“ธุรกิจขนส่ง” เป็นอีกฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยในช่วง 2 ปีของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ธุรกิจการขนส่งสินค้าในภาคการค้าและภาคการเดินทางได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทำให้ภาคธุรกิจขนส่งชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
สะท้อนได้จากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติในภาคขนส่งที่หดตัวกว่า 24% และกลับมาขยายตัวได้เล็กน้อยที่ 1.6% ในปี 2564 จากผลของเศรษฐกิจโลกและในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ รวมไปถึงความกังวลต่อการระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยลงกว่าปี 2563 การฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมมากขึ้น และการเปิดประเทศได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้ได้สะท้อนผ่านมูลค่าการนำเข้า-ส่งออกของไทยที่มีมูลค่าสูงขึ้น 22% ในปี 2564 และจะเพิ่มขึ้นอีก 3.6% ในปี 2565 ตามทิศทางเศรษฐกิจโลก
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินแนวโน้มภาคการขนส่งไทยในปี 2565 ว่าจะเติบโตกว่า 10.5% โดยได้รับอานิสงส์หลักมาจากการฟื้นตัวของการขนส่งสินค้าที่เติบโตต่อเนื่อง 10.4% ซึ่งเป็นผลจากภาคการผลิตกลับสู่ระดับปกติ และแรงหนุนจากความต้องการสินค้าส่งออก เร่งให้เกิดอุปสงค์การขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับกิจกรรมทางการค้าที่สูงขึ้น จึงทำให้ธุรกิจมีรายได้สูงกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 (ปี 2562)
อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวโน้มการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังมีอยู่ต่อในอนาคต สถานการณ์การเปิดประเทศทั่วโลกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น ทำงานแบบออนไลน์เพิ่มขึ้น กดดันให้กระแสการเดินทางที่ควรจะเพิ่มขึ้นเป็นไปได้ช้ากว่าที่คาดการณ์
“ภาคการท่องเที่ยวยังไม่สามารถกลับสู่ภาวะปกติได้ จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ฉุดภาคขนส่งผู้โดยสาร ถึงแม้ว่าจะฟื้นตัวได้ถึง 22.3% ในปี 2565 แต่เป็นผลมาจากฐานต่ำช่วงการระบาดระลอก 1-2 ที่ผ่านมา โดยคาดว่าระดับรายได้จากการขนส่งจะอยู่ที่ 25% ของรายได้ก่อนโควิดเท่านั้น”
แม้ว่าในภาพรวมแนวโน้มจะดีขึ้น แต่เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจที่ผู้ประกอบการต้องรับมือ
หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย การปรับตัวให้เข้ากับบริบทโลกออนไลน์ทั้งในรูปแบบของการค้าและการทำงาน ที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและปริมาณการใช้ในระบบขนส่ง เป็นเรื่องที่ธุรกิจต้องทำความเข้าใจและปรับตัวรองรับแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการที่มีสัดส่วนรายได้สูงจากการขนส่งผู้โดยสาร ยิ่งจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรองรับแนวโน้มที่ภาคการขนส่งมีทิศทางสนับสนุนภาคการค้าเพิ่มมากขึ้น โดยใช้ประสบการณ์และทรัพยากรเดิมที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
“เป็นความท้าท้ายที่สำคัญในช่วงโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ธุรกิจจำเป็นต้องเร่งพัฒนาประสิทธิภาพให้ได้ประโยชน์สูงสุดตามศักยภาพของระบบขนส่งในประเทศและใช้เทคโนโลยีช่วยมากขึ้น จะสามารถทำให้ธุรกิจปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ๆ พร้อมกับการแสวงหาโอกาสในช่วงปัจจัยอุปทานขนส่งที่เพิ่มขึ้นไม่ทันกับความต้องการจากพฤติกรรมของธุรกิจและการเดินทางที่เปลี่ยนแปลงไป”
]]>
โดยตำแหน่งงานใหม่ของ Amazon ที่จะเปิดรับสมัครในสหราชอาณาจักรนั้น จะรวมถึงพนักงานประจำคลังสินค้า 4 แห่งใหม่และพนักงานประจำสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอน, แมนเชสเตอร์, เอดินเบอระ และแคมบริดจ์ รวมไปตำแหน่งงานไอทีใน Amazon Web Services ซึ่งเป็นส่วนธุรกิจคลาวด์–คอมพิวติ้งของ Amazon ด้วย
อย่างไรก็ตาม Amazon ปฏิเสธที่จะระบุถึงจำนวนการเพิ่มตำแหน่งใหม่ ในส่วนพนักงานขับรถจัดส่งและพนักงานคลังสินค้า หลังมีการประท้วงเรื่องค่าเเรงต่ำและคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ไม่ดีนัก
สำหรับค่าเเรงในการทำงานของ Amazon ในสหราชอาณาจักร จะเริ่มต้นที่ 10.80 ปอนด์ ต่อชั่วโมง (ราว 477 บาท) ในพื้นที่กรุงลอนดอน และ 9.70 ปอนด์ต่อชั่วโมงในส่วนอื่นๆ
โดยตั้งเป้าว่าพนักงานทั้งหมดในสหราชอาณาจักรจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 5.5 หมื่นราย ได้ภายในสิ้นปี 2021 ซึ่งจะทำให้ Amazon บริษัทกลายเป็นหนึ่งเป็นในบริษัทข้ามชาติที่มีพนักงานมากที่สุดในอังกฤษ เหมือนยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอื่น ๆ ของสหรัฐฯ อย่าง Google, Microsoft, Facebook และ Apple
นอกจากนี้ Amazon วางเเผนจะทุ่มงบประมาณราว 10 ล้านปอนด์ในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า เพื่อใช้ฝึกอบรมทักษะใหม่ๆ ให้พนักงานในสหราชอาณาจักรราว 5,000 คน เพื่อเสริมความสามารถในการประกอบอาชีพทั้งในเเละนอกองค์กร พร้อมร่วมงานกับหอการค้าอังกฤษและธุรกิจในท้องถิ่น เพื่อเเก้ปัญหาการขาดแคลนทักษะในส่วนภูมิภาค
“เรามีความเชื่อมั่นอย่างมากว่าเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรจะดีขึ้นเรื่อยๆ หลังการระบาดใหญ่ ถือเป็นการลงทุนที่สำคัญในภาคการค้าปลีกของเรา”
เเม้ว่า Amazon จะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สร้างงานมากมายในสหราชอาณาจักร แต่บริษัทก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึง ‘ภาษีที่จ่าย’ โดยบริษัทจ่ายจ่ายภาษีเเค่ 293 ล้านปอนด์ในปี 2019 จากยอดขายมีมากถึง 1.37 หมื่นล้านปอนด์
]]>
Bloomberg รายงานโดยอ้างเเหล่งข่าวว่า J&T Express กำลังทำงานร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อยื่นเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดสหรัฐฯ โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 4 ของปีนี้
เบื้องต้นมีการประเมินว่า การขาย IPO ครั้งนี้ จะระดมทุนได้ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.1 หมื่นล้านบาท) ซึ่งจะทำให้มูลค่าบริษัทของ J&T Express เพิ่มขึ้นไปเเตะ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.56 เเสนล้านบาท)
แหล่งข่าวเปิดเผยอีกว่า J&T Express กำลังจะมีการ ‘ระดมทุนรอบใหม่’ หลังเพิ่งระดมทุนได้ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.4 พันล้านบาท) ไปเมื่อไม่นานมานี้
โดยการเสนอขายหุ้น IPO ของ J&T Express ในตลาดนิวยอร์กครั้งนี้ ถือเป็นการท้าชิงตำแหน่งเเชมป์ของบริษัทอินโดนีเซียที่สามารถระดุมทุนได้มากที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กับ ‘PT Indosat’ โทรคมนาคมรายใหญ่ ที่เคยขาย IPO ได้ราว 1.05 พันล้านดอลลาร์ มาตั้งเเต่ปี 1994
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดและไทม์ไลน์ของการเสนอขายหุ้น IPO ของ J&T Express อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งทางบริษัทยังปฎิเสธที่จะให้ความคิดเห็นต่อข่าวนี้
สำหรับ J&T Express ก่อตั้งในปี 2015 โดยสองผู้บริหารอย่าง Jet Lee เเละ Tony Chen ให้บริการธุรกิจโลจิสติกส์ในอินโดนีเซีย ต่อมาขยายไปในประเทศเเถบอาเซียนอย่าง มาเลเซีย เวียดนาม ไทย สิงคโปร์ กัมพูชา และจีน มีพนักงานมากกว่า 350,000 คน เเละมีผู้ใช้บริการมากกว่า 2 พันล้านคนทั่วโลก
ที่ผ่านมา บริษัทมีการถึงร่วมมือเป็นพันธมิตรกับอีคอมเมิร์ซเจ้าใหญ่ๆ ของอินโดนีเซียอย่าง PT Tokopedia และ Bukalapak.com รวมถึง Shopee ของสิงคโปร์
ดีมานด์ของธุรกิจโลจิสติกส์และคลังสินค้า เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 เมื่อผู้บริโภคหันมาช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้บริการขนส่งเติบโตตามไปด้วย
สำหรับในประเทศไทยนั้น J&T Express เข้ามาเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2019 โปรโมตด้วย ‘Entertainment Marketing’ โดยเลือกนักเเสดงชื่อดังอย่าง ‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ เป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกพร้อมกลยุทธ์การขึ้นป้ายหน้าร้านสาขา
โดยบริษัทได้ลงทุนในไทยไปแล้วราว 6,000 ล้านบาท เเละในปี 2564 มีเเผนจะลงทุนเพิ่มอีกราว 3,000 ล้านบาท ในด้านเทคโนโลยีการคัดแยก ยานพาหนะ และพนักงาน
ที่มา : Bloomberg
]]>
โดย Rakuten จะขายหุ้น 8.32% ให้กับไปรษณีย์ญี่ปุ่น เป็นมูลค่าประมาณ 150 พันล้านเยน (ราว 1.38 พันล้านเหรียญ) เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านโลจิสติกส์ ช้อปปิ้งออนไลน์และบริการดิจิทัลอื่น ๆ
การบรรลุข้อตกลงเป็นพันธมิตรด้านเงินทุนระหว่าง Rakuten เเละไปรษณีย์ญี่ปุ่นในครั้งนี้ เป็นโอกาสที่ Rakuten จะได้ประโยชน์จากเครือข่ายขนส่งพัสดุของไปรษณีย์ญี่ปุ่น ที่มีฐานลูกค้ากว่า 100 ล้านคน มีที่ทำการไปรษณีย์ 24,000 แห่ง เข้าถึงทุกครัวเรือนในประเทศ อีกทั้งยังมีบริษัทลูกเป็นสถาบันการเงินและบริษัทประกันภัยขนาดใหญ่ ที่มีลูกค้าเปิดบัญชีออมทรัพย์กว่า 120 ล้านบัญชี
ขณะเดียวกัน Rakuten ก็ตั้งเป้าจะเข้ามา ‘พลิกโฉม’ ไปรษณีย์ญี่ปุ่นให้มีความทันสมัย เเละปรับการทำงานไปสู่ระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
จึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ของทั้งสองบริษัท เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคยุค New Normal ที่หันมาสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ เเละมีการส่งพัสดุไปยังที่อยู่อาศัยจำนวนมาก ในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19
“หากไปรษณีย์ญี่ปุ่นรวมบริการออนไลน์ของ Rakuten เข้ากับเครือข่ายทั่วประเทศ ก็จะเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของทั้งสองบริษัท” Amir Anvarzadeh นักวิเคราะห์จาก Asymmetric Advisors ระบุ
สำหรับเเผนของ ‘Rakuten’ เเละไปรษณีย์ญี่ปุ่นนั้น คาดว่าจะมีสร้างศูนย์โลจิสติกส์ร่วมกัน เเชร์ระบบจัดส่งเเละรับสินค้า พร้อมแบ่งปันข้อมูลเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ
โดยที่ทำการไปรษณีย์ จะเพิ่มเคาน์เตอร์ให้ผู้คนสามารถสมัครใช้บริการโทรศัพท์เครือข่ายมือถือของ Rakuten และใช้บริการอื่นๆ ได้ รวมถึงจะขยายบริการชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสด และบริการประกันภัย ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมของความร่วมมือดังกล่าว จะมีการเปิดเผยอีกครั้งในเดือนเมษายนนี้
ในปีที่ผ่านมา Rakuten ผู้บุกเบิกอีคอมเมิร์ซในญี่ปุ่น ได้รับประโยชน์จากการช้อปปิ้งออนไลน์ที่เฟื่องฟูในช่วงระบาดใหญ่ แต่ก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง จากคู่เเข่งต่างชาติที่เข้ามารุกตลาดเเดนปลาดิบอย่าง Amazon
โดยผลประกอบการของ Rakuten ในปี 2020 ยังคงขาดทุนอยู่ เนื่องจากบริษัทนำเงินจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ไปทุ่มลงทุนในบริษัทลูกที่เป็นผู้ให้บริการ ‘เครือข่ายมือถือ’ เเละพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งยังคงอยู่ในช่วงที่ต้องจัดโปรลดค่าบริการเพื่อขยายฐานลูกค้าเเละแข่งขันกับบริษัทรายอื่นๆ ในตลาด
นอกจาก Japan Post เเล้ว Rakuten กำลังเจรจากับพันธมิตรใหม่ๆ อย่างห้างค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ อย่าง Walmart ที่เคยร่วมโปรเจกต์จัดส่งสินค้าสดในญี่ปุ่นด้วยกันมาเเล้ว เมื่อ 3 ปีก่อน ส่วน Tencent บริษัทเทคยักษ์ใหย่ของจีนนั้นเพิ่งมีการพูดคุยกันเมื่อไม่กี่เดือนมานี้
โดยมีความเป็นไปได้ว่า Rakuten จะร่วมมือกับ Tencent ในการพัฒนาเกม เเละมองหาโอกาสในการเชื่อมโยงแบรนด์และร้านค้าเข้ากับแพลตฟอร์ม WeChat เพื่อขยายธุรกิจทั้งในจีนเเละญี่ปุ่นต่อไป
]]>
ล่าสุด MAERSK ผู้ขนส่งตู้คอนเทนเนอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก ออกมาชี้เเจงว่า ตู้คอนเทนเนอร์ที่ถูกนำมาใช้เป็นสิ่งกีดขวางกิจกรรมในประเทศไทยนั้น “ไม่ได้อยู่ในการครอบครองบริษัท เพราะได้ขายต่อไปในตลาด ให้บุคคลที่ 3 แล้ว”
วันนี้ เราจะพามารู้จัก MAERSK ผู้ให้บริการการขนส่งสินค้าทางทะเลเบอร์ 1 ของโลกจากเดนมาร์ก ให้มากขึ้นกัน
โลจิสติกส์เป็นหนึ่งในธุรกิจ “ดาวรุ่ง” เมื่อโลกปัจจุบันเชื่อมต่อกัน ทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ “ง่ายเเละเร็ว” กว่าสมัยก่อนมาก โดยเฉพาะธุรกิจเรือขนส่ง “ตู้คอนเทนเนอร์” ที่เฟื่องฟูมาเรื่อยๆ
MAERSK (เมอส์ก) หรือ A.P. Moller Maersk บริษัทขนส่งสัญชาติเดนมาร์ก ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1904 ถึงตอนนี้ก็อายุราวๆ 116 ปี เริ่มต้นด้วยการเป็นธุรกิจครอบครัวของตระกูล Møller เป็นที่รู้จักในวงกว้างในวงการเดินเรือสมุทรมานับศตวรรษ
ปัจจุบันให้บริการกว่า 130 ประเทศ มีพนักงานมากกว่า 88,000 คน และให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางทะเลเเละทางบกเเบบ “ครบวงจร”
ธุรกิจหลักๆ ของ MAERSK ส่วนใหญ่จะเป็นการขนส่งและพลังงาน นอกนั้นจะเป็นธุรกิจค้าปลีก อู่ต่อเรือ การทำธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่น เเละสนใจการลงทุนในธุรกิจการเงินด้วย
การขนส่งสินค้าทางทะเล เป็นส่วนที่ทำรายได้ให้ MAERSK มากที่สุด โดยบริษัทเปิดให้บริการทั้งเเบบขนสินค้าใส่ตู้คอนเทนเนอร์ เเละเเบบ Bulk cargo (เรือสินค้าเเบบเทกอง ขนส่งครั้งละมากๆ เเต่ไม่มีภาชนะบรรจุสินค้า)
ปัจจุบันมีเรือในสังกัดมากกว่า 786 ลำ รวมไปถึงเปิดให้บริการที่เกี่ยวข้องกับ “ท่าเรือ” ซึ่งมีท่าเรือที่ให้ทั้งหมด 65 แห่งทั่วโลก
จากนั้น MAERSK มีธุรกิจบริการขนส่งเเบบครบวงจรใน “ทางบก” ทั้งการบริหารสินค้าคงคลัง และให้บริการโกดังสินค้าให้กับโรงงานต่างๆ
ในส่วนของธุรกิจ “ตู้คอนเทนเนอร์” นั้น บริษัทมีการผลิตเพื่อใช้งานภายในกลุ่มธุรกิจตัวเอง เเละผลิตขายให้ลูกค้าภายนอก มีฐานผลิตที่ประเทศจีน โดยในปี 2018 สามารถผลิตตู้คอนเทนเนอร์ได้ถึง 1.5 เเสนตู้
ข้อมูลจากเว็บไซต์ ship-technology ประเมินว่า MAERSK เป็นบริษัทขนส่งทางเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ถึง 4.1 ล้านทีอียู ตามมาด้วย Mediterranean Shipping Company (MSC) ด้วยขนาด 3.8 ล้านทีอี เเละ COSCO Shipping Lines อยู่ที่ 3.1 ล้านทีอียู
เมื่อช่วงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา โลกต้องเผชิญกับโรคระบาด COVID-19 ทาง MAERSK ออกมาเตือนว่า ปริมาณการขนส่งสินค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ทั่วโลกจะ “ร่วงลง” อย่างรุนแรงในปีนี้ จากที่เคยคาดว่าจะขยายตัว 1-3%
สำหรับผลประกอบการของ MAERSK ในไตรมาสที่ 2/2020 พบว่า บริษัทมีผลกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.1 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาสก่อนหน้า ที่มีผลกำไรอยู่ที่ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.5 หมื่นล้านบาท) แม้จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการระบาดของ COVID-19
ส่วนไตรมาสที่ 3/2020 การส่งออกทั่วโลกเริ่มมีการฟื้นตัว เป็นผลดีต่อผลประกอบการของ MAERSK ทำให้มีผลกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 2.3 พันล้านดอลลาร์ (6.9 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 39% จากไตรมาสก่อนหน้า
โดยในสถานการณ์โรคระบาด ธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเล เเละการให้บริการท่าเรือ มีรายได้ “ลดลง” เเต่บริษัทมีรายได้ “ชดเชย” จากธุรกิจขนส่งคงคลัง (Logistics & Services Segment) ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
]]>
ผลสำรวจของ Google&Temasek ระบุว่าปี 2025 มูลค่าอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจแตะ 240 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ งานวิจัยของ iPrice เรื่องเทรนด์สายงานอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบว่า อัตราการจ้างงานในสายอาชีพนี้เพิ่มขึ้น 40.7% จากปี 2016 ถึงปี 2018
ปัจจัยสนับสนุนธุรกิจอีคอมเมิร์ซ “เติบโต” มาจากกระบวนการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็วและน่าเชื่อถือตรวจสอบได้ ถือเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนการสั่งซื้อสินค้าผ่านช้อปปิ้ง ออนไลน์
iPrice ร่วมมือกับ Parcel Perform ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ในด้านการเช็กสถานะสินค้าให้กับบริษัทขนส่งสินค้าที่เชื่อมโยงกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซกว่า 600 รายทั่วโลก รายงานความพึงพอใจของลูกค้าอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากผลสำรวจลูกค้า 80,000 คน ทั้งในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย
ข้อมูลที่น่าสนใจคือ ไทยเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีระบบขนส่งสินค้าเร็วที่สุดเฉลี่ย 2.5 วัน ขณะที่มาเลเซียใช้ระยะเวลาขนส่งสินค้านานที่สุดโดยเฉลี่ย 5.6 วัน หากนับระยะเวลาขนส่งโดยเฉลี่ยทั่วทั้งภูมิภาคจะอยู่ที่ 3.8 วัน
อินโดนีเซีย เป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีค่าเฉลี่ยระยะเวลาขนส่งสินค้าตามมาตรฐานอีคอมเมิร์ซอาเซียน อยู่ที่ 3.8 วัน นับเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ เพราะอินโดนีเซียประกอบด้วยหมู่เกาะจำนวนมาก มีประชากรมากที่สุดและการจราจรติดขัดมากที่สุด ขณะที่สิงคโปร์ประเทศมีพื้นที่เล็กที่สุดในภูมิภาคแต่มีระยะเวลาขนส่งสินค้าเฉลี่ยถึง 3.3 วัน
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 34% ของผู้บริโภค เห็นว่าการจัดส่งพัสดุยังคงเป็น “จุดด้อย” ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ กว่า 90% มีคำร้องเรียนและข้อเสนอแนะเชิงลบจากลูกค้าเกี่ยวกับการจัดส่ง “ล่าช้า” รวมไปถึงการสื่อสาร และการติดตามพัสดุ ซึ่งการจัดส่งพัสดุที่รวดเร็วมักสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
หากเปรียบเทียบการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้พบว่า ลูกค้าอีคอมเมิร์ซในประเทศสิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ได้รับความพึงพอใจกับกระบวนการจัดส่งสินค้ามากกว่าลูกค้าอีคอมเมิร์ซในประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซีย
การจัดส่งสินค้า “รวดเร็ว” มีผลต่อความพึงพอใจของลูกค้า หากเวลาส่งสินค้ามากขึ้น ความพึงพอใจจะลดลง 10 – 15% ในแต่ละครั้ง โดยมีลูกค้า 34% ในอาเซียนไม่ประทับใจการบริการขนส่งสินค้าปัจจุบัน
พบว่าการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าด้านการคาดคะเนระยะเวลาการขนส่งสินค้า และอัพเดตการขนส่ง และสามารถดำเนินการได้ตามกำหนดเวลาจะเป็นตัวช่วยในการเพิ่มคะแนนความพึงพอใจจากลูกค้าได้
อย่างไรก็ตาม มีการร้องเรียนจากลูกค้ากว่า 90% ที่มาพร้อมคำติชมในด้านลบ ทั้งความล่าช้าในการจัดส่งสินค้า การไม่ติดต่อสื่อสารในเรื่องสถานะของสินค้า รวมไปถึงคุณภาพสินค้าที่ได้รับความเสียหายระหว่างการขนส่ง ส่วนใหญ่ร้านค้าจะรับผิดชอบด้วยการคืนเงิน หรือเปลี่ยนสินค้า ซึ่งกว่าผู้ซื้อจะได้รับสินค้าที่ตนเองต้องการจริงๆ อาจต้องเสียเวลาเป็นสองเท่า บางกรณีอาจนานเป็นเดือน
เขียนและวิเคราะห์โดย ขนิษฐา สาสะกุล
]]>Amazon ระบุว่าข้อเสนอจูงใจล่าสุดจะรวมถึงค่าจ้าง 3 เดือนสำหรับพนักงานที่ต้องการเริ่มต้นประกอบการธุรกิจขนส่งพัสดุของตนเอง โดยพวกเขาเหล่านั้นจะต้องปฏิบัติตามค่านิยมในการขนส่งสินค้าที่สอดคล้องกับทางบริษัท
“ความคิดริเริ่มนี้เป็นการสานต่อคำสัญญาที่มีมานานของ Amazon สำหรับการเพิ่มขีดความสามารถของพนักงานในการแสวงหาความทะเยอทะยานทางอาชีพ” บริษัทระบุในถ้อยแถลง ขณะที่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่ Amazon กำลังหาทางลดการพึ่งพิงผู้ให้บริการรายใหญ่ต่างๆ อย่างเช่นการไปรษณีย์แห่งสหรัฐฯ และเฟดเอ็กซ์
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เคยกล่าวหาแอมะซอนว่าฉวยประโยชน์จากการไปรษณีย์แห่งสหรัฐฯ โดยใช้อัตราขนสินค้าแบบเทกองสำหรับพัสดุต่างๆ แต่พวกนักวิเคราะห์โต้แย้งว่าเป็นทางการไปรษณีย์แห่งสหรัฐฯ เองต่างหากที่ได้ประโยชน์จากรายได้ของบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่แห่งนี้
Amazon เริ่มโครงการหุ้นส่วนขนส่งสินค้าในปี 2018 โดยกำหนดให้พนักงานต้องลงทุนเองในการเริ่มธุรกิจและประมาณการว่าจะมีรายได้สูงสุด 300,000 ดอลลาร์
นับตั้งแต่ปีที่แล้ว มีคนเริ่มต้น สตาร์ทอัพเดลิเวอรี่กับ Amazon ราว 200 ราย และทางบริษัทคาดหมายว่าจะมีผู้เข้าร่วมอีกหลายหลายร้อยคนในสหรัฐฯ, อังกฤษ และสเปน ภายใต้แรงจูงใจเพิ่มเติม
“เราได้รับความสนใจอย่างท่วมท้นจากบุคคลหลายหมื่นราย ซึ่งยื่นขอเป็นส่วนหนึ่งในโครงการพันธมิตรบริการส่งมอบสินค้าของเรา ในนั้นหลายคนเป็นพนักงาน” เดฟ คล้าก รองประธานอาวุโสฝ่ายธุรกิจทั่วโลก ระบุ “เราได้ยินจากเพื่อนร่วมงานว่าพวกเขาต้องการเข้าร่วมโครงการนี้ แต่มีปัญหาด้านการเปลี่ยนผ่าน ตอนนี้เรามีเส้นทางสำหรับเพื่อนร่วมงานเหล่านั้น ด้วยโอกาสแห่งความปรารถนามีธุรกิจเป็นของตนเองแก่พวกเขา”
Amazon บอกว่าพวกเขามอบการเข้าถึงเทคโนโลยีการส่งมอบพัสดุ การฝึกฝนแก่พนักงานผู้ให้ความสนใจ เช่นเดียวกับลดราคาสินทรัพย์และการบริการต่างๆ อย่างเช่นรถตู้ที่มีตราแอมะซอน, ชุดเครื่องแบบและประกันภัย
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นความพยายามของ Amazon ในการขยายการควบคุมเครือข่ายโลจิสติกส์อันกว้างใหญ่ไพศาลของพวกเขา ในนั้นรวมถึงพนักงานของตนเอง, พนักงานสัญญาจ้าง และผู้ให้บริการภายนอกที่นำส่งพัสดุแทนพวกเขา นอกจากนี้แล้วแอมะซอนยังมีเครื่องบินขนส่งสินค้าของตนเอง และอยู่ระหว่างการทดสอบโดรนและหุ่นยนต์นำส่งสินค้า.
]]>