมเบาอย่างผู้ให้บริการทางการเงิน แพลตฟอร์มการบริการจัดส่งพัสดุ สินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น

สำหรับกลยุทธ์ที่ทางธนาคารจะนำมาใช้ในปีนี้ ประกอบไปด้วย

  1. เร่งส่งเสริมระบบนิเวศด้านความยั่งยืนให้กับสังคมไทย โดยอาศัยจุดแข็งในการมีความรู้ ความชำนาญในด้าน ESG ผ่านความร่วมมือกับ MUFG เพื่อนำเสนอโซลูชันทางการเงินเพื่อความยั่งยืนที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้
  2. ต่อยอดความร่วมมือเพื่อส่งเสริมระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ โดยจะขยายความร่วมมือเพิ่มเติมกับ ลาว และเวียดนาม เพื่อส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลที่เอื้อต่อสังคม ชุมชน ทั้งในประเทศไทยและอาเซียน
  3. ขยายฐานลูกค้าบรรษัทข้ามชาติจากกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก (East Asian Economies) ด้วยพื้นฐานและปัจจัยที่เอื้อต่อการลงทุนในประเทศไทย ทั้งความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ดึงดูดการลงทุนจากกลุ่มประเทศดังกล่าว โดยเฉพาะจีน ไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลี กรุงศรีจะใช้โอกาสนี้ทำงานร่วมกับ MUFG ในการให้คำปรึกษา ช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจจากกลุ่มประเทศที่ต้องการเข้ามาลงทุนและขยายการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทย
  4. ยกระดับบริการที่ปรึกษาด้านธุรกิจ Krungsri ASEAN LINK เชื่อมทุกความต้องการทำธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน โดยกรุงศรีพร้อมใช้ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสานพลังเครือข่ายธุรกิจของธนาคาร และ MUFG ที่ครอบคลุม 9 ใน 10 ประเทศในอาเซียน อาทิ Danamon Bank ในอินโดนีเซีย VietinBank ในเวียดนาม และ Security Bank ในฟิลิปปินส์ เพื่อต่อยอดบริการที่ปรึกษาด้านธุรกิจสำหรับลูกค้าที่ต้องการขยายธุรกิจสู่อาเซียน ตั้งแต่ในขั้นตอนเริ่มแรก เช่น การสำรวจแปลงที่ดิน การรวบรวมข้อมูลและกฎระเบียบ จนถึงการจัดตั้งและดำเนินการทางธุรกิจในต่างประเทศ

ปัจจัยที่ทำให้การลงทุนในอาเซียนเพิ่มมากขึ้นในมุมของผู้บริหารรายนี้ ได้แก่ ปัญหาเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ หรือแม้แต่เรื่องการกระจายความเสี่ยงในเรื่อง Supply Chain

ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติฯ ยังได้กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา อัตราการปล่อยสินเชื่อกลับติดลบเนื่องจากกลุ่มยานยนต์มีผลประกอบการไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือนของประเทศไทย แต่เขายังมองว่าอุตสาหกรรมอื่น เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อสังหาริมทรัพย์  ดูเหมือนจะมีการลงทุนมากขึ้น

นอกจากนี้ผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่นเองได้เข้ามาร่วมทุนหรือลงทุนในประเทศไทย ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละอุตสาหกรรม เนื่องจากมีข้อกำหนดจากหน่วยงานกำกับดูแลว่าสามารถถือหุ้นได้สัดส่วนเท่าใด เช่น ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่นได้มาร่วมทุนในประเทศไทย เป็นต้น

สำหรับมุมมองการลงทุนในอาเซียน เขาได้ชี้ว่าในช่วงที่ผ่านมาบริษัทจากจีนและญี่ปุ่นต่างเข้าไปลงทุนในเวียดนาม โดยอุตสาหกรรมเด่นๆ เช่น พลังงานทดแทน ภาคการผลิต หรือแม้แต่กลุ่มขนส่ง Logistics ขณะที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์เองก็มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง และต้องการให้ลูกค้าขยายการลงทุนในภูมิภาคนี้ด้วย

ในส่วนของเศรษฐกิจไทย เขามองว่าตัวเลขอัตราการเติบโตของสินเชื่อในช่วง 2-3 ปีนี้น่าจะอยู่ในระดับเดียวกับ GDP ของไทย

ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติฯ ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ยังตั้งเป้าว่าสินเชื่อในกลุ่มธุรกิจฯ จะสามารถเติบโตได้ถึง 7% ในปีนี้ และเขาเองยอมรับว่ามีความท้าทาย แต่ลูกค้าหลายธุรกิจเองต้องการที่จะขยายธุรกิจเพิ่มมากขึ้น

]]>
1471329
Stripe มอง 3 เทรนด์ธุรกรรมข้ามพรมแดน ชี้เศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียนมีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก https://positioningmag.com/1471210 Sun, 28 Apr 2024 07:44:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471210 Stripe แพลตฟอร์มให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน มอง 3 เทรนด์ธุรกรรมข้ามพรมแดน นอกจากนี้ยังมองถึงศักยภาพของเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียนยังเติบโตได้อีกมาก และมีแผนขยายบริการอื่นๆ ในประเทศต่างๆ ของทวีปเอเชียเพิ่ม

Positioning พูดคุยกับ ศริตา ซิงห์ กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และ จีน ของ Stripe และ ธีย์ ฉายากุล ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยของ Stripe ถึงเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล โอกาสของอาเซียน หรือแม้แต่เรื่องการเจาะตลาดของ Stripe หลังจากนี้

ศริตา กล่าวถึงเศรษฐกิจโลกยังเติบโตได้ดีแม้ว่าจะพบเจอกับเรื่องต่างๆ มากมาย ขณะเดียวกันเธอได้กล่าวถึงทวีปเอเชียมีหลายประเทศที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก จากการเติบโตของ GDP ที่สูง นอกจากนี้เธอยังได้ชี้ว่าสิ่งที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลังจากนี้ก็คือเศรษฐกิจดิจิทัล

กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และ จีน ของ Stripe ยังกล่าวเสริมว่า “ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในตลาดอินเทอร์เน็ตที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกปัจจุบัน”

Stripe ได้มองถึงแนวโน้มสำคัญ 3 ประการที่ขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคตภายในทศวรรษหน้า ได้แก่

  • การค้าข้ามพรมแดน รายงานล่าสุดของ Stripe เกี่ยวกับการค้าดิจิทัลทั่วโลกพบว่า 84% ของธุรกิจที่ทำการสำรวจได้ขายสินค้าและบริการในหลายตลาด และโลกออนไลน์ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคทั่วโลก ทำให้หารายได้มากกว่าเดิม ปัจจุบันการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนมีมากถึง 1 ใน 3 ของธุรกรรมทั่วโลก
  • การเติบโตของเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม แม้ว่าแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจแบบแพลตฟอร์มจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ข้อสังเกตล่าสุดแสดงให้เห็นว่าแพลตฟอร์มและตลาดดิจิทัลกำลังกลายเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจโดยรวมมากขึ้น ผู้บริหารของ Stripe ได้ชี้ให้เห็นจากบริการแพลตฟอร์มที่เติบโตขึ้น
  • ความเป็นผู้ประกอบการในภูมิภาคนี้ ผู้บริหารของ Stripe ได้ชี้ถึงหลายบริษัทเริ่มปลุกปั้นผู้ประกอบการภายในบริษัทตัวเอง ให้พนักงานสร้างธุรกิจได้

ผู้บริหารหญิงจาก Stripe ยังกล่าวเสริมว่า “เชื่อว่าภายใน 10 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจดิจิทัลนั้นจะมีขนาดใหญ่กว่าเศรษฐกิจในโลกทั่วไปมากถึง 2.5 เท่า”

ไม่เพียงเท่านี้ เธอยังชี้ถึงคนทั่วไปได้เข้าถึงโลกออนไลน์เพิ่มขึ้น 125,000 คนต่อวันในอาเซียน ถือว่าเป็นปริมาณที่สูง ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาส โดยประเทศไทยนั้น Stripe ได้ให้บริการในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงปี 2022 เป็นต้นมา

ศริตา ซิงห์ – กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน และ และอินเดีย ของ Stripe / ภาพจากบริษัท

Stripe แตกต่างกับผู้ให้บริการรายอื่นอย่างไร

กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และ จีน ของ Stripe ได้กล่าวถึงแพลตฟอร์มของบริษัทนั้นถือว่าเป็นโครงสร้างทางพื้นฐานทางการเงิน และมองว่าบริการรับชำระเงินหรือ Payment Gateway นั้นถือว่าเป็นบริการส่วนหนึ่งเท่านั้น โดยบริษัทมีบริการอื่นไม่ว่าจะเป็น Banking As A Service บริการที่เกี่ยวข้องกับระบบอัตโนมัติ การจัดตั้งบริษัท เป็นต้น

ขณะที่ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยของ Stripe ได้กล่าวเสริมว่า การสร้างความไว้ใจของ Stripe คือการที่ลูกค้าได้พบกับประสบการณ์ผ่านการใช้งานจริง และถ้าลูกค้าเห็นว่า Stripe ได้ช่วยบริษัททั่วโลกได้มากแค่ไหน ก็สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้ให้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐาด้านการเงิน เช่น ระบบชำระเงินให้ลูกค้าหลายราย ไม่ว่าจะเป็น Toyota ไปจนถึง Spotify เป็นต้น

กรณีศึกษาในประเทศไทย

ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยของ Stripe ได้ยกกรณีศึกษาของ จิม ทอมป์สัน แบรนด์ค้าปลีกแฟชั่นของไทยที่ต้องการธุรกิจไปยังตลาดทั่วโลก ธีย์ ได้กล่าวถึงทางแบรนด์ได้ติดต่อว่าทำอย่างไรให้ลูกค้าชาวต่างชาตินั้นสามารถสั่งซื้อสินค้าและทำธุรกรรมได้อย่างสะดวกมากกว่าผู้บริการเจ้าเดิม หรือแม้แต่การขยายธุรกิจไปยังประเทศสิงคโปร์ ทำยังไงให้ลูกค้ามีประสบการณ์ในการใช้งานระบบจ่ายเงินได้ดีสุด

ธีย์ ยังได้กล่าวถึงลูกค้าในประเทศไทยได้หันมาใช้ Stripe เยอะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังมีทีมพัฒนาในไทยเพื่อรับฟังความเห็นหรือหาวิธีการในการแก้ปัญหาให้กับลูกค้าชาวไทย ไม่ว่าจะเป็นลูกค้ารายย่อยหรือรายใหญ่ รวมถึงการพูดคุยกับหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อพัฒนาวิธีการต่างๆ ให้ดีขึ้น

ขยายตลาดไปยังทวีปเอเชีย

ศริตา ได้กล่าวถึงการขยายธุรกิจของ Stripe ไปยังประเทศต่างๆ ทั่วเอเชียแปซิฟิกว่าในการขยายธุรกิจไปนั้นแต่ละประเทศต้องการผลิตภัณฑ์หรือบริการไม่เหมือนกัน อย่างเช่นในกรณีของประเทศไทยนั้นอาจไม่ได้ต้องการระบบการคิดภาษี ซึ่งของไทยนั้นใช้อัตราภาษีเดียวกัน แตกต่างกับบางประเทศ ฉะนั้นในการขยายบริการนั้นแต่ละประเทศก็จะได้รับบริการไม่เหมือนกัน

ขณะเดียวกันการเข้ามาของเทคโนโลยี AI นั้นบริษัทได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้โดยใช้ข้อมูลธุรกรรมไปวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบธุรกรรมที่ผิดปกติ หรือแม้แต่การตรวจสอบเรื่องการฉ้อโกง

นอกจากนี้ Stripe เองยังเตรียมที่จะพัฒนาบริการหรือผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานของประเทศนั้นๆ ด้วย

]]>
1471210
ผลสำรวจเผยชาวจีนอยากท่องเที่ยวต่างประเทศแต่ยังไม่ได้จองตั๋วในปีนี้มากถึง 40% มองประเทศไทยทำแคมเปญการตลาดได้ดี https://positioningmag.com/1471162 Thu, 25 Apr 2024 10:55:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471162 Dragon Trail Research ได้เปิดเผยผลสำรวจชาวจีนเกี่ยวกับมุมมองการท่องเที่ยวในเดือนเมษายนว่า ชาวจีนมากถึง 40% มีแผนที่จะท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่ยังไม่มีการจองตั๋วแต่อย่างใด ขณะที่ผู้จองตั๋วและมีการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศมีเพียงแค่ 5% เท่านั้น ขณะเดียวกันก็มองว่าประเทศไทยนั้นทำการตลาดแคมเปญได้ประทับใจ

Dragon Trail Research สำรวจชาวจีนมากถึง 1,015 ราย เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นทั้งเมืองใหญ่และเมืองรองทั่วประเทศ และสอบถามโดยตั้งคำถามว่ามีแผนที่จะท่องเที่ยวต่างประเทศในปี 2024 นี้หรือไม่ พบว่า 40% มีแผนที่จะท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่ยังไม่มีการจองตั๋วแต่อย่างใด รองลงมาคือไม่แน่ใจว่าปีนี้จะได้ท่องเที่ยวต่างประเทศหรือไม่ 27% ขณะที่ 18% ได้มีการจองตั๋วทริปต่างประเทศแล้ว 10% นั้นไม่มีแผนออกนอกประเทศจีน ที่เหลืออีก 5% ได้เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว

ในเรื่องของความปลอดภัยในแต่ละประเทศ สำหรับประเทศไทย ชาวจีนที่ได้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ 39% ไม่แน่ใจในเรื่องความปลอดภัยของประเทศไทย 34% มองว่าไม่ปลอดภัย ที่เหลืออีก 24% เชื่อมั่นว่าปลอดภัย

ประเทศไทยในมุมมองของชาวจีนที่ตอบแบบสอบถามของบริษัทที่ปรึกษาดังกล่าวถือว่าปลอดภัยต่ำกว่าหลายประเทศ เช่น อียิปต์ เม็กซิโก ด้วยซ้ำ แม้ว่าผลสำรวจในเดือนเมษานี้แสดงให้เห็นว่าชาวจีนเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นในความปลอดภัยของประเทศไทยก็ตาม

ขณะที่แผนการเดินทางนอกเหนือจากทวีปเอเชียของชาวจีนที่ตอบแบบสอบถามดังกล่าวนั้นลดลงเหลือ 60% จากเดิมมากถึง 75% ในปี 2023 ที่ผ่านมา โดยทวีปยุโรปยังเป็นเป้าหมายหลักของชาวจีน

ข้อมูลจาก Dragon Trail Research

สิ่งที่ดึงดูดให้ชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศนั้น ในแบบสอบถามมีคำตอบ เช่น วิวทิวทัศน์ที่หลากหลาย วัฒนธรรมที่แตกต่าง ผู้คนของแต่ละท้องถิ่น และอาหารแปลกใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กับชาวจีนนั้นกว้างไกลมากขึ้น

ค่าใช้จ่ายในการใช้จ่ายประเทศนั้น ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 10,000 ถึง 30,000 หยวนต่อทริป ชาวจีนส่วนใหญ่ที่ตอบแบบสอบถาม 73% มองถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารการกินในต่างแดนเป็นหลัก รองลงมาคือสินค้าของประเทศนั้นๆ ขณะที่สินค้าประเภทเครื่องสำอางหรือเสื้อผ้า เครื่องประดับ เป็นสัดส่วนรองลงมา

แพลตฟอร์มที่ชาวจีนไว้หาข้อมูลสำหรับการท่องเที่ยวส่วนใหญ่คือ Xiaohongshu โดย Dragon Trail Research แนะนำให้แบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทำแคมเปญการตลาดผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นหลักในปี 2024 นี้

นอกจากนี้ในผลสำรวจของ Dragon Trail Research ยังชี้ว่าการทำการตลาดของประเทศไทย ที่เกี่ยวกับด้านท่องเที่ยวนั้นสามารถสร้างความประทับใจให้กับชาวจีนได้ โดยประเทศมีอันดับรองลงมาคือ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มัลดีฟ เป็นต้น

]]>
1471162
Volkswagen ยังสู้ศึก EV ในจีน แม้ส่วนแบ่งทางการตลาดลดลง เตรียมส่งรถยนต์ไฟฟ้า 30 รุ่นภายในปี 2030 https://positioningmag.com/1470906 Thu, 25 Apr 2024 03:27:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470906 โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากเยอรมนี เตรียมส่งรถยนต์ไฟฟ้า 30 รุ่นจากหลากหลายแบรนด์ภายในปี 2030 และยังยืนยันที่จะเดินหน้าทำธุรกิจ โดยตั้งเป้าที่จะเป็นแบรนด์ต่างประเทศเบอร์ 1 ในจีน แม้ว่าตัวเลขส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศจีนจะเริ่มลดลงก็ตาม

Volkswagen ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากเยอรมนี มีแผนที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากถึง 30 รุ่นเพื่อวางขายในประเทศจีนภายในปี 2030 ซึ่งตลาดดังกล่าวมีการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่บริษัทยังเดินหน้าในการทำธุรกิจ และต้องการที่จะเป็นแบรนด์ต่างประเทศเบอร์ 1 ในจีน

ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ได้เปิดเผยในงาน Auto China 2024 ว่าบริษัทจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากถึง 30 รุ่นเพื่อวางขายในประเทศจีนภายในปี 2030 ภายใต้แบรนด์ต่างๆ ของบริษัท อย่างไรก็ดีบริษัทยังมีการผลิตรถยนต์ประเภทใช้เชื้อเพลงจากฟอสซิล 12 รุ่นและรุ่นไฮบริดอีก 6 รุ่นด้วย

Ralf Brandsatter ซึ่งเป็น CEO ของ Volkswagen ยังตั้งเป้าว่าภายในปี 2030 บริษัทจะส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าได้มากถึง 4 ล้านคันต่อปีภายในปี 2030 และเขายังกล่าวว่าในการผลิตสินค้าในจีนยังทำให้ต้นทุนการผลิตนั้นสามารถที่จะแข่งขันและทำให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจแบบมีกำไรได้

บริษัทเองยังได้โปรโมตว่าการผลิตรถยนต์ไฟฟ้านั้นเกิดขึ้นในประเทศจีนเพื่อที่จะวางขายให้กับคนจีน (In China, for China) และยังกล่าวถึงการพัฒนาเทคโนโลยีของรถยนต์ไฟฟ้าหรือแม้แต่การจับมือกับพันธมิตรที่เป็นบริษัทจีน

Volkswagen ยังได้ส่งสัญญาณว่าบริษัทต้องการที่จะเป็นผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์ต่างประเทศที่ต้องการเป็นเบอร์ 1 ในตลาดจีน ซึ่งบริษัทได้กล่าวถึงการทำตลาดในแดนมังกรมายาวนานกว่า 40 ปีและจะยังคงเดินหน้าต่อไป

ไม่เพียงเท่านี้ CEO ของ Volkswagen ยังกล่าวว่าจะมีความร่วมมือกับบริษัทในจีนเพื่อพัฒนาการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารวมถึงลดต้นทุนในการผลิตด้วย

การแข่งขันของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนถือว่าดุเดือดไม่น้อย เนื่องจากผู้ผลิตในจีนครองตลาดในแดนมังกรมากถึง 64% ในขณะที่ผู้ผลิตจากต่างประเทศ ซึ่ง Volkswagen ก็เป็นหนึ่งแบรนด์ที่อยู่ในตลาดดังกล่าว กลับมีส่วนแบ่งทางการตลาดลดลง

ภายใต้การแข่งขันอันดุเดือดดังกล่าวทำให้หลายแบรนด์เองต้องงัดลูกเล่นไม่ว่าจะเป็น การตัดราคา หรือแม้แต่การเพิ่งฟังก์ชั่นในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อที่จะดึงดูดลูกค้าชาวจีนให้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ตัวเอง

อย่างไรก็ดีในปี 2023 ที่ผ่านมาส่วนแบ่งทางการตลาดของ Volkswagen ในประเทศจีนได้ลดลง 0.6% เหลือเพียงแค่ 14.2% เท่านั้น แต่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากเยอรมนีรายนี้ได้ส่งสัญญาณว่าจะยังสู้ศึกดังกล่าวต่อไป

ที่มา – Volkswagen Group, CleanTechnica, South China Morning Post

]]>
1470906