สกินแคร์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 14 Jun 2024 03:45:06 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Kirin รุกธุรกิจสกินแคร์ อาหารเสริม ล่าสุดเตรียมควักเงินซื้อหุ้นกิจการ Fancl มูลค่าเกือบ 48,000 ล้านบาท https://positioningmag.com/1478142 Fri, 14 Jun 2024 03:23:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1478142 คิริน (Kirin) ผู้ผลิตเครื่องดื่มหลากชนิดของญี่ปุ่น เตรียมควักเงินซื้อหุ้นที่เหลือของกิจการฟังก์เคล (Fancl) แบรนด์สกินแคร์และเครื่องสำอางชื่อดังเข้าพอร์ต เพื่อเสริมกลยุทธ์ของบริษัทที่ต้องการหารายได้นอกจากธุรกิจเครื่องดื่ม โดยดีลดังกล่าวคิดเป็นเงินไทยแล้วมากถึงเกือบ 48,000 ล้านบาท

Nikkei Asia และ Jiji Press รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Kirin ผู้ผลิตเครื่องดื่มหลากชนิดของญี่ปุ่น ได้รุกธุรกิจสกินแคร์และอาหารเสริมเพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุดบริษัทได้ประกาศทุ่มทุนมากถึง 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ซื้อหุ้นที่เหลือของกิจการฟังก์เคล (Fancl) แบรนด์สกินแคร์และเครื่องสำอางชื่อดังเข้าพอร์ต

สำหรับดีลซื้อหุ้นกิจการ Fancl ทั้งหมดนั้นคิดเป็นเงิน 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยเกือบ 48,000 ล้านบาท ซึ่งผลิตเครื่องดื่มหลากชนิดของญี่ปุ่นได้ให้ราคาพรีเมียมจากราคาซื้อขายมากถึง 28% จากราคาหุ้นเฉลี่ยล่าสุด

Nikkei Asia ยังรายงานข่าวว่าหลังจากการซื้อหุ้นของ Fancl ที่เหลืออยู่แล้วเสร็จ จะมีการนำบริษัทออกจากตลาดหุ้นด้วย

ปัจจุบัน Kirin ถือหุ้นอยู่ใน Fancl อยู่แล้วราวๆ 33% ซึ่งบริษัทได้เริ่มซื้อหุ้นของกิจการดังกล่าวในปี 2019 สัดส่วน 30.3% มูลค่า 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากบริษัทต้องการที่จะหารายได้เพิ่มเติมในธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากธุรกิจเครื่องดื่มอย่างเบียร์ ที่ยอดขายในญี่ปุ่นลดลงในช่วงที่ผ่านมา

ไม่เพียงเท่านี้ Fancl เองได้รุกเข้าธุรกิจอาหารเสริม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Kirin เข้าซื้อหุ้นบริษัททั้งหมด เนื่องจากเป็นกลยุทธ์ที่ตรงกับบริษัทที่ต้องการเติบโตในธุรกิจอื่น โดยตัวเลขจาก Euromonitor ตลาดอาหารเสริมและวิตามินเติบโตในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 133,600 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับแบรนด์ Fancl นั้นเคยมีสินค้าวางขายหน้าร้านในประเทศไทยมาแล้ว ก่อนที่บริษัทจะออกจากตลาดในช่วงปี 2009 ซึ่งสินค้าของแบรนด์จากญี่ปุ่นรายนี้ส่วนใหญ่วางขายผ่านพ่อค้าแม่ค้าได้หิ้วสินค้าเข้ามาจำหน่ายในช่องทางออนไลน์

ล่าสุดทาง Kirin ได้ออกมากล่าวว่า บอร์ดบริหารของบริษัทกำลังพิจารณาในเรื่องดังกล่าวอยู่ และจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้

ที่มา – Nippon, Nikkei Asia, CNA

]]>
1478142
บิ๊กมูฟ! “นูโทรจีนา” แตกไลน์กลุ่ม “เรตินอล” มาช้าแต่ชัวร์ หลังเน้นกลุ่มคลีนเซอร์มานาน https://positioningmag.com/1478094 Fri, 14 Jun 2024 03:18:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1478094 ตลาดบิวตี้ยังเป็นเป็นตลาดดาวรุ่งที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งเติบโตทั้งในส่วนของสกินแคร์ และเครื่องสำอาง แต่ด้วยเทรนด์การดูแลสุขภาพทำให้สาวๆ หลายคนเริ่มใส่ในในการดูแลผิวแบบองค์รวมมากขึ้น ทำให้ตลาดสกินแคร์เติบโตแบบไม่ต้องสงสัย

ตลาดสินค้าสกินแคร์บำรุงผิวหน้าในไทยมีมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท เติบโต 13% ในปีที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าในปี 2567 จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้องบอกว่าแต่เดิมประเทศไทยมีค่านิยมด้านความงามที่เน้นผิวขาว กระจ่างใส ผิวขาวอมชมพู หุ่นดี แบรนด์ต่างๆ จึงเน้นทำสูตรที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค สกินแคร์กลุ่มผิวกระจ่างใสจึงเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุดของกลุ่มสกินแคร์

แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสาวๆ เริ่มให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมชาติมากขึ้น แล้วเน้นที่สุขภาพของผิวไม่ว่าจะเป็นความชุ่มชื่น ผิวแข็งแรง รวมไปถึงเมื่อก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องริ้วรอยมากขึ้น โดยหันมาใส่ใจดูแลผิวด้วยสกินแคร์ล็อกอายุผิวที่ตอบโจทย์ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า สกินแคร์กลุ่มแอนตี้เอจจิ้ง หรือลดริ้วรอยเริ่มมีบทบาทมากขึ้น หลายแบรนด์เริ่มเพิ่มไลน์สินค้ากลุ่มนี้ หรือแบรนด์ไหนที่มีอยู่แล้วก็กลับมาให้น้ำหนักมาขึ้น ออกสินค้าใหม่มากขึ้น 

แต่ก่อนในตลาดรวมนั้น กลุ่มผิวกระจ่างใส หรือไวท์เทนนิ่งจะมีสัดส่วนถึง 60-70% แต่ปัจจุบันมีสัดส่วนลดลงมาที่ 50% และกลุ่มแอนตี้ เอจจิ้งมีสัดส่วน 40% ทำให้ได้เห็นทิศทางของการเติบโตของตลาดได้อย่างดี

Neutrogena

“นูโทรจีนา (Neutrogena)” หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดสกินแคร์สัญชาติอเมริกัน แต่เดิมคนไทยอาจจะคุ้นเคยกับสินค้ากลุ่ม “ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า” เพราะเป็นพอร์ตใหญ่ของนูโทรจีนา ประเทศไทย

ในปีนี้นูโทรจีนาได้เขย่าพอร์ตด้วยการขยับไปสู่กลุ่ม “เรตินอล” เป็นครั้งแรก รับเทรนด์แอนตี้ เอจจิ้ง ได้เปิดตัว “NEUTROGENA® VISIBLE REPAIR (นูโทรจีนา วิซิเบิล รีแพร์)” ชูจุดแข็งด้วยนวัตกรรม Dual Action ดูแลผิวสองขั้นตอนในหนึ่งเดียว ด้วยเรตินอล ผสานกับแอนตี้ออกซิแดนซ์ ลดริ้วรอยลึกใน 7 วัน และลดโอกาสเกิดริ้วรอยใหม่ 

หลายคนมองว่ากลุ่มสินค้าเรตินอลเริ่มได้ยินมานานแล้ว หลายแบรนด์ได้ออกสินค้ากันโครมคราม ดูจะไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่ที่ผ่านมาสารเรตินอลมีข้อจำกัดที่ว่าบางคนใช้แล้วแพ้ หรือต้องใช้ควบคู่กับมอยเจอร์ไรเซอร์หนาๆ รวมไปถึงไม่สามารถใช้ได้ทุกวัน เพราะจะเกิดการระคายเคืองต่อผิว

นูโทรจีนาจึงมองว่า มาช้าแต่ขอชัวร์ ใช้เวลา 1-3 ปีในการพัฒนากลุ่มเรตินอล โดยอุดช่องว่างต่างๆ ที่เคยมีมา พัฒนาให้สินค้าใช้ได้ทุกวันโดยไม่ระคายเคือง โดยเปิดตัวในระดับโกลบอลได้หลายปีแล้ว แต่ได้ฤกษ์เปิดตัวในโซนเอเชียในปีนี้ โดยเปิดตัวที่ไต้หวันเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นประเทศที่ 2 ที่เปิดตัวสินค้าตัวนี้

Neutrogena

ชวีนา จิตรสมบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด นูโทรจีนา ประจำประเทศไทย กัมพูชา ลาว และเมียน มา เล่าว่า 

“การเปิดตัวสินค้าตัวนี้ถือเป็นบิ๊กมูฟครั้งใหญ่ในรอบ 4-5 ปีของนูโทรจีนา ประเทศไทย ไม่ได้ออกสินค้าใหม่มานาน แต่ก่อนแบรนด์จะแข็งแรงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ล้างหน้า การมีสินค้าเรตินอลเข้ามาช่วยมาเสริมพอร์ตกลุ่มมอยเจอร์ไรเซอร์ ทำให้มีพอร์ตสินค้ากว้างขึ้น เราอาจจะมาช้า แต่เน้นชัวร์ พัฒนาสินค้าให้ลูกค้าใช้แล้วไม่แพ้ สามารถใช้ได้ทุกวัน”

NEUTROGENA® VISIBLE REPAIR สูตรเรตินอล มีทั้งหมด 3 รายการ ได้แก่

– นูโทรจีนา วิซิเบิล รีแพร์ เรเจเนเรทติ้ง ครีม สูตรเรตินอล (Regenerating Cream) 

– นูโทรจีนา วิซิเบิล รีแพร์ เซรั่ม สูตรเรตินอล (Serum) 

– นูโทรจีนา วิซิเบิล รีแพร์ ครีมบำรุงรอบดวงตา สูตรเรตินอล (Eye Cream) 

จำหน่ายในราคาชิ้นละ 999 บาท โดยสินค้าจะวางจำหน่ายเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะบิวตี้สโตร์ และอีคอมเมิร์ซ โดยที่มีเซตขนาดทดลองในราคา 599 บาท เฉพาะที่วัตสัน

ปัจจุบันนูโทรจีนา ประเทศไทยมีสินค้าใน 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหน้า 60% มอยเจอร์ไรเซอร์ 30% และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย 10% หลังจากเปิดตัวสินค้าใหม่ คาดว่าสัดส่วนสินค้ากลุ่มมอยเจอร์ไรเซอร์จะมีสัดส่วน 50% 

การเปิดตัวสินค้ากลุ่มเรตินอลในครั้งนี้ ยังมีนัยสำคัญในการปรับภาพแบรนดิ้งให้พรีเมียมขึ้นอีกด้วย โดยที่ Positioning ของระดับโกลบอลเป็นสกินแคร์ในระดับเวชสำอางแล้ว เพราะมีสินค้าที่หลากหลาย ส่วนในประเทศไทยวางจุดยืนเป็นสกินแคร์ระดับพรีเมียมแมส แต่ไม่เกิน 2 ปีจะเริ่มขยับภาพเป็นเวชสำอางเช่นกัน โดยที่จะมีสินค้าตัวใหม่เข้ามาเติม น่าจะได้เห็นอีกทีในปีหน้า

]]>
1478094
คุยกับ ‘วุ้นเส้น’ กับภารกิจพา ‘เซวา’ ลบคำครหา “แบรนด์ดาราที่มาแล้วไป” https://positioningmag.com/1477263 Mon, 10 Jun 2024 06:02:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477263 หากพูดถึง สกินแคร์และเครื่องสำอาง ถือเป็นตลาดใหญ่ที่มีการแข่งขันสูง ไม่ใช่แค่จากแบรนด์ต่างประเทศ แต่แบรนด์ในประเทศเองก็มีแบรนด์เกิดใหม่ปีละเป็นร้อย ๆ แบรนด์ โดยเฉพาะแบรนด์จาก ดารา อินฟลูเอนเซอร์ ที่ถือว่ามีแต้มต่อด้วยชื่อเสียงที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักได้ง่ายกว่า แต่ก็จะมีคำครหาว่ามา โกยเงินแล้วก็ไป

เซวา (Sewa) ถือเป็นอีกแบรนด์สกินแคร์ของไทยที่ก่อตั้งโดยนักแสดงและนางแบบชื่อดังอย่าง วุ้นเส้น วิริฒิพา ภักดีประสงค์ ที่ร่วมกับ ปุ๊ก เบญจกิติ เมฆแสน ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ เซวา ไทยแลนด์ โดยเซวา มีฮีโร่โปรดักส์ที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักก็คือ น้ำตบโสมแดง ที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักตั้งแต่ปีที่ 2 หลังจากก่อตั้ง จนปัจจุบัน เซวากำลังเข้าสู่ปีที่ 9 แล้ว

“เมื่อก่อนเราเป็นพรีเซ็นเตอร์มาตลอด เลยอยากจะมีแบรนด์ของตัวเอง จนเราได้คุยกับปุ๊กที่สนใจในธุรกิจความงามอยู่แล้ว และก็เคยทำธุรกิจเกี่ยวกับแฟชั่น เสื้อผ้า และเครื่องประดับ เลยตกลงที่จะร่วมกันทำแบรนด์เซวา ที่มาจากชื่อของดอกไม้เกาหลี” วุ้นเส้น เล่า

แบรนด์ดารามาพร้อมคำครหา

แน่นอนว่าการที่เป็นคนมีชื่อเสียงมาทำแบรนด์ จะช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักได้ง่ายกว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าก็มี คำครหา ว่า ของดีจริงไหม และจะมาแค่ โกยเงินแล้วก็หายไป ไม่ได้ทำจริงจังหรือเปล่า ดังนั้น นี่จึงเป็นความท้าทายสำคัญที่ทำให้เซวาต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ ส่งผลให้เรื่อง คุณภาพและความจริงใจ คือสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญที่สุด เพราะแบรนด์ในตลาดมีเยอะ ผู้บริโภคมีโอกาสเปลี่ยนบ่อย

“มุมมองเขาจะคิดว่าเป็นดารามาทำมันง่าย ต้องพิสูจน์ไม่ใช่สินค้ากระแส หรือฉาบฉวย เพราะถ้าใช้ไม่ได้จะโดนมากกว่าคนปกติ เราก็ต้องทำให้ดี ให้คนมาว่าไม่ได้ และเราใช้งานจริงตลอด ทำให้อยู่มาได้ 8 ปี” วุ้นเส้น กล่าว

ปัจจุบันสินค้าของเซวามีทั้งหมด 14 SKU ทั้งสกินแคร์ คอสเมติก โดยสินค้าทั้งหมดผลิตในประเทศเกาหลีใต้ พร้อมกับใช้ทีมวิจัยจากเกาหลีร่วมกับคนไทย เพื่อคิดสูตรให้เหมาะกับผิวคนไทย

ถึงเวลาขยับเข้าหาวัยรุ่น

ที่ผ่านมา กลุ่มลูกค้าหลักของเซวามีอายุช่วง 30-70 ปี สอดคล้องกับสินค้าขายดีอย่างน้ำตบโสมแดงที่เน้นเรื่องการชะลอวัย ทำให้การตลาดที่ผ่านมาของแบรนด์ เกือบ 100% ใช้สื่อทีวี โดยแต่ละปีใช้งบการตลาดประมาณ 70 ล้านบาท โดยแบรนด์มักใช้ดาราระดับ นางเอก

อย่างไรก็ตาม เซวาต้องการเข้าถึงกลุ่ม วัยรุ่น มากขึ้น ดังนั้น แผนการตลาดในปีนี้จะลดน้ำหนักสื่อทีวีเหลือ 50% อีก 50% จะหันไปใช้ สื่อออนไลน์และอินฟลูเอนเซอร์ มากขึ้น พร้อมกับใช้ เก๋ไก๋ ณัฐธิชา นามวงษ์ อินฟลูเอนเซอร์คนดังที่ปัจจุบันขึ้นแท่นเป็นนางเอก มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ครีมกันแดด SEWA Ultra Hybrid Sunscreen SPF50+ PA++++ นอกจากนี้ แบรนด์มีการออกแบบแพ็กเกจจิ้งสินค้าใหม่ให้ดูเด็กลงอีกด้วย

“ที่ผ่านมาเราใช้แต่นางเอกหรือคนดังอย่าง มดดำ คชาภา ตันเจริญ แต่ทิศทางของแบรนด์จากนี้ต้องการเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่น ดังนั้น แผนการตลาดเราต้องปรับใหม่ ใช้ออนไลน์มากขึ้น ดึงเก๋ไก๋มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพราะตอนนี้วัยรุ่นหันมาดูแลตัวเองกันเร็ว”

ตลาดสกินแคร์เป็นฟาสต์แฟชั่นไปแล้ว

ปุ๊ก เบญจกิติ ยอมรับว่า ในตลาดสกินแคร์ตอนนี้แข่งขันสูงมาก มีแบรนด์เกิดใหม่เป็นร้อยแบรนด์ในแต่ละปี เรียกได้ว่าตลาดสกินแคร์เป็นเหมือน ฟาสต์แฟชั่น (Fast fashion) ดังนั้น เซวาจะเพิ่มสินค้าใหม่ ๆ เข้ามาในตลาดกลุ่ม พรีเมียมแมส อย่างต่อเนื่อง โดยปีหน้ามีแผนจะออกสินค้าสำหรับ ผู้ชาย โดยเฉพาะ รวมถึงมีแผนจะขยายไปในประเทศ จีน โดยกำลังศึกษาตลาดอยู่

ปัจจุบันช่องทางจัดจำหน่ายของแบรนด์ 60% เป็นออฟไลน์ โดยเฉพาะในโมเดิร์นเทรด อีก 40% เป็นออนไลน์ โดยจากนี้ เซวาจะเน้นออก ครีมซอง เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินค้าได้ง่ายมากขึ้น โดยปัจจุบันครีมซองของเซวามีทั้งหมด 10 SKU เพิ่มจาก 3 SKU เมื่อ 4 ปีก่อน

“สกินแคร์ยังเป็นกลุ่มที่เติบโตแม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่เราต้องทำให้ราคามันจับต้องได้ และสกินแคร์เหมือนฟาสต์แฟชั่น มีแบรนด์ใหม่พร้อมเข้ามา ดังนั้น เราต้องทำให้ดีเพื่อให้เขาไม่เปลี่ยนใจ และคุณภาพจะทำให้เราอยู่ยาว” เบญจกิติ กล่าว

วุ้นเส้น วิริฒิพา ภักดีประสงค์ และ ปุ๊ก เบญจกิติ เมฆแสน

เป้า 500 ล้าน และเป็นแบรนด์ในใจเหมือนมิสทีน

สำหรับยอดขายปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 500 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามีรายได้กว่า 400 ล้านบาท โดยในส่วนของ SEWA Ultra Hybrid Sunscreen SPF50+ PA++++ ตั้งเป้ายอดขาย 5 แสนหลอดในสิ้นปี โดยเป้าหมายระยะยาวทั้ง วุ้นเส้นและปุ๊ก มองว่าอยากเป็น แบรนด์ชั้นนำของไทย เหมือนกับ มิสทีน (Mistine) หรือ สมูทอี (Smooth-E) ที่เป็นที่รู้จักทั่วประเทศและขยายตลาดไปยังต่างประเทศ เพื่อลบมายด์เซ็ทที่ว่า แบรนด์ดารามาแล้วก็ไป

]]>
1477263
P&G เผยยอดขาย SK-II ในจีนไตรมาสที่ผ่านมาลดลง 34% สาเหตุมาจากการแบนสินค้าจากญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1460196 Wed, 24 Jan 2024 18:25:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1460196 P&G ได้เปิดเผยยอดขาย SK-II ในจีนไตรมาสที่ผ่านมาของปี 2023 ลดลง 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2022 สาเหตุมาจากการแบนสินค้าแบรนด์ญี่ปุ่น เนื่องจากกรณีการปล่อยน้ำเสียจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ และยังรวมถึงปัญหาผู้บริโภคชาวจีนที่ไม่จับจ่ายใช้สอยจากสภาวะเศรษฐกิจ

Procter & Gamble หรือ P&G ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของแบรนด์สกินแคร์ชื่อดังจากญี่ปุ่นอย่าง SK-II ได้รายงานผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาของปี 2023 โดยยอดขายแบรนด์สกินแคร์ดังกล่าวตกลงมากถึง 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2022

ผู้บริหารของ P&G ได้ยอมรับว่าสาเหตุสำคัญมาจาก การแบนสินค้าแบรนด์ญี่ปุ่นจากการปล่อยน้ำเสียจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่ทะเลเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2023 ที่ผ่านมา เหตุดังกล่าวทำให้รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการแบนอาหารทะเลจากญี่ปุ่น นอกจากนี้ชาวจีนเองยังกังวลว่าสินค้าของแบรนด์สกินแคร์ดังกล่าวอาจปนเปื้อนส่วนผสมที่มีสารกัมมันตภาพรังสีด้วย

การปล่อยน้ำเสียของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ดังกล่าว ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศยืนยันถึงความปลอดภัย รวมถึง UN ก็ออกมาไฟเขียวในเรื่องดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความเชื่อมั่นของชาวจีนกลับมาสูงขึ้นด้วยซ้ำ

อีกสาเหตุที่สำคัญคือ SK-II ยังประสบปัญหายอดขายไม่ฟื้นตัวในประเทศจีน เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจ การจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะชนชั้นกลางในประเทศจีนเป็นหลักซึ่งกำลังประสบปัญหาไม่จับจ่ายใช้สอยอย่างที่ควร ซึ่งกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเป็นเป้าหมายสำคัญของแบรนด์จากญี่ปุ่นรายนี้

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แบรนด์ดังกล่าวถูกแบนจากกลุ่มลูกค้าชาวจีน แต่ในช่วงที่ผ่านมา CEO ของ P&G เองเคยได้เตือนถึงความตึงเครียดระหว่างจีนกับญี่ปุ่นจะส่งผลกระทบต่อยอดขาย SK-II แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนักยอดขายของแบรนด์สกินแคร์ดังกล่าวนั้นฟื้นตัวกลับมาเสมอ ซึ่งแตกต่างกับครั้งนี้

ขณะเดียวกันแบรด์ญี่ปุ่นรายอื่นต่างก็เคยโดนชาวจีนแบนมาแล้ว เช่น ในปี 2012 ที่ Uniqlo ต้องปิดสาขาในประเทศจีนชั่วคราว หรือแม้แต่กรณีการใช้ฝ้ายที่มาจากมณฑลซินเจียง เป็นต้น

อย่างไรก็ดี Andre Schulten ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการเงินของ P&G ได้กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทได้ทำวิจัยผู้บริโภคในประเทศจีน บริษัทเชื่อว่ายอดขายของ SK-II จะกลับมาฟื้นตัวได้ภายในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2024 ได้

ที่มา – BBC, CNBC

]]>
1460196
BEAUTRIUM จากร้านเล็กๆ ที่ประตูน้ำ บุกเบิกโดย 2 พี่น้อง สู่อาณาจักรบิวตี้ 2,000 ล้าน https://positioningmag.com/1451163 Thu, 09 Nov 2023 08:19:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1451163 ตลาดมัลติแบรนด์สโตร์ยังคงเป็นตลาดเนื้อหอม โดยเฉพาะบิวตี้สโตร์ ตอนนี้มีหลากหลายแบรนด์ทั้งแบรนด์ไทย และต่างชาติต่างตบเท้าเข้ามา ยกตัวอย่างเช่น EVEANDBOY, Shephora, Multy, BEAUTRIUM และ KIS Beauty Store

BEAUTRIUM เป็นหนึ่งในแบรนด์ใหญ่สัญชาติไทย ที่มีอายุ 12 ปีแล้ว กำลังก้าวเข้าสู่รายได้หลัก 2,000 ล้านบาท โดยที่จุดเริ่มต้นของแบรนด์เกิดจากร้านเล็กๆ ที่ประตูน้ำเท่านั้น

BEAUTRIUM ได้เริ่มก่อตั้งในปี 2555 โดย 2 พี่น้อง บอย – จิรวุฒิ โรจน์รัตนวลี CEO และ แจ็ค – อติโรจน์ โรจน์รัตนวลี CMO ในขณะนั้นบอยอายุได้ 30 ปี และแจ็คอายุ 27 ปีเท่านั้น จริงๆ แล้วทั้งคู่มีธุรกิจครอบครัวเป็นโรงงานผลิตเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย รับผลิตแบบ OEM ให้แบรนด์ต่างๆ แต่เริ่มมองเห็นโอกาสของตลาดบิวตี้ เครื่องสำอางว่า ในยุคนั้นยังไม่มีร้านที่มีสินค้าแบบครบวงจรอยู่ในที่เดียว ใครที่อยากหาสกินแคร์ เครื่องสำอางต้องหาซื้อตามตู้กระจกตามศูนย์การค้า หรือดรักสโตร์ ประกอบกับทั้งคู่มีคอนเนกชั่นของกลุ่มเพื่อนที่อยู่ในแวดวงเครื่องสำอางอยู่ด้วย เลยตัดสินใจลงมาทำธุรกิจนี้

BEAUTRIUM
BEAUTRIUM สาขาแรกที่ประตูน้ำ

เลือกโลเคชั่นที่เลือกเปิดสาขาแรกก็คือ “ประตูน้ำ” (ศูนย์การค้าวอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน) เพราะตอนนั้นมีทั้งขายส่ง และขายปลีก เลยเลือกที่ประตูน้ำเพราะมีการขายส่งเสื้อผ้าเยอะ เป็นร้านเล็กๆ เป็นแค่โมเดลซื้อมาขายไป แต่พอเปิดร้านไปได้พักหนึ่งก็พบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อปลีกเยอะ จึงย้ายร้านมาที่สยามสแควร์ ในตอนนี้เป็นดิจิทัลเกตเวย์ แต่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นเซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์

คำว่า BEAUTRIUM มาจากการรวมกันของคำว่า Beauty สินค้าความสวยความงาม และ Atrium อาณาจักร ที่กว้างๆ รวมกันเป็นแหล่งรวบรวมสินค้า และนวัตกรรมต่างๆ

BEAUTRIUM

หลังจากเปิดสาขาที่สยามแล้ว ในปี 2559 ก็เริ่มจำหน่ายสินค้าอินเตอร์แบรนด์มากขึ้น ปี 2561 เริ่มจำหน่ายช่องทางออนไลน์ และปี 2566 ก็เริ่มขยายสาขาที่ต่างจังหวัดครั้งแรก ทำให้ปัจจุบัน BEAUTRIUM มีสาขารวมทั้งหมด 34 สาขา ภายในปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 3 สาขา สิ้นปีก็จะมีครบ 37 สาขา

ปัจจุบัน BEAUTRIUM มีสินค้าพันกว่าแบรนด์ รวมกว่า 100,000 SKU ภายในร้านเป็นกลุ่มสกินแคร์ และเครื่องสำอาง 70% ได้ขยายเพิ่มไลน์อื่นๆ เช่น บิวตี้ แกดเจ็ต, ไลฟ์สไตล์, น้ำหอม, ขนม และเครื่องดื่ม เพื่อให้ครอบคลุมทุกเจน และทุกไลฟ์สไตล์มากขึ้น

โอกาสอยู่ที่ต่างจังหวัด ต้องเปิดให้ครบทุกภาค

BEAUTRIUM มีพื้นที่ร้านค้าเฉลี่ยอยู่ที่ 200-700 ตารางเมตร แบ่งเป็น 4 โมเดล ได้แก่ แฟลกชิปสโตร์ มีพื้นที่ขนาดใหญ่สุด, เมก้า สโตร์, ร้านขนาดปกติ และร้านขนาดเล็ก พื้นที่ 150 ตารางเมตร เป็นโมเดลทดลองเน้นเข้าพื้นที่ชุมชน ลองเปิดสาขาแรกที่ตึกจี ทาวเวอร์ และกำลังศึกษาผลตอบรับอยู่

ในปีนี้ได้ประกาศงบลงทุน 2,000 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศภายในปี 2570 แต่แผนในระยะสั้นต้องการขยายสาขาให้ครบทุกภูมิภาคก่อนในปี 2567 ตอนนี้ยังขาดสาขาที่ภาคเหนือ ในปีหน้าจะขยายสาขาอีก 10 สาขา

BEAUTRIUM

จิรวุฒิ โรจน์รัตนวลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวเทรี่ยม จำกัด บอกว่า

“ในสิ้นปีนี้ BEAUTRIUM มีสาขารวม 37 แห่ง ใน 10 จังหวัด ตั้งเป้าว่าปีหน้าจะเปิดสาขาให้ครบทุกภูมิภาค ก่อนที่จะขยายให้ครบทุกจังหวัดภายในปี 2570 ซึ่งพื้นที่ต่างจังหวัดมีโอกาสสูง คู่แข่งน้อยกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นร้านท้องถิ่นเจ้าใหญ่ที่อาจจะมีสินค้าไม่ครบ ตอนนี้พฤติกรรมของคนต่างจังหวัดไม่ต่างจากคนกรุงเทพฯ เท่าไหร่ มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ต้องการสินค้าเหมือนกับคนกรุง”

อาณาจักรบิวตี้ 2,000 ล้าน

ในปีนี้ BEAUTRIUM มีอายุครบ 12 ปี เมื่อถามถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญของบริษัท สร้างการเติบโตแบบกก้าวกระโดดนั้น ต้องย้อนกลับไปปี 2561 ที่เริ่มขยายสาขาเยอะขึ้น และมีแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเติม ทำให้ยอดขายเริ่มเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ

และเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมานี่เอง BEAUTRIUM มีรายได้แตะพันล้านครั้งแรก ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มคลายล็อกดาวน์ และเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอย่างเต็มที่หลังจากสถานการณ์ COVID-19

BEAUTRIUM

คาดว่าปีนี้จะมีรายได้แตะ 2,000 ล้านบาท มีการเติบโต 112% แบ่งสัดส่วนรายได้เป็น สกินแคร์ 37% เครื่องสำอาง 35% น้ำหอม 8% และอื่นๆ 20% โดยที่ลูกค้ามีการใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 800 บาท/บิล

หลังจากที่ขยายสาขาในไทยได้ครอบคลุมแล้ว ตอนนี้ยังเริ่มศึกษาตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม เริ่มจากโซน CLMV และเอเชีย มีการศึกษาด้านกฎหมาย อ.ย. และสภาพธุรกิจแต่ละประเทศ ตอนนี้มองว่าประเทศเวียดนามน่าสนใจมากที่สุด เพราะมีหลายๆ อย่างใกล้เคียงประเทศไทย

]]>
1451163
Cute Press รีแบรนด์ครั้งใหญ่! ย้ำจุดยืน “อยู่เมืองร้อน..อยากสวยต้องได้สวย” ร้อนแค่ไหนก็เอาอยู่ https://positioningmag.com/1418751 Tue, 14 Feb 2023 04:00:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1418751

ต้องบอกว่าในการทำการตลาดในปัจจุบัน การเข้าใจในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างทั้งทางกายภาพ และจิตใจ เราจึงได้เห็นหลายแบรนด์เริ่มทำการตลาดแบบ Personalize หรือเจาะตามความต้องการของแต่ละบุคคล

ในตลาดบิวตี้ก็เช่นเดียวกัน ทั้งในกลุ่มของสกินแคร์ และเครื่องสำอาง ได้เริ่มเห็นทิศทางในการทำตลาดแบบปัจเจกบุคคลมากขึ้น เพราะหนุ่มๆ สาวๆ ทั่วโลกมีความแตกต่างกัน ภูมิประเทศ ภูมิอากาศเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสภาพผิวของแต่ละคนอีกด้วย อย่างประเทศไทยที่มีอากาศร้อนชื้นตลอดทั้งปี ส่งผลทำให้หน้ามัน ผิวคล้ำ ถ้าเลือกสกินแคร์ หรือเครื่องสำอางไม่ตรงกับสภาพผิว ก็อาจจะทำให้ผิวพังไปเลยก็ได้

สิ่งที่น่าสนใจในตลาดตอนนี้ก็คือ แบรนด์ Cute Press ที่หลายคนรู้จักกันอย่างดี ได้เข้าใจพฤติกรรมคนไทยที่ต้องเผชิญปัญหาผิวของคนเมืองร้อนได้อย่างดี ได้พัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์กับสภาพอากาศเมืองร้อนโดยเฉพาะ

Cute Press ได้ทำตลาดมากว่า 47 ปี มีความเข้าใจความต้องการของคนในเขตร้อนชื้นอย่างลึกซึ้ง จากประสบการณ์ทั้งในด้าน R&D และ Customer insight research จึงได้พัฒนาคิดค้นผลิตภัณฑ์สูตรเฉพาะที่ตอบโจทย์ Tropical Lifestyle เพื่อให้ทุกคนสามารถมีความสุขใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ และสวยชนะสภาพอากาศร้อนชื้นได้ โดยมีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะเป็นเมคอัพ, สกินแคร์, บอดี้แคร์, น้ำหอม หรือผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถเอาชนะปัญหาผิวของคนเมืองร้อนได้จริง

ในปีนี้ Cute Press ได้โอกาสรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Tropical Life is Beautiful” ประกาศจุดยืนเป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่คิดค้นมาเพื่อคนเมืองร้อนโดยเฉพาะ มาพร้อมแอตติจูดสุดเริ่ด “อยู่เมืองร้อน อยากสวยต้องได้สวย” โดยปล่อยภาพยนตร์โฆษณาที่ encourage ให้ทุกคนออกไปใช้ชีวิตเริงร่าท้าเมืองร้อนเหนือจรดใต้ เพราะมีผลิตภัณฑ์ Cute Press เคียงข้างทุกคนให้สวยมั่นใจได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า

โดยเนื้อหาภาพยนตร์โฆษณาเรื่องนี้มีไอเดียแหวกแนวจากตลาดบิวตี้ ใช้โอกาสเปิดประเทศหลังสถานการณ์ COVID-19 และกระแสการท่องเที่ยวที่กำลังบูม เพื่ออวดของดีเมืองไทยเปรียบเทียบความสวยของผู้คน และความงามของเมืองร้อนเช่นเมืองไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ต้องได้คนที่เข้าใจจริงๆ ถึงจะคิดค้นผลิตภัณฑ์ความงามที่ตอบโจทย์คนเมืองร้อนได้ โดยมีแบรนด์ Cute Press เป็นคำตอบสุดท้าย

ไม่ว่าจะเป็นแป้งผสมรองพื้นที่สวยเป๊ะได้ทั้งวัน หรือ กันแดด Tone-up ที่ไม่ไหล ไม่มันเยิ้มต่อให้เผชิญสภาพอาการของเมืองไทย แม้แต่ Hair Mist ที่หอมชนะเลิศหน้าเตาปิ้งย่าง ไปจนถึงเซรั่มที่เนื้อบางเบาไม่เหนอะหนะติดหมอน แต่ยังฟื้นบำรุงผิวอย่างเข้มข้น ฯลฯ เรียกว่าเป็นการคิดค้นมาเพื่อคนเมืองร้อนโดยเฉพาะ บริโภคแบบครบลูป

ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของแบรนด์ที่ออกมาประกาศ Brand concept ใหม่ และยังวางแผนเดินหน้าบุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีสภาพอากาศร้อนชื้นไม่ต่างจากบ้านเรา เรียกได้ว่าเป็น Beauty Solution สำหรับ Tropical Life

ไม่ว่าอากาศร้อนจะเป็นอุปสรรคขนาดไหน Cute Press ก็พร้อมซัพพอร์ตให้ทุกคนมั่นใจและออกไปใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ด้วยความเชื่อที่ว่า “Tropical Life is Beautiful” “อยู่เมืองร้อน อยากสวยต้องได้สวย”

ร่วมเอาใจช่วยและร่วมสนับสนุนแบรนด์ความงามคุณภาพของไทยสามารถติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์และกิจกรรมต่างๆของ Cute Press ได้ที่ Facebook Cute Press หรือชมโฆษณาฉบับเต็มที่


]]>
1418751
ส่องเทรนด์ “บิวตี้” ปี 2022 คนไทยนิยม “สกินแคร์” ที่ชูโรงเรื่อง “ส่วนผสมสำคัญ” มากขึ้น https://positioningmag.com/1414579 Wed, 04 Jan 2023 11:55:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1414579 เทรนด์สินค้า “บิวตี้” ปี 2022 จากการวิจัยโดย Mintel พบว่า คนไทยนิยม “สกินแคร์” ที่ชูจุดเด่นด้าน “ส่วนผสมสำคัญ” มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นโอกาสผู้ประกอบการในการโปรโมตสินค้าด้วยสารบำรุง และเสนอส่วนผสมอื่นที่น่าสนใจให้กับตลาด

วงการบิวตี้ปี 2022 มีอะไรมาแรงที่น่าจะส่งผลต่อเนื่องมาถึงปีนี้บ้าง? Mintel วิจัยในคนไทยอายุมากกว่า 18 ปี จำนวน 2,000 คน พบว่า โควิด-19 ทำให้มุมคิดของคนไทยใส่ใจเรื่องสุขภาพผิวจากภายในสู่ภายนอกกันมากขึ้น โดยมีคนไทย 40% ที่รับประทานอาหารเสริมเพื่อดูแลความงาม

แนวความคิดนี้ส่งต่อมาถึงการเลือกสกินแคร์สำหรับใช้ภายนอก การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บิวตี้ของคนไทยไม่ได้มองแค่การบอกคุณสมบัติว่าผลิตภัณฑ์นั้นใช้แล้วได้ประโยชน์อย่างไร แต่ใส่ใจกับการเลือก “ส่วนผสมสำคัญ” ของสกินแคร์นั้นๆ มากขึ้น

สกินแคร์ บิวตี้ ไทย
Photo: Cotton Bro Studio / Pexels

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคนไทยยังรู้จักส่วนผสมสารบำรุงในสกินแคร์น้อยชนิด จากการวิจัยของ Mintel มีคนไทย 52% ที่รู้จักชนิดของสารบำรุงน้อยกว่า 4 ชนิดจาก 9 ชนิดที่สำรวจ

สารบำรุงที่คนไทยรู้จักมากที่สุด ปรากฏว่าเป็น “Hyaluronic Acid” ซึ่งมีคนไทย 49% รู้จักส่วนผสมนี้ ส่วนสารบำรุงอื่นๆ ที่มีคนรู้จักเรียงตามลำดับมากไปน้อย ได้แก่

  • Hyaluronic Acid – (49%) คนไทยเรียกกันติดปากว่า “ไฮยา” รู้จักในฐานะสารที่ช่วยกักเก็บน้ำในชั้นผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ
  • AHA – (40%) คนไทยรู้จักว่าเป็นสารที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดรอยดำด่าง
  • Cica – (39%) สารต้านอนุมูลอิสระช่วยรักษาสิว ลดการระคายเคือง
  • Probiotic – (35%) จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ นำมาใช้ในสกินแคร์เพื่อปรับสมดุลแบคทีเรียบนผิวหน้า
  • Peptide – (34%) สารบำรุงที่ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวเต่งตึง
  • Ceramide – (34%) สารที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในผิว เหมาะกับผิวที่ขาดน้ำ
  • Zinc – (30%) แร่ธาตุสังกะสีช่วยป้องกันการเติบโตของแบคทีเรีย ลดความมันอุดตัน ทำให้ลดปัญหาสิว
  • Petroleum Jelly – (21%) สารที่ใช้ป้องกันผิวแห้ง รักษาความชุ่มชื้น
  • Niacinamide – (21%) หรือก็คือวิตามินบี 3 ช่วยลดรอยแดง รอยแผลเป็นจากสิว และช่วยกระชับรูขุมขน
ข้อมูลจาก Mintel

Mintel ระบุไฮไลต์จากการสำรวจนี้ว่า ส่วนผสมที่น่าสนใจในการโปรโมต คนไทยรู้จักมากกว่าที่คิดแต่ตลาดกลับยังมองว่าเป็น “นิชมาร์เก็ต” คือ Probiotic เพราะสารกลุ่มนี้กำลังมาแรงในเกาหลีใต้ และคนไทยรับอิทธิพลจาก K-Beauty สูง ทำให้การมีผลิตภัณฑ์ที่ชูโรงสารบำรุงกลุ่มนี้ที่มีประโยชน์ในการปรับสมดุลแบคทีเรีย ทำให้หน้าใสไร้สิวจากพื้นฐานบนใบหน้า น่าจะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการ

ในการวิจัยครั้งนี้ มีคนไทยประมาณครึ่งหนึ่งที่รู้จักสารบำรุงน้อยชนิด แต่จะมีคนไทยอีกกลุ่มหนึ่ง สัดส่วนถึง 32% ที่รู้จักสารบำรุงมากกว่า 6 ชนิดจาก 9 ชนิด เพราะเป็นกลุ่มที่มีปัญหาผิวหน้าหลายประเด็น จึงมีองค์ความรู้มากเกี่ยวกับสกินแคร์

ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีความน่าสนใจต่อผู้ประกอบการในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์แบบ ‘customized’ ให้กับลูกค้า เพราะผู้บริโภคมีความรู้พอที่จะผสมสกินแคร์เองได้ ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ออกมาแล้วในตลาด เช่น การ์นิเย่ มีผลิตภัณฑ์แอมพูลเซรั่มที่แบ่งใช้เป็นครั้งๆ ในแต่ละหน่วยจะบรรจุวิตามินซี 3% และสาร Niacinamide เพื่อให้ผู้บริโภคนำไปผสมกับสกินแคร์อื่นได้เอง

อินไซต์จากผู้บริโภคนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการสายบิวตี้ ในการดึงสารบำรุงสำคัญมาเป็นจุดชูโรง ใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ของลูกค้าที่มีมากขึ้นและใส่ใจมากขึ้นแล้ว

]]>
1414579
ทำไม “ศรีจันทร์” ต้องบุกตลาดสกินแคร์ ทั้งที่คู่แข่งมหาศาล? https://positioningmag.com/1392440 Wed, 13 Jul 2022 14:39:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1392440 ศรีจันทร์ทำตลาดมา 74 ปี ฮีโร่โปรดักส์คือ “แป้ง” แต่ก่อนอาจจะคุ้นเคยจาก “ผงหอมศรีจันทร์” แต่ภายหลังการรีแบรนด์ ได้พัฒนาเป็นกลุ่มแป้งฝุ่น แป้งอัดแข็ง เรียกว่าถูกจริตสาวไทย สาวเอเชียที่ต้องเจออากาศร้อนอยู่ตลอด นอกจากแป้งแล้วได้มีสินค้าใหม่ๆ อยู่ตลอด แต่ก็ยังอยู่ในกลุ่มเครื่องสำอาง

แต่เมื่อมีคำที่บอกว่าคนเราต้องสวยจากทั้งภายในและภายนอก ทำให้ศรีจันทร์ต้องตัดสินใจดูแลความสวยของคนไทยตั้งแต่ภายใน ไม่ได้สวยแค่จากเครื่องสำอางอย่างเดียว จึงตัดสินใจบุกตลาด “สกินแคร์” อย่างเต็มตัวเมื่อช่วงเดือนกันยายน 2564 เปิดตัว SRICHAND Skin Moisture Burst สกินแคร์บำรุงผิวหน้าซีรีส์แรกในกลุ่ม Hydration หรือสร้างความชุ่มชื่นให้ผิว

ล่าสุดเดือนกรกฎาคม 2565 ได้เปิดตัวซีรีส์ใหม่ SRICHAND Super C Brightening Intense Serum เป็นกลุ่มสร้างความกระจ่างใส หลังจากที่ให้ซีรีส์แรกนำร่องทดลองตลาดไป อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้ศรีจันทร์ต้องลงมาเล่นตลาดนี้ หลังจากที่ตัวเองอยู่ในตลาดเครื่องสำอางมา 74 ปี

เม็ดเงิน “สกินแคร์” มหาศาล

อย่างแรกเลย การทำธุรกิจย่อมต้องการ “ส่วนแบ่งการตลาด” ที่มากขึ้น นำพามาซึ่งรายได้ที่มากขึ้นเช่นกัน

ในประเทศไทยตลาดความงามปี 2564 มีมูลค่ารวมประมาณ 144,700 ล้านบาท ในภาพรวมทั้งหมดนี้ ตลาดสกินแคร์ยังครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดประมาณ 57% ถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ในขณะที่กลุ่มเครื่องสำอางที่ศรีจันทร์ทำตลาดเป็นหลักมีสัดส่วนอยู่ที่ 15% เท่านั้น

นั่นหมายความว่าโอกาสของตลาดสกินแคร์มีอยู่มากมายมหาศาล แต่แน่นอนว่าคู่แข่งก็มหาศาลเช่นกัน ทั้งแบรนด์ไทย และแบรนด์ต่างชาติ

รวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด เริ่มเล่าว่า

“ศรีจันทร์ใช้เวลาพัฒนาสกินแคร์ประมาณ 2 ปี จะใช้เวลานานกว่ากลุ่มเครื่องสำอาง เพราะต้องทดสอบหลายรอบ เปลี่ยนสูตรจนกว่าจะพอใจ แต่ข้อได้เปรียบของแบรนด์อยู่ที่ทำตลาดมานาน ใกล้ชิดกับลูกค้า รู้จักลูกค้าดีว่าต้องการแบบไหน ราคาเท่าไหร่ ทำการบ้านมานาน ค่อนข้างมั่นใจในการทำตลาดสกินแคร์”

คนไทย “อยากขาว”

ไม่แปลกที่ครีมกวน ครีมกระปุก ที่ขายในอินเทอร์เน็ตจะขายดี เพราะโฆษณาว่าใช้แล้วขาวออร่า ต้องบอกว่าคนไทยยังคลั่งขาวอย่างมาก…

การระบาดของ COVID-19 เป็นปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจ เครื่องสำอางเองก็ติดลบอยู่นาน กว่าจะฟื้นตัวได้ แต่กลุ่มของสกินแคร์ไม่ได้กระทบเท่าไหร่นัก เพราะผู้บริโภคยังบำรุงผิวหน้าอยู่ ทุกคนไม่ได้เครื่องสำอาง แต่ต้องใช้สกินแคร์

ยิ่งเมืองไทยเป็นเมืองร้อน มีมลภาวะสูง สาวๆ ไทยจะกลัวผิวหมองคล้ำมาก ยังมีค่านิยมต้องการอยากมีผิวขาวอยู่ ทำให้สกินแคร์กลุ่ม Whitening ยังขายดี

ในตลาดสกินแคร์นั้นแบ่งเป็น 4 เซ็กเมนต์ใหญ่ๆ ด้วยกัน Whitening หรือผิวกระจ่างใสมีสัดส่วนใหญ่สุด 40% รองลงมาก็คือกลุ่ม ให้ความชุ่มชื่น, ลดเลือนริ้วรอย และผิวแพ้ง่าย ก่อนหน้านี้ศรีจันทร์ได้ออกสกินแคร์กลุ่มให้ความชุ่มชื่นไปแล้ว งานนี้ถึงเวลากลุ่มนางเอกอย่าง Whitening

“ตลาดสกินแคร์ใหญ่มาก ยังมีพื้นที่ให้เล่นอีกมาก ในช่วง COVID-19 ไม่ค่อยกระทบเท่าไหร่ เพราะคนยังต้องดูแลผิวหน้า กลุ่ม Whitening คนยังให้ความสนใจเยอะที่สุด เพราะคนไทยกลัวหน้าหมองคล้ำ อยากผิวขาว ยังไม่ Sensitive กับคำนี้เท่าไหร่ เมื่อไหร่มีเทรนด์เหมือนในระดับโลกที่กังวลเรื่องเหยียดสีผิว เราจะเริ่มเปลี่ยนเอาคำว่า Whitening ออก มีการมอนิเตอร์ตลอด”

ต้องขยายฐานลูกค้า เป็น Beauty Solution

ศรีจันทร์เริ่มตั้งต้นสินค้าจากผงหอมศรีจันทร์ จากนั้นก็เป็นแป้ง ไปจนถึงแป้งรองพื้นต่างๆ จากนั้นเริ่มขยายไปยังไลน์อื่นๆ ครีมกันแดด เครื่องสำอางสี การที่จะขยายฐานลูกค้าเพิ่มได้นั้น ต้องขยายกลุ่มสินค้า เป็นเรื่องธรรมดาของการทำธุรกิจ

“พอเราทำสินค้าที่หลากหลาย จากแป้งมาเครื่องสำอาง แบรนด์เริ่มมีความเชื่อ มีลูกค้าที่มีความเชื่อเหมือนกัน ศรีจันทร์ก็เลยจะเปลี่ยนจากแบรนด์เครื่องสำอางเป็น Beauty Solution ครอบคลุมทุกอย่างของความงาม จึงต้องออกสกินแคร์ ทำให้แบรนด์มีมิติมากขึ้น ได้คุยกับผู้บริโภคกลุ่มใหม่ ซึ่งบางคนไม่ได้ใช้แป้ง หรือรองพื้น แต่ให้เขาใช้สกินแคร์ได้”

แต่อย่างที่ทราบกันดีว่าตลาดสกินแคร์มีการแข่งขันดุเดือดมาก มีหลายแบรนด์ในตลาด อีกทั้งยังมีแบรนด์จากต่างประเทศ เคาน์เตอร์แบรนด์พร้อมจะชิงเงินจากกระเป๋าผู้บริโภค รวิศบอกว่าตลาดบิวตี้การแข่งขันสูงมากก็จริง แต่ต้องเข้าใจลูกค้า ต้องมีทาร์เก็ตชัด ดูว่าคนที่สนใจศรีจันทร์จะประมาณไหน จะโฟกัสกลุ่มนี้ พยายามเจาะว่ามีความต้องการอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น บางกลุ่มต้องการผลเร็ว ต้องทำให้ตรงกับความต้องการของเขา

นอกจากสกินแคร์แล้วศรีจันทร์เองยังทรานส์ฟอร์มตัวเองมากกว่านั้น ก่อนหน้านี้ได้ออกสินค้าใหม่ๆ เป็นไอเทมเสริมที่เกี่ยวข้องกับความงาม ได้แก่ สำลี รวมไปถึงแป้งทาผม เพื่อลดความมันบนผม เป็นการจับ Pain Point ของผู้บริโภคที่ผมมัน หรือไปทานอาหารแล้วกลิ่นอาหารติดผมได้ด้วย

“ลูกค้าศรีจันทร์ให้ความสำคัญกับคุณค่ามากกว่า ผลที่ได้กับเงินที่จ่ายต้องคุ้มค่า ตอนนี้ฐานลูกค้าของแบรนด์กว้างมาก วัยไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของความเชื่อว่าอยากได้ของแบบนั้นรึเปล่า”

รวิศมองว่าในปีนี้รายได้น่าจะกลับมาโตได้ 2 หลัก อาจจะนิวไฮด้วยซ้ำ เพราะแนวโน้มค่อนข้างดี มองสัดส่วนรายได้ของศรีจันทร์แบ่งเป็นสกินแคร์ 50% และเครื่องสำอาง 50%

]]>
1392440
Skin Inc บุกไทย! สกินแคร์แบบ DIY เฉพาะบุคคล ถึงเวลาของยุค One size fits me https://positioningmag.com/1387436 Thu, 02 Jun 2022 04:19:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1387436 หมดยุค One size fits all ตอนนี้ต้อง One size fits me เทรนด์ที่ผู้บริโภคสามารถ Customize สินค้าและบริการได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้เหมาะกับตัวเองมากที่สุด ล่าสุด Skin Inc สกินแคร์ในรูปแบบบิวตี้เทคได้บุกตลาดประเทศไทยอย่างเต็มตัว ชูจุดเด่นที่สามารถผสมสูตรตามความต้องการของสภาพผิว และปัญหาของผิวได้

รู้จัก Skin Inc ปรุงสกินแคร์แบบค็อกเทล

Skin Inc Supplement Bar เป็นแบรนด์สกินแคร์สัญชาติสิงคโปร์ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2551 วางจุดยืนเป็นทั้งสกินแคร์ และสกินเทค วิเคราะห์สภาพผิวจากการใช้ดาต้า เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับคนไทยที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล

Sabrina Tan เป็นผู้ก่อนตั้ง Skin Inc รวมถึงเป็น CEO ด้วย มีประสบการณ์ในบริษัทเทคโนโลยีกว่า 10 ปี ทั้งที่ IBM และ HP บวกกับมีแพชชั่นด้านสกินแคร์ จึงสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา ทำให้เป็นลูกผสมระหว่าง บิวตี้ และเทคโนโลยี

Skin Inc

สกินแคร์ของ Skin Inc จะเป็นเซรั่มที่ใช้เทคนิคเอนแคปซูเลชันจากประเทศญี่ปุ่น ในการสร้างผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคล สินค้าจะ Made in Japan ทาง Sabrina ให้เหตุผลในการใช้เทคโนโลยี J-Beauty ว่า มีประวัติศาสตร์มายาวนาน มีนวัตกรรมในการผลิต มีการใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ อย่างที่ทุกคนรู้จักญี่ปุ่นกันเป็นอย่างดี

ก่อนหน้านี้ Skin Inc ได้นำร่องจำหน่ายใน Sephora มาแล้วเมื่อปีก่อน ถือเป็นการทดลองตลาดเพื่อเก็บดาต้า และศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทย ก่อนจะตัดสินใจเข้ามาทำตลาดแบบเต็มรูปแบบในปีนี้

Sabrina บอกว่า “ก่อนหน้านี้ที่เข้า Sephora เพราะอยากรู้จักลูกค้าในไทย เพื่อเก็บดาต้า และทำอุปกรณ์ ยุคนี้อะไรที่เป็น DIY มีการเติบโตมาก พบพฤติกรรมคนไทยมีการเปลี่ยนไปเยอะ แต่ก่อนลูกค้าต้องเทสต์เครื่องสำอางที่ร้าน ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว คนไทยไม่ชอบถามเท่าไหร่ ถ้าสนใจแล้วจะลงหาข้อมูลเชิงลึกด้วยตัวเอง 5 ปีก่อนตลาดสกินแคร์ยังไม่เยอะเท่าไหร่ ตอนนี้แข่งขันสูงมาก”

ผสมได้ 120 สูตร

สินค้าหลักของ Skin Inc จะแบ่งออกเป็นสกินแคร์ และอุปกรณ์สำหรับดูแลผิว มีสินค้าเด่นคือ My Daily Dose Cocktail Serums เป็นเซรั่มที่ดูแลเจาะจงแต่ละปัญหาผิวโดยเฉพาะ ลูกค้าแต่ละคนสามารถผสมเซรั่มเข้าด้วยกันเพื่อสร้างเซรั่มค็อกเทลสูตรเฉพาะของตัวเอง

ก่อนจะรู้สูตรที่เหมากับผิวตัวเอง จะมีแบบทดสอบผ่านแอปพลิเคชัน +SABI AI จากนั้นให้สแกนใบหน้า หรือทำแบบทดสอบเกี่ยวกับสภาพผิว หรือไลฟ์สไตล์ต่างๆ เพื่อได้ทราบถึงปัญหาผิวที่แท้จริง พร้อมกับแนะนำสูตรเซรั่มค็อกเทล 3 สูตร ที่จะมาผสมเป็นสกินแคร์ส่วนตัวแบบไม่ซ้ำใคร

เซรั่มที่ว่านี้มีสูตรพื้นฐาน 10 สูตร ได้แก่

  • Vitamin A Serum ลดริ้วรอย
  • Chlorella Serum สารสกัดจากสาหร่ายทะเล ลดความหมองคล้ำ และลดจุดด่างดำ
  • Ceramide Serum เสริมความแข็งแรง ลดการระคายเคือง
  • Hyaluronic Acid Serum ให้ความชุ่มชื้นยาวนาน
  • Collagen Serum เพิ่มความยืดหยุ่นผิว
  • Licorice Serum ช่วยปลอบประโลมผิวจากรากชะเอมเทศ
  • Coenzyme Q10 Serum ช่วยให้ผิวกระชับขึ้น
  • French Pine Bark Serum ช่วยฟื้นฟูผิวที่เผชิญมลภาวะ
  • Vitamin C Serum ช่วยให้ผิวกระจ่างใส
  • Vitamin B3 (Niacinamide) Serum ช่วยเรื่องรูขุมขนกว้างและแสบแดงง่าย

Skin Inc

หลายคนที่เป็นสาวกสกินแคร์น่าจะคุ้นเคยกับทั้ง 10 สูตรนี้กันมาบ้าง เพราะเป็นส่วนผสมหลักในสกินแคร์ต่างๆ ที่จำหน่ายในท้องตลาด โดยเซรั่มทั้ง 10 สูตรนี้ สามารถมาผสมเป็น Cocktail Serums ได้มากถึง 120 สูตร

Skin Inc จับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์เป็นหลัก เซรั่มแต่ละขวดมีราคาเริ่มต้นที่ 1,921 บาท ถ้าใครต้องการ Cocktail Serums ได้ทั้งหมด 3 สูตร สามารถซื้อขวดเปล่าเพิ่มได้ในราคา 375 บาท

Skin Inc

การที่ Cocktail Serums ลงมาในตลาด ถือเป็นการตอบรับกับเทรนด์ในยุคนสมัยนี้ มีผู้บริโภคต้องการปรับเปลี่ยน หรือ Customize ให้เข้ากับตัวเองให้มากที่สุด จะเห็นได้จากหลายๆ ธุรกิจทั้งแฟชั่น บริการ หลายแบรนด์ต่างชูบริการ Customize ทั้งสิ้น เพราะ One size fits all ไม่สามารถตอบโจทย์แล้ว

ปัจจุบัน Skin Inc มีจำหน่ายใน 15 ประเทศ สำหรับการเข้ามาทำตลาดในไทยหวังเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ก่อนที่จะขยายตลาดไปลาว เวียดนาม กัมพูชา เริ่มต้นจากประเทศเพื่อนบ้าน

ในปีนี้ Skin Inc เริ่มจำหน่ายทางช่องทางออนไลน์ก่อนทาง Lazada, Shopee และเว็บไซต์ จากนั้นจึงเริ่มเข้าโมเดิร์นเทรด รวมถึงเข้ากลับไปบนเชลฟ์ของ Sephora อีกครั้ง และมีแผนจะสร้างแฟลกชิพสโตร์เพิ่มเติมด้วย พร้อมกับตั้งเป้าหมายรายได้ 300 ล้านบาทภายในปี 2025

]]>
1387436
สารพัดบริษัทกำลังแตกไลน์มารุมชิงเค้กตลาด “เครื่องสำอาง” ระดับ “ลักชัวรี” https://positioningmag.com/1348489 Wed, 25 Aug 2021 06:53:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1348489 ไม่ใช่แค่แบรนด์ดั้งเดิมเท่านั้นที่อยู่ในตลาดนี้ บรรดาบริษัทอุปโภคบริโภค เสื้อผ้าแฟชั่น ไปจนถึงกลุ่มค้าปลีก ต่างแตกไลน์มาชิงส่วนแบ่งตลาด “เครื่องสำอาง” และ “สกินแคร์” ระดับลักชัวรี จากการเติบโตที่ทำได้ดีสวนกระแสเศรษฐกิจ

WWD รายงานการคาดการณ์ตลาดบิวตี้ปี 2021 น่าจะเติบโต 8.5% โดยเกิดจากแรงซื้อในตลาดลักชัวรีเป็นหลักมากกว่าเซ็กเมนต์อื่นๆ กลุ่มตลาดที่กำลังมาแรงนี้ ทำให้สารพัดบริษัทหันมาจับเทรนด์ ขยายสินค้าจากที่ตัวเองมีอยู่เดิม

บริษัทใหญ่รายหนึ่งที่เห็นผลสำเร็จไปแล้วคือ Unilever โดยทั้งเครือทำรายได้ครึ่งปีแรก 2021 เติบโต 5.4% อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินค้าที่เติบโตได้ดีในเครือคือ Unilever Prestige Beauty ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าสกินแคร์ เครื่องสำอาง ดูแลเส้นผม ระดับลักชัวรี สามารถเติบโตได้แบบ “ดับเบิล ดิจิต”

สกินแคร์ Paula’s Choice แบรนด์ที่ Unilever เพิ่งเทกโอเวอร์เข้าพอร์ต

แบรนด์ที่อยู่ในกลุ่ม Unilever Prestige ได้แก่ Dermalogica, Living Proof, Hourglass, Murad, Kate Somerville, REN skincare และล่าสุดบริษัทเพิ่งปิดดีลซื้อสกินแคร์แบรนด์ดัง “Paula’s Choice” มาไว้ในพอร์ตสำเร็จเมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2021 โดยแบรนด์นี้มีความแข็งแรงมากในแง่การตลาดดิจิทัล เข้ากับยุคปัจจุบัน

 

แบรนด์แฟชั่นตบเท้าเข้าวงการ

ฝั่งสินค้าที่อยู่ในเซ็กเมนต์ระดับไฮเอนด์อยู่แล้วอย่างเสื้อผ้าแฟชั่น แต่เดิมมีแบรนด์ดังครองตลาดเครื่องสำอางและน้ำหอมอยู่แล้ว เช่น Dior, Chanel, YSL

แต่เมื่อตลาดเครื่องสำอางลักชัวรีหอมหวาน แบรนด์อื่นๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหว นับจากต้นปี 2020 ที่แบรนด์ Hermes เปิดตัวเครื่องสำอางชิ้นแรกในเครือเป็นลิปสติก 24 เฉดสี ตามด้วยปีนี้ Valentino บุกตลาดแบบเต็มตัว ด้วยการเปิดตัวเซตเครื่องสำอางแบบครบทั้งใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นรองพื้น ไฮไลต์ ลิปสติก บลัชออน ฯลฯ แบบมาทีเดียวกว่า 100 SKUs

 

ค้าปลีกออฟไลน์-ออนไลน์ร่วมวง

อีกหนึ่งแบรนด์ที่มีชื่อในตลาดไฮเอนด์ ห้างสรรพสินค้าสุดหรู “Harrods” ในอังกฤษ เร่งเครื่องในตลาดบิวตี้ ส่งร้าน “H Beauty” เปิดตัวแยกออกจากห้างฯ ใน 3 เมือง คือ บริสตอล, เอดินเบิร์ก และเกทส์เฮด (เมืองทางใต้ของนิวคาสเซิล) เตรียมให้บริการปีหน้า ตามแผนการกระจาย “บริการระดับลักชัวรี” ไปตามหัวเมืองท้องถิ่น

H Beauty

นอกจากมีสินค้าบิวตี้ให้ทดลองและจำหน่ายแล้ว ประเด็นสำคัญคือร้าน H Beauty จะให้ “ประสบการณ์” ในการมาช้อปปิ้งด้วย เพราะมีห้องทำทรีทเมนต์ใบหน้า ทำผม และบาร์เสิร์ฟแชมเปญไว้รับรอง

ขณะที่แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซก็เข้ามาจับตลาดด้วย โดยอาศัยการคอลแลปกับแบรนด์อื่น ตัวอย่างเช่น Zalando ซึ่งเป็นอี-คอมเมิร์ซยุโรปเน้นจำหน่ายสินค้าแฟชั่นไฮเอนด์อยู่แล้ว เมื่อต้องการเจาะตลาดบิวตี้จึงเข้าไปจับมือกับ Sephora นำสินค้าเครื่องอางระดับบนกว่า 300 แบรนด์จำหน่ายบนแพลตฟอร์ม

น่าสนใจว่าตลาดบิวตี้จะเข้มข้นขึ้นแค่ไหน จากเดิมที่มีผู้นำตลาดบิ๊กเนมอยู่แล้วหลายเจ้า ไม่ว่าจะเป็น Nars, Lancôme, Dior Beauty, Chanel, Laura Mercier, Charlotte Tilbury, Estée Lauder, La Prairie, La Mer ฯลฯ

Source: WundermanThompson, Yahoo Finance

]]>
1348489