สกินแคร์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 31 Jul 2025 11:56:53 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 CeraVe ถุงรีฟิล ราคาถูกกว่าขวด 10-15% หมัดเด็ดเสริม Loyalty กลุ่มลูกค้าใช้ฉ่ำ ใช้ประจำ https://positioningmag.com/1531838 Thu, 31 Jul 2025 08:23:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531838 เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมความงาม เมื่อ CeraVe ออกแพ็กเกจจิ้งถุง Refill ขนาดเท่ากับขวดใหญ่ หรือ 473 ml. ถูกใจสาวกแบรนด์เป็นอย่างมาก เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของวงการสกินแคร์ ที่ออกแพ็กเกจจิ้ง Refiil เพราะส่วนใหญ่จะเห็นกับแบรนด์สินค้าอุปโภคต่างๆ เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า เป็นต้น

ตัวเลือกความยั่งยืน

ทางแบรนด์ CeraVe ได้เปิดเผยกับ Positioning ว่า CeraVe ได้เริ่มเปิดตัวผลิตภัณฑ์ถุงรีฟิลในปี 2025 โดยเป็นการทยอยเปิดตัวในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกพร้อมๆ กันในปีนี้ เหตุผลที่เลือกเปิดตัวถุงรีฟิลในประเทศไทยมาจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องเป้าหมายเรื่องความยั่งยืนของ L’Oréal Groupe ที่มีพันธกิจด้านความยั่งยืน มีเป้าหมายการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ต่อสภาพภูมิอากาศ ลดการใช้ทรัพยากร และขับเคลื่อนการหมุนเวียนทรัพยากร (circular economy) ซึ่งผลิตภัณฑ์รีฟิลนั้น อยู่ในเป้าหมายใช้การลดความหนาแน่นบรรจุภัณฑ์และลดการใช้พลาสติกใหม่  

พร้อมกับต้องการสร้างความแตกต่าง การมีแพ็กเกจจิ้งรีฟิลช่วยให้แบรนด์ CeraVe สามารถสร้างความแตกต่าง และตอกย้ำภาพลักษณ์ของการเป็นแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมในตลาดไทยได้ 

แพร โตเจริญทรัพย์ Brand General Manager, CeraVe Thailand บอกว่า ผู้บริโภคคนไทยมีการตอบรับที่ดีต่อบรรจุภัณฑ์รีฟิล โดยส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการรีฟิลผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้าน ด้วยแรงผลักดันจากกระแสความยั่งยืน และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้น ผู้บริโภคจำนวนมากต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมองหาทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น 

โดยทั่วไปแล้ว ผลิตภัณฑ์รีฟิลมักมีราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมบรรจุภัณฑ์ใหม่ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นประจำ อีกทั้งยังสร้าง Loyalty กับแบรนด์ในระยะยาวได้ด้วย โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials มีความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมสูง และมักเป็นกลุ่มที่เปิดรับนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนได้ง่าย

โดยที่แพ็กเกจจิ้งรีฟิลของ CeraVe ไม่ใช่แพ็คเกจถุงรีฟิลแรกของกลุ่ม L’Oréal Groupe ก่อนหน้านี้มีถุงรีฟิล หรือบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนอื่นๆ ในหลายแบรนด์ และหลายประเทศ ภายใต้โครงการ L’Oréal for the Future ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Kiehl’s มีถุงรีฟิลแบบมาสักระยะหนึ่งแล้ว แบรนด์ลังโคมมีผลิตภัณฑ์รีฟิลแบบกระปุก หรือกลุ่มน้ำหอมเช่น แบรนด์ YSL ในผลิตภัณฑ์รีฟิลแบบขวด เป็นต้น 

เอาใจกลุ่มใช้ฉ่ำๆ

หนึ่งในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักที่ถุงรีฟิลเข้ามาตอบโจทย์ได้อย่างดีเยี่ยมคือ “Heavy User” หรือผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์เป็นประจำ และในปริมาณมาก ซึ่งมักจะซื้อผลิตภัณฑ์ไซส์ใหญ่เป็นประจำอยู่แล้ว ทำให้ราคาต่อหน่วยถูกลง ไม่ต้องซื้อขวดใหม่บ่อยๆ

ถึงแม้ว่า CeraVe ที่สหรัฐอเมริกาจะมีไลน์สินค้ามากกว่า 70 รายการ ครอบคลุมสกินแคร์หลายกลุ่มทั้งมอยเจอร์ไรเซอร์, ล้างหน้า, สิว, เอจจิ้ง, กันแดด และผม แต่ในไทยมีไลน์สินค้าหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ บอดี้โลชั่น, ล้างหน้า และผิวหน้า ในปีนี้กำลังจะมีสินค้าตัวอื่นๆ เข้ามามากขึ้น

จุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างของ CeraVe ก็คือ การมีแพ็กเกจจิ้งทั้งหมด 3 ขนาด ได้แก่ 88 ml, 236 ml และ 473 ml ซึ่งไม่ค่อยเห็นในแบรนด์อื่นๆ มากนัก เพราะในแง่ของการตลาดแล้ว การมีแพ็กเกจจิ้งเยอะ การบริหารสต๊อกยิ่งตามมา 

แต่การมี 3 ขนาด ยิ่งเป็นผลดีต่อ CeraVe เพราะทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทุกกลุ่ม แต่ละคนใช้คนละแบบ ซึ่งแพรบอกว่าไม่มีปัญหาเรื่องการจัดการสต๊อกเลย เพราะทุกไซส์ขายดีหมด ขึ้นอยู่กับช่วงวัย 

“CeraVe มีกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen Y วัยทำงานอายุตั้งแต่ 25-35 ปี ที่ชอบค้นหาข้อมูล และรู้จักส่วนผสม มีกลุ่ม Gen Z บ้างเล็กน้อย การมีแพ็กเกจจิ้งหลายไซส์ก็ช่วยทำให้เข้าถึงคนหลากหลายมากขึ้น กลุ่ม New User จะเริ่มใช้ขวดเล็กเป็นการทดลองใช้ง่าย ส่วนกลุ่ม Gen Y จะชอบขนาดกลาง ส่วนกลุ่มแม่ และเด็ก จะชอบใช้ขวดใหญ่”

จากข้อมูลของแบรนด์พบว่า 50-60% ของลูกค้า CeraVe จะมีการใช้สินค้ามากกว่า 3 ตัวขึ้นไป รับกับเทรนด์      ผู้บริโภคที่ผิวแต่ละวันไม่เหมือนกัน จึงจะเลือกมิกซ์แอนด์แมตช์สกินแคร์ตามสภาพผิวในแต่ละวัน 

สำหรับสินค้าที่ขายดีอันดับ 1 ได้แก่ CeraVe Moisturizing Cream 50 ml รองลงมาคือ CeraVe Moisturizing Lotion 473 ml และ CeraVe PM Facial Moisturizing 

โดยที่สัดส่วนรายได้แบ่งเป็น กลุ่มบอดี้โลชั่น 40% คลีนเซอร์ 30-40% และผิวหน้า 30-40% 

ถุงรีฟิลของ CeraVe จะมี 4 กลุ่มสินค้า ได้แก่ Lotion, Cream, Foaming Cleanser และ Hydrating Cleanser จะมีขนาดเดียวคือ 473 ml. หรือเทียบเท่ากับขวดใหญ่ 

ราคาก็จะแตกต่างกันออกไป ส่วนต่างของราคาถุงรีฟิลสำหรับ Lotion และ Cream ที่มีส่วนต่างราคาอยู่ที่หลักร้อย แต่ Foaming Cleanser และ Hydrating Cleanser จะมีส่วนต่างอยู่ที่หลักสิบ ส่วนใหญ่ส่วนต่างราคาถูกกว่าขวดราวๆ 10-15% ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าอย่างมากแน่นอน กระตุ้นให้รู้สึกคุ้มค่าได้ และมีแนวโน้มในการซื้อซ้ำ

ปัจจุบันขนาดของบรรจุภัณฑ์แบบรีฟิลของ CeraVe จะมีเพียงแค่ขนาดเดียว แต่ถ้าหากได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค และมีความต้องการที่มากขึ้น อาจจะมีการพิจารณาขนาดอื่นๆ อีกก็ได้ แถมยังอาจจะสร้างแรงกระเพื่อมให้ แบรนด์อื่นๆ ในตลาด นำเสนอแพ็กเกจรีฟิลให้กลายเป็นเรื่องปกติของตลาดสกินแคร์ก็เป็นได้ 

อ่านเพิ่มเติม

]]>
1531838
“สัมมา ศรีปรัชญาอนันต์” ทายาทพรเกษมคลินิก ปั้น Skinpro Rx สกินแคร์ร้อยล้านภายใน 2 ปี https://positioningmag.com/1528626 Wed, 02 Jul 2025 09:44:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1528626 ตลาดความสวยความงามในไทยยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะไม่ค่อยสู้ดี แต่ผู้บริโภคยังคงต้องดูแลตัวเอง แต่หันมาเลือกแบรนด์ที่มีความคุ้มค่ามากขึ้น รวมไปถึงเลือกถึงส่วนผสม ทำให้ตลาด T-Beauty หรือแบรนด์สกินแคร์ เครื่องสำอางสัญชาติไทยได้รับความนิยมมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ Skinpro Rx แบรนด์ที่อยู่ภายใต้ “พรเกษมคลินิก” ที่สามารถสร้างรายได้หลักร้อยล้านภายในระยะเวลา 2 ปีเท่านั้น

ต่อยอดจากพรเกษมคลินิก

เมืองไทยขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองร้อน มีอากาศร้อนชื้นอยู่ตลอดทั้งปี ประกอบกับมลภาวะที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้คนไทยมีปัญหาเรื่องผิวได้ง่าย ทั้งผิวมัน เป็นสิวง่าย บางคนผิวแพ้ง่ายต้องเข้าคลินิกที่รักษาผิวเฉพาะทาง ซึ่งหนึ่งในคลินิกที่หลายคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดีก็คือ “พรเกษมคลินิก” ที่ทำตลาดมากว่า 40 ปีแล้ว

พรเกษมคลินิกก่อตั้งโดย “หมอสุนทร ศรีปรัชญาอนันต์” ผู้ก่อตั้งพรเกษมคลินิก ในตอนแรกใช้ชื่อว่า “สุนทรการแพทย์” ภายหลังมีพี่ชายที่เป็นหมอผิวหนังมาร่วมทำธุรกิจด้วย จึงเปลี่ยนชื่อเป็นพรเกษมคลินิก มาจากชื่อพ่อและแม่ “พรอำไพ” และ “เกษม” เป็นคลินิกสำหรับผู้มีปัญหาผิวหนัง

Skinpro Rx

ด้วยความที่เป็นคลินิกรักษาผิวหนัง รวมถึงคนมีปัญหาสิว ผิวแพ้ง่าย ก็จะมีสินค้ากลุ่มครีม ยาทาสิวต่างๆ ที่จ่ายให้คนไข้ โดยที่ไม่ได้จำหน่ายข้างนอก เป็นเบสิกสกินแคร์หลอดขาว แปะสติ๊กเกอร์สำหรับคนมีปัญหาสิว ผิวแพ้ง่าย ผิวขาดน้ำ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทายาทเจน 2 (ลูกสาวคนโต) เริ่มนำสกินแคร์สูตรคลินิกมาพัฒนาเป็นแบรนด์ขายนอกคลินิกแล้วหยุดไป จนมาถึง “หั่ง – สัมมา ศรีปรัชญาอนันต์” (ลูกชายคนรอง) เข้ามาสานต่อ พร้อมพัฒนาเป็นแบรนด์ Skinpro Rx

สัมมาเริ่มเล่าว่า “จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Skinpro Rx มาจากการเห็นพี่สาวทำสกินแคร์สูตรพรเกษมคลินิก จึงอยากจำหน่ายข้างนอกบ้าง ให้ลูกค้าคนอื่นที่ไม่ใช่คนไข้ของคลินิกได้ซื้อ อยากทำแบรนด์เวชสำอางในราคาที่เข้าถึงได้ มองเห็นช่องว่างในตลาดที่ไม่มีเวชสำอางในราคาที่เข้าถึงได้เลย มีแต่แบรนด์จากต่างประเทศ”

โปรเจกต์ Skinpro Rx จึงเริ่มต้นเมื่อปี 2564 จัดตั้งบริษัท พรเกษมคอสเมติก จำกัด เป็นบริษัทลูกที่ดูแลธุรกิจสกินแคร์โดยเฉพาะ หลังจากนั้นได้เริ่มจำหน่ายจริงเมื่อปี 2565 แรกเริ่มได้วางจุดยืนเป็นสกินแคร์สำหรับคนผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ ลูกค้าที่ได้ใช้ส่งข้อความมาบอกว่าใช้ดี ผิวดีขึ้นจริงๆ จากนั้นก็เริ่มคิดค้นสินค้าตัวอื่นๆ เพิ่ม

Skinpro Rx

“กว่าจะคลอดโปรเจกต์นี้ใช้เวลาเกือบปีเหมือนกัน จริงๆ พรเกษมมีสินค้าอยู่แล้ว 10 กว่าตัว แต่เลือกมาจัดกลุ่มสินค้าให้ง่ายขึ้น แล้วดูเรื่องแบรนด์ดิ้งให้ชัดเจน”

ส่วนชื่อ Skinpro Rx มีความหมายว่ามีความ Professional ด้านสกินแคร์ ใส่ Rx สื่อถึงใบสั่งยา มีความหมายว่าเป็นสกินแคร์ที่แพทย์เป็นคนจ่ายให้ มีความน่าเชื่อถือ

สัมมาเป็นทายาทพรเกษมคลินิก จบการศึกษาด้าน MBA ก่อนหน้าที่จะทำธุรกิจครอบครัวมีประสบการณ์ในการเป็นที่ปรึกษาบริหารธุรกิจ เคยทำงานที่ Shopee และ Pomelo จริงๆ แล้วสัมมาไม่ได้สนใจธุรกิจสกินแคร์ แต่เป็นคนชอบเรื่องการเงิน และการลงทุน

เวชสำอางที่เข้าใจคนไทย 

Skinpro Rx วาง Positioning เป็นเวชสำอางที่เข้าใจผิวคนไทยจริงๆ ใช้ประสบการณ์การแพทย์จากพรเกษมที่รู้เรื่องผิวคนไทย จากนั้นเอามาพัฒนาสินค้าเพิ่ม ปัจจุบันมีสินค้ารวม 30-40 รายการ แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสิว, ผิวแพ้ง่าย, เพิ่มความชุ่มชื้น, กระจ่างใส และริ้วรอย

“Skinpro Rx เกิดจาก Pain Point ที่พบว่าคนไข้ไม่มีสกินแคร์ที่ใช้แล้วผิวดีขึ้นเลย คนไทยมีปัญหาเรื่องสิว และผิวแพ้ง่ายเป็นส่วนใหญ่ จึงจับ 2 กลุ่มนี้เป็นจุดแข็งที่พรเกษมคลินิกเก่งที่สุด กลุ่มสินค้าขายดีตลอดกาลก็คือ เจลล้างหน้าไม่มีฟอง คนไข้ทุกคนต้องได้ใช้ 20-30 ปี ราคา 169 บาท และมอยเจอร์ไรส์เซอร์สำหรับผิวแพ้ง่าย”

Skinpro Rx

ตอนนี้ตลาดสกินแคร์เป็นตลาดทะเลแดงเดือด มีผู้เล่นเก่า ผู้เล่นใหม่มากมาย อีกทั้งกระแสของ T-Beauty ก็เป็นที่นิยมขึ้นมาก แต่จุดยืนที่สำคัญของแบรนด์คือมีจุดขาย มีความน่าเชื่อถือ และมีประสบการณ์จริง ทำราคาได้ถูกกว่าแบรนด์จากต่างประเทศ ทำให้เข้าถึงคนไทยได้ง่าย

อีกทั้งยุคนี้เป็นยุคที่ผู้บริโภคมีความรู้มากขึ้น มองหาสกินแคร์จากส่วนผสม รู้ข้อมูลส่วนผสมที่เหมาะกับผิวมากขึ้น เป็นโอกาสสำหรับแบรนด์ใหม่ๆ เช่นกัน

ปั้นรายได้ร้อยล้านภายใน 2 ปี

Skinpro Rx เปรียบเหมือนสตาร์ทอัพที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีทีมงานราว 20 คน ในปี 2567 สามารถทำรายได้ 117 ล้านบาทได้ภายใน 2 ปีที่วางตลาด เติบโตจาก 31 ล้านในปี 2566 ในปีนี้ตั้งเป้ารายได้เติบโต 2 เท่า และขยายไลน์สินค้ามากขึ้น

ปัจจุบัน Skinpro Rx เน้นช่องทางการขายผ่านออนไลน์เป็นหลักมีสัดส่วนถึง 90% มีหน้าร้านของแบรนด์ 1 สาขาที่ฟิวเจอร์ รังสิต ร้านติดกับพรเกษมคลินิก ในอนาคตอยากเข้าจำหน่ายในโมเดิร์นเทรดด้วยเช่นกัน

ส่วนเป้าหมายในระยะยาว สัมมามองว่าอยากเป็นแบรนด์เวชอันดับหนึ่งที่คนไทยไว้วางใจ และอนาคตข้างหน้าอยากนำสินค้าไปจำหน่ายที่ต่างประเทศ

]]>
1528626
เส้นทางกลับมาทำกำไรของ “บิวตี้ คอมมูนิตี้” รื้อกลยุทธ์ธุรกิจ-เปลี่ยนเพื่อสู้ในตลาด “เครื่องสำอาง” สุดเดือด https://positioningmag.com/1481699 Sun, 07 Jul 2024 08:32:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481699 “บิวตี้ คอมมูนิตี้” เป็นหนึ่งในบริษัทที่ถูกพายุโควิด-19 ซัดกระหน่ำอย่างหนักจนผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่องมา 4 ปี และต้องกลับมา “รื้อ” กลยุทธ์การทำธุรกิจใหม่หลายด้านให้ทันความเปลี่ยนแปลงในตลาด “เครื่องสำอาง” พร้อมกลับมาสู้เพื่อสร้างกำไรอีกครั้ง

“ก่อนหน้านี้เรามีร้าน Beauty Buffet ตามห้างฯ มากกว่า 300 สาขา พอโควิด-19 มาห้างฯ เขาก็ต้องปิด เราก็ต้องปิดด้วย และหน้าร้านรีเทลของเราเป็นช่องทางขายหลัก การปิดร้านจึงทำให้สต็อกเราบวมหนัก สะเทือนมาก” พิศาล ธาราพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY กล่าว

นอกจากถูกปิดช่องทางขายแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สถานการณ์โควิด-19 โหดร้ายกับบิวตี้ คอมมูนิตี้ เกิดจากพื้นฐานเดิมก่อนโควิด-19 แบรนด์หันไปเจาะตลาด “นักท่องเที่ยวจีน” จนลูกค้ากลุ่มนี้เคยเป็นแหล่งรายได้ถึง 40-50% ของยอดขายภายในประเทศ

เมื่อเกิดโรคระบาดและการปิดประเทศ รายได้ส่วนนี้จึงตกฮวบไปโดยปริยาย สะท้อนในผลประกอบการจากปี 2562 บริษัทเคยมีรายได้ 2,021 ล้านบาท กำไรสุทธิ 233 ล้านบาท มาถึงปี 2563 รายได้ร่วงเหลือ 787 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ -105 ล้านบาท และยังขาดทุนต่อเนื่องมาจนถึงปี 2566 แต่ลดน้อยลงเรื่อยๆ จนปีก่อนเหลือรายได้ 441 ล้านบาท ผลขาดทุนสุทธิ -46 ล้านบาท

บิวตี้ คอมมูนิตี้
พิศาล ธาราพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY

“พิศาล” ซึ่งเป็นซีอีโอคนใหม่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคม 2566 บอกว่า บิวตี้ คอมมูนิตี้ดูเงียบหายไปจากตลาดมาตั้งแต่โควิด-19 ด้วยสภาวะที่เรื้อรังมาจากการปิดห้างฯ ทำให้บริษัทต้องปิดสาขาหน้าร้านจากเดิม 300 กว่าสาขา ปัจจุบันเหลือ 48 สาขา และสินค้าค้างสต็อกจำนวนมากทำให้บริษัทต้องเร่งขายสต็อกออกไปก่อน การออกสินค้าใหม่จึงน้อยมากในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ปี 2567 นี้จะเป็นปีแรกที่ “บิวตี้ คอมมูนิตี้” ขอกลับมาผงาดในตลาด “เครื่องสำอาง” โดยซีอีโอพิศาลพร้อมทีมงานด้านการตลาดและโปรดักส์เข้ามาเริ่ม “รื้อ” กลยุทธ์การทำธุรกิจใหม่ตั้งแต่ปีก่อนซึ่งจะเปลี่ยนพื้นฐานวิธีทำตลาดของบิวตี้ คอมมูนิตี้หลายด้าน

 

3 กลยุทธ์ใหม่ “บิวตี้ คอมมูนิตี้”

พิศาลฉายภาพ 3 กลยุทธ์หลักที่จะปรับ บิวตี้ คอมมูนิตี้ ได้แก่

  1. Business Performance – ปรับการทำธุรกิจ เช่น ออกสินค้าใหม่, ทำการตลาดโดยเน้นที่ตัวสินค้า, รีโนเวตหน้าร้านรีเทลให้ลุคทันสมัยขึ้น, เน้นช่องทางขายอื่นนอกจากหน้าร้านมากขึ้น
  2. Cost Efficiency – ปรับปรุงการควบคุมต้นทุน เช่น เพิ่มกำไรขั้นต้นจาก 50% เป็น 52%, สินค้าออกใหม่ต้องมีมาร์จิ้นไม่ต่ำกว่า 70%, ลดค่าโลจิสติกส์สินค้าจาก 4% เหลือ 4.46%
  3. People Management – เพิ่มจำนวนพนักงานจาก 200 คน เป็น 233 คน
บิวตี้ คอมมูนิตี้
หน้าร้าน Beauty Buffet แบบใหม่ ปรับให้ทันสมัย มินิมอลมากขึ้น โดยปีนี้มีการรีโนเวตสาขาเดิมเป็นรูปแบบใหม่ไปแล้ว 4 สาขา

 

มุ่งเป้าวัยรุ่นไทย “Gen Z”– ทุ่มงบการตลาดเท่าตัว

เจาะลึกโจทย์ของบิวตี้ คอมมูนิตี้ที่เป็น ‘pain point’ สำคัญ พิศาลมองว่าจุดหลักคือการวาง “กลุ่มเป้าหมาย” และ “งบการตลาด”

บิวตี้ คอมมูนิตี้มีกลุ่มเป้าหมายที่เน้นกลุ่ม “วัยรุ่น” มาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท แต่เมื่อบริษัทตั้งมานาน 24 ปี กลุ่มลูกค้าดั้งเดิมของร้านก็เติบโตเป็นวัยผู้ใหญ่ไปหมดแล้ว ขณะที่วัยรุ่นในยุคนี้คือคนเจนใหม่ “Gen Z” มีพฤติกรรมและความชอบที่แตกต่างจากวัยรุ่นยุคก่อน หากบริษัทจะยังทำสินค้าจับกลุ่มวัยรุ่นก็ต้องเปลี่ยนทั้งลักษณะสินค้าและการตลาดใหม่หมด

การสื่อสารเน้น Gen Z ไทยมากขึ้น

พิศาลมองว่า ในมุมพฤติกรรมผู้บริโภค Gen Z กับตลาดเครื่องสำอางยุคนี้เรียกว่า “ลอยัลตี้ต่อแบรนด์เป็นศูนย์” ผู้บริโภคพร้อมที่จะเปลี่ยนแบรนด์ตามเทรนด์ สื่อที่ได้รับ ความสะดวกในการซื้อสินค้า หรือราคา/โปรโมชันได้เสมอ นั่นทำให้แบรนด์ใหม่ๆ สามารถเข้ามาชิงตลาดได้ง่ายเพราะผู้บริโภคชอบลองของใหม่

การทำตลาดเครื่องสำอางยุคนี้จึงต้องทุ่มทุนกับ “งบการตลาด” มากกว่าเดิม โดยบิวตี้ คอมมูนิตี้จะเพิ่มงบการตลาดจาก 3% ของยอดขายรวม เพิ่มเท่าตัวเป็น 6% ของยอดขายรวม

 

พรีเซนเตอร์ “เบอร์ใหญ่” ประกบสินค้ารายตัว

งบที่เพิ่มขึ้นจะมีการใช้พรีเซนเตอร์ที่ “เบอร์ใหญ่” มากกว่าเดิม เช่น เมื่อไตรมาส 2 บริษัทประเดิมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ครีมกันแดด ‘Beauty Buffet Invisible Sunscreen UV Protection SPF 50 PA++++’ ประกบคู่กับพรีเซนเตอร์ขวัญใจวัยรุ่น “กลัฟ-คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์” ซึ่งช่วยให้ภาพลักษณ์แบรนด์ทันสมัยขึ้น

ส่วนในไตรมาส 3 นี้บริษัทจะเปิดตัวพรีเซนเตอร์คนใหม่เป็น ‘นักร้องหญิงชื่อดัง’ ประกบเข้ากับสินค้าซีรีส์ใหม่ของบริษัท คือ ‘Beauty Buffet Carissa Series’ สกินแคร์สูตรใหม่สกัดจากมะม่วงหาวมะนาวโห่ที่เพิ่งเริ่มออกวางจำหน่าย

กลัฟ-คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ พรีเซนเตอร์เจาะตลาดวัยรุ่น

นอกจากใช้ดารา/นักร้องเบอร์ใหญ่ขึ้นและตรงเป้าหมาย Gen Z มากขึ้น บริษัทจะทุ่มงบไปกับกลุ่ม KOL ทุกระดับตั้งแต่ Mega-Influencer จนถึง Nano-Influencer และเน้นไปที่ KOL บนแพลตฟอร์ม TikTok เป็นหลัก เพราะเป็นโซเชียลมีเดียที่ Gen Z ไทยนิยมที่สุด

ทั้งหมดนี้จะต่างจากเดิมที่ร้าน Beauty Buffet มักจะใช้งบการตลาดไม่มากจนไม่ได้ผล แบบที่พิศาลเรียกว่า ‘เหมือนน้ำหยดเดียวหยดลงทะเล’ และเปลี่ยนมาใช้พรีเซนเตอร์ปั้นสินค้าให้เป็น ‘Hero Product’ แบบรายตัว

 

ส่ง “ครีมซอง” ลงตลาดเซเว่นฯ

ด้านการปรับ “ช่องทางขาย” จะให้น้ำหนักกับการขายในประเทศเพิ่มขึ้น และกระจายช่องทางไปที่ “Modern Trade” และ “General Trade” มากกว่าเดิม

ปัจจุบัน บิวตี้ คอมมูนิตี้ มีสัดส่วนการขายแบ่งเป็น ส่งออก 33% และขายในประเทศ 67% เฉพาะการขายในประเทศแบ่งสัดส่วนตามช่องทางการขาย คือ

  • 47% รีเทลหน้าร้าน Beauty Buffet
  • 9% อีคอมเมิร์ซ
  • 8% Modern Trade เช่น บิ๊กซี โลตัส ท็อปส์ วัตสัน ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส
  • 1% General Trade (ตัวแทนจำหน่ายเข้าร้านค้าปลีกในต่างจังหวัด)

ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบันชอบที่จะเดินเลือกซื้อสินค้าในร้านที่เป็น ‘Multi-Brand Store’ มีหลายแบรนด์ให้เลือก หรือซื้อบนออนไลน์มากกว่า ทำให้บิวตี้ คอมมูนิตี้จะเน้นขยายช่องทางขายใน Modern Trade มากขึ้นเป็น 10-15% และ General Trade เพิ่มเป็น 3%

บิวตี้ คอมมูนิตี้
“ครีมซอง” เซรั่มในซีรีส์ Carissa ลงตลาดเซเว่น อีเลฟเว่น

เริ่มต้นจากปีนี้เป็นครั้งแรกที่บิวตี้ คอมมูนิตี้เริ่มผลิตสินค้าแบบ “ครีมซอง” ลงขายในเซเว่น อีเลฟเว่น 13,000 สาขาทั่วประเทศ ใช้สินค้าเซรั่มในซีรีส์ใหม่ ‘Beauty Buffet Carissa Hydra Glow Serum’ เป็นตัวชูโรงในการบุกตลาดครีมซองเซเว่นฯ และหลังจากนี้คาดว่าจะมีสินค้ากลุ่มครีมซองออกมาอย่างต่อเนื่อง

สรุปภาพรวมปีนี้ บิวตี้ คอมมูนิตี้ จะกลับสู่ตลาดเต็มตัว เตรียมออกสินค้าใหม่ 30 Items / 46 SKUs วางเป้าให้สินค้าใหม่สร้างยอดขายคิดเป็น 19% ของยอดขายรวม

ขณะที่เป้าหมายรายได้ปี 2567 พิศาลกล่าวว่าบริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 60% จากปีก่อน ส่วนการ เทิร์นอะราวด์กลับมาทำกำไรยังไม่คอนเฟิร์มแต่ หวังว่า จะทำสำเร็จ โดยไตรมาสแรกของปีนี้บริษัททำรายได้ได้แล้ว 119 ล้านบาท เติบโต 25% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ผลขาดทุนสุทธิลดลงเหลือ -1.77 ล้านบาท เห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในการกลับมาของ บิวตี้ คอมมูนิตี้

]]>
1481699
Kirin รุกธุรกิจสกินแคร์ อาหารเสริม ล่าสุดเตรียมควักเงินซื้อหุ้นกิจการ Fancl มูลค่าเกือบ 48,000 ล้านบาท https://positioningmag.com/1478142 Fri, 14 Jun 2024 03:23:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1478142 คิริน (Kirin) ผู้ผลิตเครื่องดื่มหลากชนิดของญี่ปุ่น เตรียมควักเงินซื้อหุ้นที่เหลือของกิจการฟังก์เคล (Fancl) แบรนด์สกินแคร์และเครื่องสำอางชื่อดังเข้าพอร์ต เพื่อเสริมกลยุทธ์ของบริษัทที่ต้องการหารายได้นอกจากธุรกิจเครื่องดื่ม โดยดีลดังกล่าวคิดเป็นเงินไทยแล้วมากถึงเกือบ 48,000 ล้านบาท

Nikkei Asia และ Jiji Press รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Kirin ผู้ผลิตเครื่องดื่มหลากชนิดของญี่ปุ่น ได้รุกธุรกิจสกินแคร์และอาหารเสริมเพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุดบริษัทได้ประกาศทุ่มทุนมากถึง 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ซื้อหุ้นที่เหลือของกิจการฟังก์เคล (Fancl) แบรนด์สกินแคร์และเครื่องสำอางชื่อดังเข้าพอร์ต

สำหรับดีลซื้อหุ้นกิจการ Fancl ทั้งหมดนั้นคิดเป็นเงิน 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยเกือบ 48,000 ล้านบาท ซึ่งผลิตเครื่องดื่มหลากชนิดของญี่ปุ่นได้ให้ราคาพรีเมียมจากราคาซื้อขายมากถึง 28% จากราคาหุ้นเฉลี่ยล่าสุด

Nikkei Asia ยังรายงานข่าวว่าหลังจากการซื้อหุ้นของ Fancl ที่เหลืออยู่แล้วเสร็จ จะมีการนำบริษัทออกจากตลาดหุ้นด้วย

ปัจจุบัน Kirin ถือหุ้นอยู่ใน Fancl อยู่แล้วราวๆ 33% ซึ่งบริษัทได้เริ่มซื้อหุ้นของกิจการดังกล่าวในปี 2019 สัดส่วน 30.3% มูลค่า 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากบริษัทต้องการที่จะหารายได้เพิ่มเติมในธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากธุรกิจเครื่องดื่มอย่างเบียร์ ที่ยอดขายในญี่ปุ่นลดลงในช่วงที่ผ่านมา

ไม่เพียงเท่านี้ Fancl เองได้รุกเข้าธุรกิจอาหารเสริม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Kirin เข้าซื้อหุ้นบริษัททั้งหมด เนื่องจากเป็นกลยุทธ์ที่ตรงกับบริษัทที่ต้องการเติบโตในธุรกิจอื่น โดยตัวเลขจาก Euromonitor ตลาดอาหารเสริมและวิตามินเติบโตในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 133,600 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับแบรนด์ Fancl นั้นเคยมีสินค้าวางขายหน้าร้านในประเทศไทยมาแล้ว ก่อนที่บริษัทจะออกจากตลาดในช่วงปี 2009 ซึ่งสินค้าของแบรนด์จากญี่ปุ่นรายนี้ส่วนใหญ่วางขายผ่านพ่อค้าแม่ค้าได้หิ้วสินค้าเข้ามาจำหน่ายในช่องทางออนไลน์

ล่าสุดทาง Kirin ได้ออกมากล่าวว่า บอร์ดบริหารของบริษัทกำลังพิจารณาในเรื่องดังกล่าวอยู่ และจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้

ที่มา – Nippon, Nikkei Asia, CNA

]]>
1478142
บิ๊กมูฟ! “นูโทรจีนา” แตกไลน์กลุ่ม “เรตินอล” มาช้าแต่ชัวร์ หลังเน้นกลุ่มคลีนเซอร์มานาน https://positioningmag.com/1478094 Fri, 14 Jun 2024 03:18:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1478094 ตลาดบิวตี้ยังเป็นเป็นตลาดดาวรุ่งที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งเติบโตทั้งในส่วนของสกินแคร์ และเครื่องสำอาง แต่ด้วยเทรนด์การดูแลสุขภาพทำให้สาวๆ หลายคนเริ่มใส่ในในการดูแลผิวแบบองค์รวมมากขึ้น ทำให้ตลาดสกินแคร์เติบโตแบบไม่ต้องสงสัย

ตลาดสินค้าสกินแคร์บำรุงผิวหน้าในไทยมีมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท เติบโต 13% ในปีที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าในปี 2567 จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้องบอกว่าแต่เดิมประเทศไทยมีค่านิยมด้านความงามที่เน้นผิวขาว กระจ่างใส ผิวขาวอมชมพู หุ่นดี แบรนด์ต่างๆ จึงเน้นทำสูตรที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค สกินแคร์กลุ่มผิวกระจ่างใสจึงเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุดของกลุ่มสกินแคร์

แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสาวๆ เริ่มให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมชาติมากขึ้น แล้วเน้นที่สุขภาพของผิวไม่ว่าจะเป็นความชุ่มชื่น ผิวแข็งแรง รวมไปถึงเมื่อก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องริ้วรอยมากขึ้น โดยหันมาใส่ใจดูแลผิวด้วยสกินแคร์ล็อกอายุผิวที่ตอบโจทย์ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า สกินแคร์กลุ่มแอนตี้เอจจิ้ง หรือลดริ้วรอยเริ่มมีบทบาทมากขึ้น หลายแบรนด์เริ่มเพิ่มไลน์สินค้ากลุ่มนี้ หรือแบรนด์ไหนที่มีอยู่แล้วก็กลับมาให้น้ำหนักมาขึ้น ออกสินค้าใหม่มากขึ้น 

แต่ก่อนในตลาดรวมนั้น กลุ่มผิวกระจ่างใส หรือไวท์เทนนิ่งจะมีสัดส่วนถึง 60-70% แต่ปัจจุบันมีสัดส่วนลดลงมาที่ 50% และกลุ่มแอนตี้ เอจจิ้งมีสัดส่วน 40% ทำให้ได้เห็นทิศทางของการเติบโตของตลาดได้อย่างดี

Neutrogena

“นูโทรจีนา (Neutrogena)” หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดสกินแคร์สัญชาติอเมริกัน แต่เดิมคนไทยอาจจะคุ้นเคยกับสินค้ากลุ่ม “ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า” เพราะเป็นพอร์ตใหญ่ของนูโทรจีนา ประเทศไทย

ในปีนี้นูโทรจีนาได้เขย่าพอร์ตด้วยการขยับไปสู่กลุ่ม “เรตินอล” เป็นครั้งแรก รับเทรนด์แอนตี้ เอจจิ้ง ได้เปิดตัว “NEUTROGENA® VISIBLE REPAIR (นูโทรจีนา วิซิเบิล รีแพร์)” ชูจุดแข็งด้วยนวัตกรรม Dual Action ดูแลผิวสองขั้นตอนในหนึ่งเดียว ด้วยเรตินอล ผสานกับแอนตี้ออกซิแดนซ์ ลดริ้วรอยลึกใน 7 วัน และลดโอกาสเกิดริ้วรอยใหม่ 

หลายคนมองว่ากลุ่มสินค้าเรตินอลเริ่มได้ยินมานานแล้ว หลายแบรนด์ได้ออกสินค้ากันโครมคราม ดูจะไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่ที่ผ่านมาสารเรตินอลมีข้อจำกัดที่ว่าบางคนใช้แล้วแพ้ หรือต้องใช้ควบคู่กับมอยเจอร์ไรเซอร์หนาๆ รวมไปถึงไม่สามารถใช้ได้ทุกวัน เพราะจะเกิดการระคายเคืองต่อผิว

นูโทรจีนาจึงมองว่า มาช้าแต่ขอชัวร์ ใช้เวลา 1-3 ปีในการพัฒนากลุ่มเรตินอล โดยอุดช่องว่างต่างๆ ที่เคยมีมา พัฒนาให้สินค้าใช้ได้ทุกวันโดยไม่ระคายเคือง โดยเปิดตัวในระดับโกลบอลได้หลายปีแล้ว แต่ได้ฤกษ์เปิดตัวในโซนเอเชียในปีนี้ โดยเปิดตัวที่ไต้หวันเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นประเทศที่ 2 ที่เปิดตัวสินค้าตัวนี้

Neutrogena

ชวีนา จิตรสมบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด นูโทรจีนา ประจำประเทศไทย กัมพูชา ลาว และเมียน มา เล่าว่า 

“การเปิดตัวสินค้าตัวนี้ถือเป็นบิ๊กมูฟครั้งใหญ่ในรอบ 4-5 ปีของนูโทรจีนา ประเทศไทย ไม่ได้ออกสินค้าใหม่มานาน แต่ก่อนแบรนด์จะแข็งแรงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ล้างหน้า การมีสินค้าเรตินอลเข้ามาช่วยมาเสริมพอร์ตกลุ่มมอยเจอร์ไรเซอร์ ทำให้มีพอร์ตสินค้ากว้างขึ้น เราอาจจะมาช้า แต่เน้นชัวร์ พัฒนาสินค้าให้ลูกค้าใช้แล้วไม่แพ้ สามารถใช้ได้ทุกวัน”

NEUTROGENA® VISIBLE REPAIR สูตรเรตินอล มีทั้งหมด 3 รายการ ได้แก่

– นูโทรจีนา วิซิเบิล รีแพร์ เรเจเนเรทติ้ง ครีม สูตรเรตินอล (Regenerating Cream) 

– นูโทรจีนา วิซิเบิล รีแพร์ เซรั่ม สูตรเรตินอล (Serum) 

– นูโทรจีนา วิซิเบิล รีแพร์ ครีมบำรุงรอบดวงตา สูตรเรตินอล (Eye Cream) 

จำหน่ายในราคาชิ้นละ 999 บาท โดยสินค้าจะวางจำหน่ายเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะบิวตี้สโตร์ และอีคอมเมิร์ซ โดยที่มีเซตขนาดทดลองในราคา 599 บาท เฉพาะที่วัตสัน

ปัจจุบันนูโทรจีนา ประเทศไทยมีสินค้าใน 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหน้า 60% มอยเจอร์ไรเซอร์ 30% และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย 10% หลังจากเปิดตัวสินค้าใหม่ คาดว่าสัดส่วนสินค้ากลุ่มมอยเจอร์ไรเซอร์จะมีสัดส่วน 50% 

การเปิดตัวสินค้ากลุ่มเรตินอลในครั้งนี้ ยังมีนัยสำคัญในการปรับภาพแบรนดิ้งให้พรีเมียมขึ้นอีกด้วย โดยที่ Positioning ของระดับโกลบอลเป็นสกินแคร์ในระดับเวชสำอางแล้ว เพราะมีสินค้าที่หลากหลาย ส่วนในประเทศไทยวางจุดยืนเป็นสกินแคร์ระดับพรีเมียมแมส แต่ไม่เกิน 2 ปีจะเริ่มขยับภาพเป็นเวชสำอางเช่นกัน โดยที่จะมีสินค้าตัวใหม่เข้ามาเติม น่าจะได้เห็นอีกทีในปีหน้า

]]>
1478094
คุยกับ ‘วุ้นเส้น’ กับภารกิจพา ‘เซวา’ ลบคำครหา “แบรนด์ดาราที่มาแล้วไป” https://positioningmag.com/1477263 Mon, 10 Jun 2024 06:02:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477263 หากพูดถึง สกินแคร์และเครื่องสำอาง ถือเป็นตลาดใหญ่ที่มีการแข่งขันสูง ไม่ใช่แค่จากแบรนด์ต่างประเทศ แต่แบรนด์ในประเทศเองก็มีแบรนด์เกิดใหม่ปีละเป็นร้อย ๆ แบรนด์ โดยเฉพาะแบรนด์จาก ดารา อินฟลูเอนเซอร์ ที่ถือว่ามีแต้มต่อด้วยชื่อเสียงที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักได้ง่ายกว่า แต่ก็จะมีคำครหาว่ามา โกยเงินแล้วก็ไป

เซวา (Sewa) ถือเป็นอีกแบรนด์สกินแคร์ของไทยที่ก่อตั้งโดยนักแสดงและนางแบบชื่อดังอย่าง วุ้นเส้น วิริฒิพา ภักดีประสงค์ ที่ร่วมกับ ปุ๊ก เบญจกิติ เมฆแสน ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ เซวา ไทยแลนด์ โดยเซวา มีฮีโร่โปรดักส์ที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักก็คือ น้ำตบโสมแดง ที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักตั้งแต่ปีที่ 2 หลังจากก่อตั้ง จนปัจจุบัน เซวากำลังเข้าสู่ปีที่ 9 แล้ว

“เมื่อก่อนเราเป็นพรีเซ็นเตอร์มาตลอด เลยอยากจะมีแบรนด์ของตัวเอง จนเราได้คุยกับปุ๊กที่สนใจในธุรกิจความงามอยู่แล้ว และก็เคยทำธุรกิจเกี่ยวกับแฟชั่น เสื้อผ้า และเครื่องประดับ เลยตกลงที่จะร่วมกันทำแบรนด์เซวา ที่มาจากชื่อของดอกไม้เกาหลี” วุ้นเส้น เล่า

แบรนด์ดารามาพร้อมคำครหา

แน่นอนว่าการที่เป็นคนมีชื่อเสียงมาทำแบรนด์ จะช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักได้ง่ายกว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าก็มี คำครหา ว่า ของดีจริงไหม และจะมาแค่ โกยเงินแล้วก็หายไป ไม่ได้ทำจริงจังหรือเปล่า ดังนั้น นี่จึงเป็นความท้าทายสำคัญที่ทำให้เซวาต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ ส่งผลให้เรื่อง คุณภาพและความจริงใจ คือสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญที่สุด เพราะแบรนด์ในตลาดมีเยอะ ผู้บริโภคมีโอกาสเปลี่ยนบ่อย

“มุมมองเขาจะคิดว่าเป็นดารามาทำมันง่าย ต้องพิสูจน์ไม่ใช่สินค้ากระแส หรือฉาบฉวย เพราะถ้าใช้ไม่ได้จะโดนมากกว่าคนปกติ เราก็ต้องทำให้ดี ให้คนมาว่าไม่ได้ และเราใช้งานจริงตลอด ทำให้อยู่มาได้ 8 ปี” วุ้นเส้น กล่าว

ปัจจุบันสินค้าของเซวามีทั้งหมด 14 SKU ทั้งสกินแคร์ คอสเมติก โดยสินค้าทั้งหมดผลิตในประเทศเกาหลีใต้ พร้อมกับใช้ทีมวิจัยจากเกาหลีร่วมกับคนไทย เพื่อคิดสูตรให้เหมาะกับผิวคนไทย

ถึงเวลาขยับเข้าหาวัยรุ่น

ที่ผ่านมา กลุ่มลูกค้าหลักของเซวามีอายุช่วง 30-70 ปี สอดคล้องกับสินค้าขายดีอย่างน้ำตบโสมแดงที่เน้นเรื่องการชะลอวัย ทำให้การตลาดที่ผ่านมาของแบรนด์ เกือบ 100% ใช้สื่อทีวี โดยแต่ละปีใช้งบการตลาดประมาณ 70 ล้านบาท โดยแบรนด์มักใช้ดาราระดับ นางเอก

อย่างไรก็ตาม เซวาต้องการเข้าถึงกลุ่ม วัยรุ่น มากขึ้น ดังนั้น แผนการตลาดในปีนี้จะลดน้ำหนักสื่อทีวีเหลือ 50% อีก 50% จะหันไปใช้ สื่อออนไลน์และอินฟลูเอนเซอร์ มากขึ้น พร้อมกับใช้ เก๋ไก๋ ณัฐธิชา นามวงษ์ อินฟลูเอนเซอร์คนดังที่ปัจจุบันขึ้นแท่นเป็นนางเอก มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ครีมกันแดด SEWA Ultra Hybrid Sunscreen SPF50+ PA++++ นอกจากนี้ แบรนด์มีการออกแบบแพ็กเกจจิ้งสินค้าใหม่ให้ดูเด็กลงอีกด้วย

“ที่ผ่านมาเราใช้แต่นางเอกหรือคนดังอย่าง มดดำ คชาภา ตันเจริญ แต่ทิศทางของแบรนด์จากนี้ต้องการเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่น ดังนั้น แผนการตลาดเราต้องปรับใหม่ ใช้ออนไลน์มากขึ้น ดึงเก๋ไก๋มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพราะตอนนี้วัยรุ่นหันมาดูแลตัวเองกันเร็ว”

ตลาดสกินแคร์เป็นฟาสต์แฟชั่นไปแล้ว

ปุ๊ก เบญจกิติ ยอมรับว่า ในตลาดสกินแคร์ตอนนี้แข่งขันสูงมาก มีแบรนด์เกิดใหม่เป็นร้อยแบรนด์ในแต่ละปี เรียกได้ว่าตลาดสกินแคร์เป็นเหมือน ฟาสต์แฟชั่น (Fast fashion) ดังนั้น เซวาจะเพิ่มสินค้าใหม่ ๆ เข้ามาในตลาดกลุ่ม พรีเมียมแมส อย่างต่อเนื่อง โดยปีหน้ามีแผนจะออกสินค้าสำหรับ ผู้ชาย โดยเฉพาะ รวมถึงมีแผนจะขยายไปในประเทศ จีน โดยกำลังศึกษาตลาดอยู่

ปัจจุบันช่องทางจัดจำหน่ายของแบรนด์ 60% เป็นออฟไลน์ โดยเฉพาะในโมเดิร์นเทรด อีก 40% เป็นออนไลน์ โดยจากนี้ เซวาจะเน้นออก ครีมซอง เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินค้าได้ง่ายมากขึ้น โดยปัจจุบันครีมซองของเซวามีทั้งหมด 10 SKU เพิ่มจาก 3 SKU เมื่อ 4 ปีก่อน

“สกินแคร์ยังเป็นกลุ่มที่เติบโตแม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่เราต้องทำให้ราคามันจับต้องได้ และสกินแคร์เหมือนฟาสต์แฟชั่น มีแบรนด์ใหม่พร้อมเข้ามา ดังนั้น เราต้องทำให้ดีเพื่อให้เขาไม่เปลี่ยนใจ และคุณภาพจะทำให้เราอยู่ยาว” เบญจกิติ กล่าว

วุ้นเส้น วิริฒิพา ภักดีประสงค์ และ ปุ๊ก เบญจกิติ เมฆแสน

เป้า 500 ล้าน และเป็นแบรนด์ในใจเหมือนมิสทีน

สำหรับยอดขายปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 500 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามีรายได้กว่า 400 ล้านบาท โดยในส่วนของ SEWA Ultra Hybrid Sunscreen SPF50+ PA++++ ตั้งเป้ายอดขาย 5 แสนหลอดในสิ้นปี โดยเป้าหมายระยะยาวทั้ง วุ้นเส้นและปุ๊ก มองว่าอยากเป็น แบรนด์ชั้นนำของไทย เหมือนกับ มิสทีน (Mistine) หรือ สมูทอี (Smooth-E) ที่เป็นที่รู้จักทั่วประเทศและขยายตลาดไปยังต่างประเทศ เพื่อลบมายด์เซ็ทที่ว่า แบรนด์ดารามาแล้วก็ไป

]]>
1477263
P&G เผยยอดขาย SK-II ในจีนไตรมาสที่ผ่านมาลดลง 34% สาเหตุมาจากการแบนสินค้าจากญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1460196 Wed, 24 Jan 2024 18:25:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1460196 P&G ได้เปิดเผยยอดขาย SK-II ในจีนไตรมาสที่ผ่านมาของปี 2023 ลดลง 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2022 สาเหตุมาจากการแบนสินค้าแบรนด์ญี่ปุ่น เนื่องจากกรณีการปล่อยน้ำเสียจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ และยังรวมถึงปัญหาผู้บริโภคชาวจีนที่ไม่จับจ่ายใช้สอยจากสภาวะเศรษฐกิจ

Procter & Gamble หรือ P&G ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของแบรนด์สกินแคร์ชื่อดังจากญี่ปุ่นอย่าง SK-II ได้รายงานผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาของปี 2023 โดยยอดขายแบรนด์สกินแคร์ดังกล่าวตกลงมากถึง 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2022

ผู้บริหารของ P&G ได้ยอมรับว่าสาเหตุสำคัญมาจาก การแบนสินค้าแบรนด์ญี่ปุ่นจากการปล่อยน้ำเสียจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่ทะเลเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2023 ที่ผ่านมา เหตุดังกล่าวทำให้รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการแบนอาหารทะเลจากญี่ปุ่น นอกจากนี้ชาวจีนเองยังกังวลว่าสินค้าของแบรนด์สกินแคร์ดังกล่าวอาจปนเปื้อนส่วนผสมที่มีสารกัมมันตภาพรังสีด้วย

การปล่อยน้ำเสียของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ดังกล่าว ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศยืนยันถึงความปลอดภัย รวมถึง UN ก็ออกมาไฟเขียวในเรื่องดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความเชื่อมั่นของชาวจีนกลับมาสูงขึ้นด้วยซ้ำ

อีกสาเหตุที่สำคัญคือ SK-II ยังประสบปัญหายอดขายไม่ฟื้นตัวในประเทศจีน เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจ การจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะชนชั้นกลางในประเทศจีนเป็นหลักซึ่งกำลังประสบปัญหาไม่จับจ่ายใช้สอยอย่างที่ควร ซึ่งกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเป็นเป้าหมายสำคัญของแบรนด์จากญี่ปุ่นรายนี้

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แบรนด์ดังกล่าวถูกแบนจากกลุ่มลูกค้าชาวจีน แต่ในช่วงที่ผ่านมา CEO ของ P&G เองเคยได้เตือนถึงความตึงเครียดระหว่างจีนกับญี่ปุ่นจะส่งผลกระทบต่อยอดขาย SK-II แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนักยอดขายของแบรนด์สกินแคร์ดังกล่าวนั้นฟื้นตัวกลับมาเสมอ ซึ่งแตกต่างกับครั้งนี้

ขณะเดียวกันแบรด์ญี่ปุ่นรายอื่นต่างก็เคยโดนชาวจีนแบนมาแล้ว เช่น ในปี 2012 ที่ Uniqlo ต้องปิดสาขาในประเทศจีนชั่วคราว หรือแม้แต่กรณีการใช้ฝ้ายที่มาจากมณฑลซินเจียง เป็นต้น

อย่างไรก็ดี Andre Schulten ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการเงินของ P&G ได้กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทได้ทำวิจัยผู้บริโภคในประเทศจีน บริษัทเชื่อว่ายอดขายของ SK-II จะกลับมาฟื้นตัวได้ภายในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2024 ได้

ที่มา – BBC, CNBC

]]>
1460196
BEAUTRIUM จากร้านเล็กๆ ที่ประตูน้ำ บุกเบิกโดย 2 พี่น้อง สู่อาณาจักรบิวตี้ 2,000 ล้าน https://positioningmag.com/1451163 Thu, 09 Nov 2023 08:19:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1451163 ตลาดมัลติแบรนด์สโตร์ยังคงเป็นตลาดเนื้อหอม โดยเฉพาะบิวตี้สโตร์ ตอนนี้มีหลากหลายแบรนด์ทั้งแบรนด์ไทย และต่างชาติต่างตบเท้าเข้ามา ยกตัวอย่างเช่น EVEANDBOY, Shephora, Multy, BEAUTRIUM และ KIS Beauty Store

BEAUTRIUM เป็นหนึ่งในแบรนด์ใหญ่สัญชาติไทย ที่มีอายุ 12 ปีแล้ว กำลังก้าวเข้าสู่รายได้หลัก 2,000 ล้านบาท โดยที่จุดเริ่มต้นของแบรนด์เกิดจากร้านเล็กๆ ที่ประตูน้ำเท่านั้น

BEAUTRIUM ได้เริ่มก่อตั้งในปี 2555 โดย 2 พี่น้อง บอย – จิรวุฒิ โรจน์รัตนวลี CEO และ แจ็ค – อติโรจน์ โรจน์รัตนวลี CMO ในขณะนั้นบอยอายุได้ 30 ปี และแจ็คอายุ 27 ปีเท่านั้น จริงๆ แล้วทั้งคู่มีธุรกิจครอบครัวเป็นโรงงานผลิตเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย รับผลิตแบบ OEM ให้แบรนด์ต่างๆ แต่เริ่มมองเห็นโอกาสของตลาดบิวตี้ เครื่องสำอางว่า ในยุคนั้นยังไม่มีร้านที่มีสินค้าแบบครบวงจรอยู่ในที่เดียว ใครที่อยากหาสกินแคร์ เครื่องสำอางต้องหาซื้อตามตู้กระจกตามศูนย์การค้า หรือดรักสโตร์ ประกอบกับทั้งคู่มีคอนเนกชั่นของกลุ่มเพื่อนที่อยู่ในแวดวงเครื่องสำอางอยู่ด้วย เลยตัดสินใจลงมาทำธุรกิจนี้

BEAUTRIUM
BEAUTRIUM สาขาแรกที่ประตูน้ำ

เลือกโลเคชั่นที่เลือกเปิดสาขาแรกก็คือ “ประตูน้ำ” (ศูนย์การค้าวอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน) เพราะตอนนั้นมีทั้งขายส่ง และขายปลีก เลยเลือกที่ประตูน้ำเพราะมีการขายส่งเสื้อผ้าเยอะ เป็นร้านเล็กๆ เป็นแค่โมเดลซื้อมาขายไป แต่พอเปิดร้านไปได้พักหนึ่งก็พบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อปลีกเยอะ จึงย้ายร้านมาที่สยามสแควร์ ในตอนนี้เป็นดิจิทัลเกตเวย์ แต่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นเซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์

คำว่า BEAUTRIUM มาจากการรวมกันของคำว่า Beauty สินค้าความสวยความงาม และ Atrium อาณาจักร ที่กว้างๆ รวมกันเป็นแหล่งรวบรวมสินค้า และนวัตกรรมต่างๆ

BEAUTRIUM

หลังจากเปิดสาขาที่สยามแล้ว ในปี 2559 ก็เริ่มจำหน่ายสินค้าอินเตอร์แบรนด์มากขึ้น ปี 2561 เริ่มจำหน่ายช่องทางออนไลน์ และปี 2566 ก็เริ่มขยายสาขาที่ต่างจังหวัดครั้งแรก ทำให้ปัจจุบัน BEAUTRIUM มีสาขารวมทั้งหมด 34 สาขา ภายในปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 3 สาขา สิ้นปีก็จะมีครบ 37 สาขา

ปัจจุบัน BEAUTRIUM มีสินค้าพันกว่าแบรนด์ รวมกว่า 100,000 SKU ภายในร้านเป็นกลุ่มสกินแคร์ และเครื่องสำอาง 70% ได้ขยายเพิ่มไลน์อื่นๆ เช่น บิวตี้ แกดเจ็ต, ไลฟ์สไตล์, น้ำหอม, ขนม และเครื่องดื่ม เพื่อให้ครอบคลุมทุกเจน และทุกไลฟ์สไตล์มากขึ้น

โอกาสอยู่ที่ต่างจังหวัด ต้องเปิดให้ครบทุกภาค

BEAUTRIUM มีพื้นที่ร้านค้าเฉลี่ยอยู่ที่ 200-700 ตารางเมตร แบ่งเป็น 4 โมเดล ได้แก่ แฟลกชิปสโตร์ มีพื้นที่ขนาดใหญ่สุด, เมก้า สโตร์, ร้านขนาดปกติ และร้านขนาดเล็ก พื้นที่ 150 ตารางเมตร เป็นโมเดลทดลองเน้นเข้าพื้นที่ชุมชน ลองเปิดสาขาแรกที่ตึกจี ทาวเวอร์ และกำลังศึกษาผลตอบรับอยู่

ในปีนี้ได้ประกาศงบลงทุน 2,000 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศภายในปี 2570 แต่แผนในระยะสั้นต้องการขยายสาขาให้ครบทุกภูมิภาคก่อนในปี 2567 ตอนนี้ยังขาดสาขาที่ภาคเหนือ ในปีหน้าจะขยายสาขาอีก 10 สาขา

BEAUTRIUM

จิรวุฒิ โรจน์รัตนวลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวเทรี่ยม จำกัด บอกว่า

“ในสิ้นปีนี้ BEAUTRIUM มีสาขารวม 37 แห่ง ใน 10 จังหวัด ตั้งเป้าว่าปีหน้าจะเปิดสาขาให้ครบทุกภูมิภาค ก่อนที่จะขยายให้ครบทุกจังหวัดภายในปี 2570 ซึ่งพื้นที่ต่างจังหวัดมีโอกาสสูง คู่แข่งน้อยกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นร้านท้องถิ่นเจ้าใหญ่ที่อาจจะมีสินค้าไม่ครบ ตอนนี้พฤติกรรมของคนต่างจังหวัดไม่ต่างจากคนกรุงเทพฯ เท่าไหร่ มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ต้องการสินค้าเหมือนกับคนกรุง”

อาณาจักรบิวตี้ 2,000 ล้าน

ในปีนี้ BEAUTRIUM มีอายุครบ 12 ปี เมื่อถามถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญของบริษัท สร้างการเติบโตแบบกก้าวกระโดดนั้น ต้องย้อนกลับไปปี 2561 ที่เริ่มขยายสาขาเยอะขึ้น และมีแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเติม ทำให้ยอดขายเริ่มเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ

และเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมานี่เอง BEAUTRIUM มีรายได้แตะพันล้านครั้งแรก ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มคลายล็อกดาวน์ และเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอย่างเต็มที่หลังจากสถานการณ์ COVID-19

BEAUTRIUM

คาดว่าปีนี้จะมีรายได้แตะ 2,000 ล้านบาท มีการเติบโต 112% แบ่งสัดส่วนรายได้เป็น สกินแคร์ 37% เครื่องสำอาง 35% น้ำหอม 8% และอื่นๆ 20% โดยที่ลูกค้ามีการใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 800 บาท/บิล

หลังจากที่ขยายสาขาในไทยได้ครอบคลุมแล้ว ตอนนี้ยังเริ่มศึกษาตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม เริ่มจากโซน CLMV และเอเชีย มีการศึกษาด้านกฎหมาย อ.ย. และสภาพธุรกิจแต่ละประเทศ ตอนนี้มองว่าประเทศเวียดนามน่าสนใจมากที่สุด เพราะมีหลายๆ อย่างใกล้เคียงประเทศไทย

]]>
1451163
Cute Press รีแบรนด์ครั้งใหญ่! ย้ำจุดยืน “อยู่เมืองร้อน..อยากสวยต้องได้สวย” ร้อนแค่ไหนก็เอาอยู่ https://positioningmag.com/1418751 Tue, 14 Feb 2023 04:00:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1418751

ต้องบอกว่าในการทำการตลาดในปัจจุบัน การเข้าใจในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างทั้งทางกายภาพ และจิตใจ เราจึงได้เห็นหลายแบรนด์เริ่มทำการตลาดแบบ Personalize หรือเจาะตามความต้องการของแต่ละบุคคล

ในตลาดบิวตี้ก็เช่นเดียวกัน ทั้งในกลุ่มของสกินแคร์ และเครื่องสำอาง ได้เริ่มเห็นทิศทางในการทำตลาดแบบปัจเจกบุคคลมากขึ้น เพราะหนุ่มๆ สาวๆ ทั่วโลกมีความแตกต่างกัน ภูมิประเทศ ภูมิอากาศเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสภาพผิวของแต่ละคนอีกด้วย อย่างประเทศไทยที่มีอากาศร้อนชื้นตลอดทั้งปี ส่งผลทำให้หน้ามัน ผิวคล้ำ ถ้าเลือกสกินแคร์ หรือเครื่องสำอางไม่ตรงกับสภาพผิว ก็อาจจะทำให้ผิวพังไปเลยก็ได้

สิ่งที่น่าสนใจในตลาดตอนนี้ก็คือ แบรนด์ Cute Press ที่หลายคนรู้จักกันอย่างดี ได้เข้าใจพฤติกรรมคนไทยที่ต้องเผชิญปัญหาผิวของคนเมืองร้อนได้อย่างดี ได้พัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์กับสภาพอากาศเมืองร้อนโดยเฉพาะ

Cute Press ได้ทำตลาดมากว่า 47 ปี มีความเข้าใจความต้องการของคนในเขตร้อนชื้นอย่างลึกซึ้ง จากประสบการณ์ทั้งในด้าน R&D และ Customer insight research จึงได้พัฒนาคิดค้นผลิตภัณฑ์สูตรเฉพาะที่ตอบโจทย์ Tropical Lifestyle เพื่อให้ทุกคนสามารถมีความสุขใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ และสวยชนะสภาพอากาศร้อนชื้นได้ โดยมีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะเป็นเมคอัพ, สกินแคร์, บอดี้แคร์, น้ำหอม หรือผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถเอาชนะปัญหาผิวของคนเมืองร้อนได้จริง

ในปีนี้ Cute Press ได้โอกาสรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Tropical Life is Beautiful” ประกาศจุดยืนเป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่คิดค้นมาเพื่อคนเมืองร้อนโดยเฉพาะ มาพร้อมแอตติจูดสุดเริ่ด “อยู่เมืองร้อน อยากสวยต้องได้สวย” โดยปล่อยภาพยนตร์โฆษณาที่ encourage ให้ทุกคนออกไปใช้ชีวิตเริงร่าท้าเมืองร้อนเหนือจรดใต้ เพราะมีผลิตภัณฑ์ Cute Press เคียงข้างทุกคนให้สวยมั่นใจได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า

โดยเนื้อหาภาพยนตร์โฆษณาเรื่องนี้มีไอเดียแหวกแนวจากตลาดบิวตี้ ใช้โอกาสเปิดประเทศหลังสถานการณ์ COVID-19 และกระแสการท่องเที่ยวที่กำลังบูม เพื่ออวดของดีเมืองไทยเปรียบเทียบความสวยของผู้คน และความงามของเมืองร้อนเช่นเมืองไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ต้องได้คนที่เข้าใจจริงๆ ถึงจะคิดค้นผลิตภัณฑ์ความงามที่ตอบโจทย์คนเมืองร้อนได้ โดยมีแบรนด์ Cute Press เป็นคำตอบสุดท้าย

ไม่ว่าจะเป็นแป้งผสมรองพื้นที่สวยเป๊ะได้ทั้งวัน หรือ กันแดด Tone-up ที่ไม่ไหล ไม่มันเยิ้มต่อให้เผชิญสภาพอาการของเมืองไทย แม้แต่ Hair Mist ที่หอมชนะเลิศหน้าเตาปิ้งย่าง ไปจนถึงเซรั่มที่เนื้อบางเบาไม่เหนอะหนะติดหมอน แต่ยังฟื้นบำรุงผิวอย่างเข้มข้น ฯลฯ เรียกว่าเป็นการคิดค้นมาเพื่อคนเมืองร้อนโดยเฉพาะ บริโภคแบบครบลูป

ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของแบรนด์ที่ออกมาประกาศ Brand concept ใหม่ และยังวางแผนเดินหน้าบุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีสภาพอากาศร้อนชื้นไม่ต่างจากบ้านเรา เรียกได้ว่าเป็น Beauty Solution สำหรับ Tropical Life

ไม่ว่าอากาศร้อนจะเป็นอุปสรรคขนาดไหน Cute Press ก็พร้อมซัพพอร์ตให้ทุกคนมั่นใจและออกไปใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ด้วยความเชื่อที่ว่า “Tropical Life is Beautiful” “อยู่เมืองร้อน อยากสวยต้องได้สวย”

ร่วมเอาใจช่วยและร่วมสนับสนุนแบรนด์ความงามคุณภาพของไทยสามารถติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์และกิจกรรมต่างๆของ Cute Press ได้ที่ Facebook Cute Press หรือชมโฆษณาฉบับเต็มที่


]]>
1418751
ส่องเทรนด์ “บิวตี้” ปี 2022 คนไทยนิยม “สกินแคร์” ที่ชูโรงเรื่อง “ส่วนผสมสำคัญ” มากขึ้น https://positioningmag.com/1414579 Wed, 04 Jan 2023 11:55:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1414579 เทรนด์สินค้า “บิวตี้” ปี 2022 จากการวิจัยโดย Mintel พบว่า คนไทยนิยม “สกินแคร์” ที่ชูจุดเด่นด้าน “ส่วนผสมสำคัญ” มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นโอกาสผู้ประกอบการในการโปรโมตสินค้าด้วยสารบำรุง และเสนอส่วนผสมอื่นที่น่าสนใจให้กับตลาด

วงการบิวตี้ปี 2022 มีอะไรมาแรงที่น่าจะส่งผลต่อเนื่องมาถึงปีนี้บ้าง? Mintel วิจัยในคนไทยอายุมากกว่า 18 ปี จำนวน 2,000 คน พบว่า โควิด-19 ทำให้มุมคิดของคนไทยใส่ใจเรื่องสุขภาพผิวจากภายในสู่ภายนอกกันมากขึ้น โดยมีคนไทย 40% ที่รับประทานอาหารเสริมเพื่อดูแลความงาม

แนวความคิดนี้ส่งต่อมาถึงการเลือกสกินแคร์สำหรับใช้ภายนอก การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บิวตี้ของคนไทยไม่ได้มองแค่การบอกคุณสมบัติว่าผลิตภัณฑ์นั้นใช้แล้วได้ประโยชน์อย่างไร แต่ใส่ใจกับการเลือก “ส่วนผสมสำคัญ” ของสกินแคร์นั้นๆ มากขึ้น

สกินแคร์ บิวตี้ ไทย
Photo: Cotton Bro Studio / Pexels

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคนไทยยังรู้จักส่วนผสมสารบำรุงในสกินแคร์น้อยชนิด จากการวิจัยของ Mintel มีคนไทย 52% ที่รู้จักชนิดของสารบำรุงน้อยกว่า 4 ชนิดจาก 9 ชนิดที่สำรวจ

สารบำรุงที่คนไทยรู้จักมากที่สุด ปรากฏว่าเป็น “Hyaluronic Acid” ซึ่งมีคนไทย 49% รู้จักส่วนผสมนี้ ส่วนสารบำรุงอื่นๆ ที่มีคนรู้จักเรียงตามลำดับมากไปน้อย ได้แก่

  • Hyaluronic Acid – (49%) คนไทยเรียกกันติดปากว่า “ไฮยา” รู้จักในฐานะสารที่ช่วยกักเก็บน้ำในชั้นผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ
  • AHA – (40%) คนไทยรู้จักว่าเป็นสารที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดรอยดำด่าง
  • Cica – (39%) สารต้านอนุมูลอิสระช่วยรักษาสิว ลดการระคายเคือง
  • Probiotic – (35%) จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ นำมาใช้ในสกินแคร์เพื่อปรับสมดุลแบคทีเรียบนผิวหน้า
  • Peptide – (34%) สารบำรุงที่ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวเต่งตึง
  • Ceramide – (34%) สารที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในผิว เหมาะกับผิวที่ขาดน้ำ
  • Zinc – (30%) แร่ธาตุสังกะสีช่วยป้องกันการเติบโตของแบคทีเรีย ลดความมันอุดตัน ทำให้ลดปัญหาสิว
  • Petroleum Jelly – (21%) สารที่ใช้ป้องกันผิวแห้ง รักษาความชุ่มชื้น
  • Niacinamide – (21%) หรือก็คือวิตามินบี 3 ช่วยลดรอยแดง รอยแผลเป็นจากสิว และช่วยกระชับรูขุมขน
ข้อมูลจาก Mintel

Mintel ระบุไฮไลต์จากการสำรวจนี้ว่า ส่วนผสมที่น่าสนใจในการโปรโมต คนไทยรู้จักมากกว่าที่คิดแต่ตลาดกลับยังมองว่าเป็น “นิชมาร์เก็ต” คือ Probiotic เพราะสารกลุ่มนี้กำลังมาแรงในเกาหลีใต้ และคนไทยรับอิทธิพลจาก K-Beauty สูง ทำให้การมีผลิตภัณฑ์ที่ชูโรงสารบำรุงกลุ่มนี้ที่มีประโยชน์ในการปรับสมดุลแบคทีเรีย ทำให้หน้าใสไร้สิวจากพื้นฐานบนใบหน้า น่าจะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการ

ในการวิจัยครั้งนี้ มีคนไทยประมาณครึ่งหนึ่งที่รู้จักสารบำรุงน้อยชนิด แต่จะมีคนไทยอีกกลุ่มหนึ่ง สัดส่วนถึง 32% ที่รู้จักสารบำรุงมากกว่า 6 ชนิดจาก 9 ชนิด เพราะเป็นกลุ่มที่มีปัญหาผิวหน้าหลายประเด็น จึงมีองค์ความรู้มากเกี่ยวกับสกินแคร์

ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีความน่าสนใจต่อผู้ประกอบการในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์แบบ ‘customized’ ให้กับลูกค้า เพราะผู้บริโภคมีความรู้พอที่จะผสมสกินแคร์เองได้ ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ออกมาแล้วในตลาด เช่น การ์นิเย่ มีผลิตภัณฑ์แอมพูลเซรั่มที่แบ่งใช้เป็นครั้งๆ ในแต่ละหน่วยจะบรรจุวิตามินซี 3% และสาร Niacinamide เพื่อให้ผู้บริโภคนำไปผสมกับสกินแคร์อื่นได้เอง

อินไซต์จากผู้บริโภคนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการสายบิวตี้ ในการดึงสารบำรุงสำคัญมาเป็นจุดชูโรง ใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ของลูกค้าที่มีมากขึ้นและใส่ใจมากขึ้นแล้ว

]]>
1414579