สกุลเงินดิจิทัล – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 16 Oct 2023 05:10:19 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ผู้บริหารฝ่ายบริหารเงินตราต่างประเทศของจีนมอง “เงินสกุลดิจิทัลของธนาคารกลาง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพนโยบายการเงินได้” https://positioningmag.com/1448053 Mon, 16 Oct 2023 03:34:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1448053 เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฝ่ายบริหารเงินตราต่างประเทศของจีนได้กล่าวในงานสัมมนางานหนึ่งว่าเงินสกุลดิจิทัลของธนาคารกลาง หรือ CBDC นั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพนโยบายการเงินได้ เนื่องจากความสามารถในการกำหนดการทำงานของมันได้

สำนักข่าว Reuters ได้รายงานข่าวว่า Lu Lei รองผู้บริหารฝ่ายบริหารเงินตราต่างประเทศของจีน (SAFE) ได้กล่าวกับสื่อในประเทศจีนอย่าง Shanghai Securities News ว่าสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ที่สามารถตั้งการทำงานได้นั้นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพนโยบายการเงินได้

Lu ได้กล่าวในงานสัมมนาในประเทศจีนว่า คุณสมบัติของ CBDC คือการตั้งค่าสกุลเงินที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ตัวอย่างเช่น สามารถตั้งโปรแกรมให้มีวันหมดอายุหรือจำกัดการใช้งานบางอย่างได้ หรือแม้แต่สร้าง CBDC ที่สามารถใช้เป็นเงินฝากหรือออมทรัพย์ได้ด้วย

การตั้งค่าการทำงานของ CBDC ทำให้นโยบายการเงินนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ผู้บริหารของ SAFE คาดหวังว่าธนาคารประชาชนจีน (PBoC) จะสามารถสำรวจฟีเจอร์ต่างๆ เพื่อปรับการใช้งานของ CBDC ซึ่งสามารถนำมาใช้ในจัดการในเศรษฐกิจมหภาคของจีนได้เช่นกัน

จีนถือเป็นอีก 1 ประเทศที่กำลังพัฒนา CBDC เป็นของตัวเองอยู่ในขณะนี้ ในชื่อที่เรารู้จักกันดีคือ “หยวนดิจิทัล” (e-CNY) และมีการทดสอบใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็นในปี 2022 ที่มีการทดสอบให้สามารถชำระเงินโครงการอสังหาริมทรัพย์ด้วย CBDC อย่างหยวนดิจิทัล

นอกจากนี้ Lu ยังกล่าวอีกว่าการชำระเงินข้ามประเทศโดยใช้ CBDC สามารถทำให้การทำธุรกรรมปลอดภัย สะดวก และครอบคลุมได้

ข้อมูลล่าสุดในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ธุรกรรมที่ใช้ CBDC ของจีน หรือดิจิทัลหยวน มีมูลค่าแตะ 1.8 ล้านล้านหยวน คิดเป็นปริมาณเงินหมุนเวียนเพียง 0.16% ของปริมาณเงินในระบบทั้งหมดของจีนเท่านั้น

]]>
1448053
ความสนใจลงทุน ‘คริปโต’ ของคน ‘มิลเลนเนียล’ ลดเหลือ 30% หลังราคาผันผวนหนัก https://positioningmag.com/1402857 Mon, 03 Oct 2022 05:36:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1402857 ก็ดูไม่น่แปลกใจหากพิจารณาจากข่าวที่ร้าย ๆ ในวงการคริปโต รวมไปถึงมูลค่าที่ดิ่งฮวบ ๆ ลงจะทำให้ นักลงทุน เริ่มที่จะลดความสนใจในการลงทุนกับคริปโต ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจล่าสุดในเดือนกันยายนที่ผ่านมาของ Bankrate ที่แสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกัน รู้สึกไม่สบายใจหากต้องลงทุนในคริปโต

จากผลสำรวจของ Bankrate ในเดือนกันยายนพบว่า ความนิยมของ คริปโตเคอร์เรนซี ของนักลงทุนชาวอเมริกันกำลังลดลง โดยในปี 2022 มีชาวอเมริกันเพียง 21% เท่านั้นที่รู้สึกสบายใจที่จะลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล จากปีที่ผ่านมาที่มี 35% ขณะที่กลุ่มคนรุ่น มิลเลนเนียล (อายุ 26-41 ปี) ก็ลดลงจาก 50% เหลือ 30% เท่านั้น ที่สบายใจในการลงทุนในคริปโต ซึ่งถือว่าลดลงมากที่สุดในทุกเจน

การลดลงนั้นไม่น่าแปลกใจ เมื่อพิจารณาว่ามูลค่าสูงสุดของตลาดคริปโตที่เคยมีมูลเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงพฤศจิกายนปี 2021 ปัจจุบันนี้เหลือเพียง 1 ล้านล้านดอลลาร์

“มูลค่าของสกุลเงินดัง ๆ อย่าง Bitcoin และ Ethereum ลดลงมากกว่า 70% จากระดับสูงสุดตลอดกาล จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ความสนใจของเหรียญจะหายไป ยิ่งนักลงทุนหน้าใหม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง” James Royal ผู้อำนวยการที่ Bankrate กล่าว

ในขั้นต้น ความสนใจของนักลงทุนรุ่นเยาว์จำนวนมากในคริปโตนั้นเป็นเพราะพวกเขามีความรู้สึก อยากถูกลอตเตอรี่ หรือการที่จะสามารถทำเงินได้มากมายอย่างรวดเร็ว แม้ว่านักลงทุนรุ่นเยาว์จำนวนมากจะไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังซื้อ แต่พวกเขาเห็นราคาที่ขึ้นและพวกเขาต้องการเข้าไป

วิธีเดียวที่คุณสามารถสร้างรายได้จากมันคือ การขายให้กับคนที่มองโลกในแง่ดีหรือโง่มากกว่าคุณ ด้วยเหตุผลนี้ คริปโตจึงไม่ควรถูกมองว่าเป็นการลงทุนแบบดั้งเดิม

ทั้งนี้ คริปโตเคอร์เรนซีถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง ซึ่งอยู่ภายใต้ความผันผวนของราคาที่คาดเดาไม่ได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินมักไม่แนะนำให้ลงทุนเงินในสกุลเงินดิจิทัล หากทำใจไม่ได้ที่จะขาดทุน เนื่องจากไม่มีการรับประกันว่าจะได้รับผลกำไร

อย่างไรก็ตาม หากว่ากำลังค้นหาการลงทุนที่ได้กำไรน้อยลง แต่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้บนพื้นฐานความเป็น กองทุนดัชนี S&P 500 ถือเป็นอีกตัวเลือก เพราะหากซื้อเป็นประจำ แล้วถือต่อไปอย่างเหนียวแน่น มีแนวโน้มที่จะช่วยสร้างความมั่งคั่ง อย่างเช่นตัวอย่างของเศรษฐีชาวอเมริกันจำนวนมาก

“แน่นอนว่าบางคนถูกลอตเตอรี่ แต่ความมั่งคั่งถูกสร้างขึ้นได้เอง และสามารถไปถึงเป้าหมายได้สำหรับผู้ที่สามารถเป็นนักลงทุนที่มีวินัยได้”

Source

]]>
1402857
ลือ! ‘Meta’ เล็งออกคริปโตชื่อ ‘Zuck Bucks’ สำหรับใช้ใน ‘Metaverse’ และ ‘ปล่อยกู้’ https://positioningmag.com/1380831 Thu, 07 Apr 2022 08:51:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1380831 หากจำกันได้ Facebook หรือ Meta ในปี 2018 เคยมีแผนที่จะออกคริปโตเคอร์เรนซีของตัวเองในนาม ‘Libra’ เพื่อสร้างเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีเสถียรภาพ หรือ Stablecoin ของตัวเอง โดยมีเป้าหมายไปที่การปฏิวัติบริการทางการเงินทั่วโลก แต่ผ่านไป 4 ปี จากชื่อ Libra สู่ ‘Diem’ และสุดท้าย โปรเจกต์ดังกล่าวก็ต้องถูกยกเลิกไป

แต่ดูเหมือนทาง Meta จะไม่ได้ตัดใจจากการพัฒนาคริปโตของตัวเองเสียทีเดียว เพราะล่าสุดมีข่าวบริษัทเตรียมจะเปิดตัวคริปโตใหม่ แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีเป้าหมายที่ใหญ่โตเหมือนกับ Diem แต่จะใช้ใน Metaverse และแอปพลิเคชันในเครืออย่าง Facebook, Instagram, WhatsApp และ Meta Quest เพื่อเป็นรางวัลให้กับครีเอเตอร์ในแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น จ่ายให้กับครีเอเตอร์ที่ชื่นชอบใน Ig หรือให้รางวัลกับผู้มีส่วนร่วมในกลุ่มบน Facebook รวมถึงใช้สำหรับกู้ยืมอีกด้วย

สำหรับเหรียญดังกล่าวอาจใช้ชื่อว่า Zuck Bucks ซึ่งไม่ได้ใช้บล็อกเชน แต่จะควบคุมโดยบริษัท โดยเหรียญจะมีลักษณะเป็นเหมือนสกุลเงินของเกม มีการคาดการณ์ว่าหากเหรียญดังกล่าวถูกนำไปใช้งานจะทำให้ Meta มีช่องทางรายได้ใหม่ ๆ และควบคุมธุรกรรมในทุกแพลตฟอร์มที่มีในมือ

ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Meta กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า Instagram จะเปิดตัว NFTs ในระยะเวลาอันใกล้ และเมื่อต้นปีนี้ Meta เข้าร่วม Crypto Open Patent Alliance (COPA) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่นำโดย Jack Dorsey ผู้ก่อตั้ง Twitter และ Block ซึ่งมีเป้าหมายในการส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีคริปโตแบบเปิด

Rueters / The Verge

]]>
1380831
เทรนด์นี้มาเเรง พนักงานทั่วโลก เลือกรับค่าจ้างเป็น ‘คริปโต’ มากขึ้น https://positioningmag.com/1373748 Fri, 11 Feb 2022 11:27:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373748 พนักงานทั่วโลก เลือกที่จะรับค่าตอบเเทนเป็นสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้น โดยเฉพาะในสายงานเทคโนโลยีและการเงิน

ข้อมูลนี้มาจาก Deel บริษัทด้านการจ้างงานรายใหญ่ ที่มีเครือข่ายพนักงานกว่า 1 แสนคนใน 150 ประเทศทั่วโลก ระบุว่าช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีพนักงานราว 2% (จาก 1 เเสนคน) สนใจรับค่าตอบแทนอย่างน้อยบางส่วนเป็นสกุลเงินคริปโตฯ หลังเริ่มเสนอทางเลือกนี้เมื่อเดือน ก.. ปีที่ผ่านมา

โดยในกลุ่มของผู้ที่เลือกรับค่าตอบเเทนเป็นคริปโตฯ นั้นกว่า 2 ใน 3 เลือกที่จะรับเป็นเหรียญยอดนิยมอย่างบิตคอยน์’ (BTC)

นอกจากนี้ ยังพบว่าพนักงานที่เลือกรับเงินเดือนเป็นคริปโตฯ ส่วนใหญ่จะอยู่ในเเวดวงเทคโนโลยีและการเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเข้าใจในเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลมากกว่าพนักงานในภาคธุรกิจอื่น

จากข้อมูลของ Deel เปิดเผยว่า พนักงานในอาร์เจนตินา สนใจรับค่าตอบแทนเป็นคริปโตฯ มากที่สุดถึง 1 ใน 3 เนื่องจากปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูง รองลงมาคือพนักงานในไนจีเรีย ที่มีสัดส่วน 1 ใน 5 และพนักงานบราซิลมีสัดส่วนราว 3% ส่วนพนักงานในสหรัฐฯ ที่ Deel จัดจ้าง มีเพียง 1.2% เท่านั้น ที่เลือกรับค่าตอบเเทนเป็นคริปโตฯ

โดยในหลายประเทศ รวมทั้งสหรัฐฯ พนักงานจะไม่สามารถรับค่าตอบแทนเป็นสกุลเงินดิจิทัลได้โดยตรง’ ทาง  Deel จึงร่วมมือกับ Coinbase แพลตฟอร์มศูนย์กลางซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล มาให้บริการแปลงเงินคริปโตฯ ให้เป็นเงินสกุลท้องถิ่น

อย่างไรก็ตาม การรับค่าตอบเเทนหรือเงินเดือนเป็นสกุลเงินดิจิทัล ไม่ง่ายเเละยังไม่เเพร่หลายมากนักในปัจจุบันเนื่องจากยังไม่ได้เป็นสกุลเงินที่รับประกันโดยรัฐบาล เเละมีข้อจำกัดด้านกฎระเบียบต่างๆ อย่างการที่บริษัทต้องรายงานค่าจ้างพนักงานต่อรัฐ เพื่อจัดเก็บภาษีเป็นสกุลเงินท้องถิ่น

เเต่ด้วยความที่ราคาของคริปโตฯ มีความผันผวนสูงมาก อาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อพนักงานที่อาจจะถูกเรียกเก็บภาษีจากค่าตอบเเทน เมื่อเหรียญเหล่านั้นมีมูลค่าลดลงหรือเพิ่มขึ้นในอนาคตได้

ทั้งนี้ การประกอบธุรกิจและการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในประเทศไทยก็มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นจาก 240 ล้านบาท เป็นกว่า 4,839 ล้านบาท มูลค่าทรัพย์สินของลูกค้าเพิ่มขึ้นจาก 9,600 ล้านบาท เป็น 114,539 ล้านบาท และมีจำนวนบัญชีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นจาก 1.7 แสนราย เป็น 1.98 ล้านราย (ข้อมูลจากกรมสรรพากร 28 ม.ค.65)

 

ที่มา : Bloomberg 

]]>
1373748
รวมมิตร ‘บริษัทใหญ่’ ในไทย ที่เปิดรับชำระเงินด้วย ‘คริปโต’ ท่ามกลางข้อกังวลเรื่องภาษี https://positioningmag.com/1369855 Tue, 11 Jan 2022 01:12:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1369855 ในช่วงปีที่ผ่านมา นับเป็นปีเเห่งการเปลี่ยนเเปลงของวงการเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอร์เรนซีเมืองไทยเลยก็ว่าได้ ทั้งในเเง่จำนวนนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความเเรงของเทรนด์ Defi , NFT เเละ Metaverse

เหล่านี้จุดกระเเสให้บรรดาบริษัท ห้างร้านใหญ่ๆ เริ่มประกาศรับชำระเงินด้วยคริปโตฯ กันเเพร่หลายมากขึ้นในชีวิตประจำวัน ตั้งเเต่ตั๋วหนัง ตั๋วเครื่องบิน กาเเฟเเละเครื่องดื่ม ยันซื้อบ้านเเละคอนโด ท่ามกลางความไม่เเน่นอนของเเนวทางการจัดเก็บภาษีคริปโตจากกรมสรรพากร เเละธนาคารแห่งประเทศไทย ยังออกมาประกาศว่า ไม่สนับสนุนการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ เพราะราคามีความผันผวนสูง มีความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์

ประเดิมด้วย ‘ตั๋วหนัง’ 

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนมี.. 2021 เจ้าใหญ่อย่าง Major Cineplex สร้างเสียงฮือฮาด้วยการเปิดโครงการ ทดลองรับแลกตั๋วหนังด้วยสกุลเงินดิจิทัลรายเเรกของไทย ผ่านการจับมือกับ Zipmex แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล และ Rapidz ผู้ให้บริการระบบรับแลกสินค้าและบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล

เริ่มต้นด้วยสกุลเงินคริปโตฯ เบอร์หนึ่งอย่าง Bitcoin และกำลังจะเพิ่มสกุลเงินคริปโตฯ อื่นๆ เช่น Ethereum และ ZMT (สกุลเงินของ Zipmex) โดยให้บริการที่เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สาขารัชโยธินเป็นที่แรก ตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค. 2021 และกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาสาขาต่อไป

อ่านเพิ่มเติม : เปิดสาเหตุ ‘เมเจอร์’ ขอเกาะกระแสคริปโตฯ ให้ใช้ ‘Bitcoin’ แลกตั๋วหนัง

เเบรนด์อสังหา ให้ซื้อบ้าน-คอนโด ด้วย ‘คริปโต’ 

ตามมาติดๆ กับกลุ่ม ’อสังหาริมทรัพย์’ ภาคธุรกิจรายเเรกๆ ที่พาเหรดกันเปิดให้ใช้คริปโตฯ ซื้อบ้านเเละคอนโดมิเนียมได้มากมายหลายเเบรนด์

ในเดือนเม.ย. 2021 อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ มาพร้อมกับ Bitkub แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในไทย เปิดช่องทางการชำระเงินโดยนำคริปโตฯ มาใช้ชำระเงินสำหรับการซื้อโครงการบ้านและคอนโดมิเนียม ‘ทุกโครงการ’ ของอนันดา เบื้องต้นเปิดรับ 3 สกุลเงินดิจิทัล คือ Bitcoin , Ethereum และ Tether (USDT)

จากนั้นไม่นาน แสนสิริ ได้ร่วมมือกับ XSpring และ Bitazza นายหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker) ของไทย เปิดรับคริปโตฯ สำหรับซื้อบ้านเเละคอนโดฯ รวมไปถึงสามารถ ‘จ่ายค่าส่วนกลาง’ ได้ทุกโครงการ เบื้องต้นเปิดรับ 4 สกุลเงินดิจิทัล คือ Bitcoin, Ethereum , USDC และ Tether (USDT) ผ่าน Bitazza โดยเริ่มต้นอย่างเป็นทางการมาตั้งเเต่ช่วงเดือนก.ค.ที่ผ่านมา

ด้าน ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จับมือ Bitkub ให้ซื้อขายบ้านและคอนโดมิเนียมทุกโครงการในเครือด้วยสกุลเงินดิจิทัล โดยเบื้องต้นเปิดรับ 3 สกุลเงิน ได้แก่ Bitcoin, Ethereum และ Tether (USDT)

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ก็ร่วมกับ Bitkub เปิดรับสกุลเงินดิจิทัลในการจอง วางเงินดาวน์ และชำระเพื่อโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ ผ่าน 3 สกุลเงินดิจิทัล ได้แก่ Bitcoin, Ethereum และ Tether (USDT) โดยไม่มีค่าธรรมเนียม

ฝั่ง เจ้าพระยามหานคร ร่วมกับ Zipmex เพิ่มช่องทางซื้อขายบ้านและคอนโดฯ ด้วยสกุลเงินดิจิทัลทุกสกุลเงินที่อยู่บนแพลตฟอร์ม Zipmex

ส่วน เอสซี แอสเสท ก็จับมือ Zipmex เช่นกัน โดยเปิดซื้อบ้านเเละคอนโดผ่าน 5 สกุลเงินดิจิทัล ได้แก่ BTC, ETH, ZMT, Tether (USDT) และ USDC เพื่อรองรับการขยายฐานกลุ่มลูกค้าอนาคตทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเริ่มมาวันที่ 1 ธ.ค. 2021

ใกล้ตัวขึ้นอีก เมื่อเปิดให้ช้อปของในห้างฯ 

เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ของธุรกิจศูนย์การค้าในปีที่ผ่านมา เมื่อ The Mall Group เเละ Bitkub ประกาศร่วมทุนจัดตั้ง Bitkub M Company Limited เพื่อร่วมลงทุนและบริหาร BITKUB M SOCIAL ซึ่งตั้งอยู่ที่ ดิ เอ็มควอเทียร์ บนพื้นที่กว่า 2,000 ตร.ม. เป็นคอมมูนิตี้สำหรับสมาชิกที่สนใจในคริปโตเคอร์เรนซีและเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งแรกของไทย

รวมถึงเปิดให้ใช้คริปโตฯ 7 สกุลเงิน ได้แก่ Bitkub Coin, Bitcoin, Ethereum, Tether (USDT) , Ripple, Stellar Lumens และ JFIN Coin แลกซื้อสินค้า-บริการ หรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ จาก The Mall Group

นอกจากนี้ ยังจะมีการทำการตลาดผ่านโปรโมชันและสิทธิพิเศษ ด้วย NFT (Non-fungible Token) และ Gamification เพื่อดึงดูดให้คนมาใช้บริการกับศูนย์การค้าด้วย

ภาพความร่วมมือของ จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (ซ้าย) เเละศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด (ขวา)

ด้านเเบรนด์รองเท้าในตำนาน อย่าง นันยาง ปรับตัวรับกระเเสเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ขยายตลาดเจาะคนรุ่นใหม่ โดยเพิ่มช่องการให้ลูกค้านำคริปโตฯ 3 สกุลเงินได้แก่ Bitcoin , Ethereum และ Dogecoin มาติดต่อขอแลกซื้อสินค้าได้ผ่านทางเพจเฟซบุ๊กของนันยาง และรอรับสินค้าไม่เกิน 3 วันทำการ

เตรียมซื้อตั๋วเครื่องบินด้วย ‘คริปโต’

พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการสายการบิน ‘บางกอกแอร์เวย์ส’ ประกาศในงานเเถลงดีลระหว่าง The Mall Group เเละ Bitkub ว่า สายการบินกำลังวางเเผนเปิดให้ลูกค้าสามารถนำสกุลเงินดิจิทัลมาชำระค่าโดยสารได้ โดยจะเริ่มขายบัตรโดยสารที่สำนักงานใหญ่เป็นแห่งแรก ภายในเดือนม.ค. 2021 นี้ โดยกำลังอยู่ระหว่างการเร่งเร่งประสานกับ Bitkub เพื่อจัดการระบบหลังบ้าน เเละจะขยายสู่ช่องทางออนไลน์ในอนาคต

จ่ายค่าอาหาร-กาเเฟ 

ขยับมาทางฝั่งยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน อย่าง บางจาก ที่เปิดรับชำระเงินด้วยคริปโตฯ เริ่มใช้ที่ร้านกาเเฟ “อินทนิล” ก่อนขยายไปธุรกิจ “คาร์แคร์-ปั๊มน้ำมัน” โดยร่วมมือกับ Bitazza สร้างการใช้งานจริงของคริปโตฯ ในชีวิตประจำวัน มีโซลูชันในการแปลงคริปโตเคอร์เรนซีเป็นเงินบาทได้ทันที

บางจากฯ เริ่มรับชำระด้วยคริปโตเคอร์เรนซีที่ “ร้านกาแฟอินทนิล” ด้วยสกุลเงินอย่าง Bitcoin , Ethereum เเละ Tether (USDT) มาตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2021 จำนวน 21 สาขาและเพิ่มอีก 100 สาขา ในวันที่ 1 ม.ค. 2022 ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล จากนั้นวางเเผนจะขยายไปทั่วประเทศให้ได้ภายในไตรมาส 2 ปีนี้

ส่วนเชนร้านกาเเฟชื่อดังของคนไทยอย่าง Class Cafe ก็เปิดให้ซื้อกาแฟด้วย Bitcoin และเหรียญคริปโตฯ อื่นๆ ได้ตั้งแต่ 26 ธ.ค. 2021 เป็นต้นไป แบบไม่มีค่าธรรมเนียม

รวมไปถึงมีคาเฟ่ใหม่ๆ ที่เป็นคอมมูนิตี้ของคนที่สนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลเกิดขึ้นมาเพื่อเจาะลูกค้าตลาดนี้โดยตรง อย่าง The Moon : Crypto & NFT Cafe เเละ HIP Coffee & Restaurant นอกจากความเคลื่อนไหวของบริษัทใหญ่เเล้ว ยังมีร้านอาหารเเละร้านกาเเฟเเบรนด์ขนาดกลาง-เล็ก เข้าร่วมเทรนด์การรับคริปโตฯ แทนเงินบาท กันอย่างคึกคัก

จะเห็นได้ว่าความเคลื่อนไหวในฝั่งเอกชนไทย พร้อมเปิดรับสกุลเงินดิจิทัลในการซื้อของมากขึ้น เเละดูจะเป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังอยู่ในความสนใจของผู้คน เเต่อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายด้วยคริปโตฯ ก็ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับ ‘ภาษีคริปโต’ ที่กำลังถูกพูดถึงกันอย่างมากในขณะนี้ ว่าเเท้จริงเเล้วจะมีการคำนวณอย่างไร ลูกค้าอาจเป็นฝ่ายที่ต้องเสียภาษีหรือไม่ ต้องติดตามเเนวทาง ‘ที่ชัดเจน’ ของกรมกรมสรรพากร เเละหน่วยงานกำกับฯ ที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

หมายเหตุ: การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงและความผันผวนสูง นักลงทุนควรศึกษาเเละตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบ 

 

 

]]>
1369855
จับตาเหรียญคริปโตไทย ‘Kub-Jfin-Six’ จาก New Hight กลับร่วงแรงภายในวันเดียว https://positioningmag.com/1364548 Tue, 30 Nov 2021 09:00:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1364548 ตอนนี้วงการคริปโตฯ ไทยกำลังน่าจับตามองมาก โดยเฉพาะกับคริปโตสัญชาติไทย อาทิ KUB Coin, jfin Coin และ Six Coin แต่ในช่วงเช้าของวันนี้ (08:45 น.) ทั้ง 3 เหรียญราคากลับร่วงหลังจากที่เคยพุ่ง All Time High เป็นประวัติการณ์ในช่วงเวลาไม่กี่วัน

ย้อนไปช่วงวันที่ 20 พฤษภาคม Bitkub แพลตฟอร์ม Exchange สำหรับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ได้ประกาศว่าจะเปิดให้เหรียญ KUB Coin ที่ออกโดยบริษัท สามารถซื้อขายในแพลตฟอร์มได้ โดยราคาขายเบื้องต้นอยู่ที่ 30 บาท และจะออกมา 1 พันล้านเหรียญ หรือมีมูลค่า 3 หมื่นล้านบาท โดย 10 ล้านเหรียญแรก Bitkub แจกให้กับยูสเซอร์ที่เคยใช้งานแพลตฟอร์ม ก่อนจะออกมาให้ซื้อในวันแรกอีก 10% และจะทยอยปล่อยออกมาเป็นรายไตรมาสและรายปี

ใน 2 วันแรกที่ KUB Coin สามารถขายได้ 50 ล้านเหรียญ จากนั้นราคาก็ร่วงลงมาเหลือ 13-14 บาท เนื่องจากก.ล.ต. ตั้งกฎว่าห้ามบุคคลที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ซื้อขายเอง แม้จะไม่มีผลย้อนหลัง แต่ทำให้ศูนย์ซื้อขายอื่น ๆ ทำไม่ได้จนเกิดเป็นดราม่า หลังจากนั้น Bitkub ก็ได้เบิร์นเหรียญทิ้ง 89% ให้เหลือ 110 ล้านเหรียญ จนราคากลับมาอยู่ที่ราว 25 บาท

จากนั้น 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา SCB ได้ให้ SCBs เข้าซื้อหุ้น Bitkub ในสัดส่วน 51% ในมูลค่า 17,850 ล้านบาท ทำให้เหรียญราคาพุ่ง 132% ในวันเดียว ปิดที่ 77 บาท และนับตั้งแต่ตอนนั้นราคาเหรียญ KUB Coin ก็ทรงตัวมาโดยตลอด และช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เติบโตมาตลอด

จนวันที่ 29 พฤศจิกายน ข้อมูลจาก tradingview แสดงถึงราคาของเหรียญ KUB ว่าได้พุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดใหม่ที่ 500 บาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะมีข่าวว่า Bitkub ร่วมกับ เดอะมอลล์ ตั้ง Bitkub M ก่อนจะค่อย ๆ ร่วงลดลงเรื่อย จนกระทั่งประมาณ 9 โมงเช้าของวันนี้ (30 พฤศจิกายน) ก็มีการเทขายอย่างรุนแรง จนทำให้ราคาร่วงลงเหลือ 140 บาท แต่จากนั้นก็มีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม สาเหตุดังกล่าวอาจมาจากที่มีการรายงานว่า ในวันที่ 1 ธันวาคม จะมีการทยอยปลดล็อกเหรียญ KUB จำนวนนับล้านเหรียญจากแพลตฟอร์ม Bitkub next หรือ Bonus kub ที่มีการล็อกเหรียญไว้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ทำให้นักเทรดชาวไทยเริ่มความกังวลว่ามันจะทำให้เกิดแรงเทขายจำนวนมหาศาลที่อาจส่งผลทำให้ราคาของเหรียญ KUB นั้นร่วงลงอย่างรุนแรงได้

สำหรับอีก 2 เหรียญที่ราคาร่วงก็คือ Jfin Coin (ของ J-mart) และ Six Coin (ของ Ookbee U และ กลุ่ม YDM) ที่เกิดมาจากการทำ ICO (Initial Coin Offering : การระดมทุน แบบดิจิทัลด้วยการเสนอขาย ดิจิทัลโทเคน) โดยเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน มูลค่าของ Jfin Coin อยู่ที่ 15 บาท ก่อนจะพุ่งอยู่ที่ 66 บาท ในวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา จากนั้นเพียงไม่กี่วันเหรียญดังกล่าวก็ได้การไล่ซื้อชุดใหญ่จนดันให้ราคาขึ้นอยู่ในระดับ All Time High ที่ 248 บาท ในวันที่ 30 พฤศจิกายน

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เหรียญ Jfin Coin พุ่งนั้นก็เพราะมีการเปิดเผยว่า รถไฟฟ้า BTS กำลังร่วมมือกับ บมจ.เจ มาร์ท (JMART) เพิ่มช่องทางการชำระเงินใช้บริการรถไฟฟ้า BTS ด้วยการใช้ Jfin Coin ชำระค่าบริการต่าง ๆ ในเครือ ในช่วงต้นปีหน้า เช่น การใช้เหรียญในการชำระค่าบริการธุรกิจโรงแรมในเครือ, การใช้เหรียญเพื่อเติมเงินในบัตรแรบบิทในการชำระค่าเดินทางด้วยรถไฟฟ้าของ BTS หรือ การชำระราคาสินค้า เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม หลังจาก Jfin Coin พุ่งสู่ New Hight ได้ไม่กี่นาทีก็เริ่มมีแรงขายออกมาอย่างหนัก กดดันให้ราคาเหรียญร่วงลงราวตกหน้าผา โดยมาทำจุดต่ำสุดที่ 88 บาท จนล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ที่บริเวณ 125 บาท

ส่วนเหรียญ Six Coin เปิดขายตอนแรกที่ 3 บาทในช่วงปี 2018 จากนั้นก็พุ่งสูงสุดที่ 6 บาทในช่วงเดือนเมษายน จากนั้นก็ร่วงลงมาตลอด แต่เคยมีข่าวลือว่าจะคอลแลบกับลาซาด้า ทำให้ราคาขึ้นลง ๆ อยู่ช่วงหนึ่ง จนเริ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และเมื่อเช้าวันที่ 29 พฤศจิกายนทำสถิติสูงสุดที่ 18 บาท ก่อนจะร่วงลงสู่ระดับ 10 บาทในวันที่ 30 พฤศจิกายน

จะเห็นว่าเหรียญแต่ละสกุลมีความผันผวนขึ้นลงเร็วมาก ดังนั้น ควรศึกษาให้ดีก่อนจะลงทุน ไม่ควรประมาทเด็ดขาด

]]>
1364548
KX เดินเกมสร้างธุรกิจใหม่บนโลกของ DeFi ปั้น ‘Coral’ มาร์เก็ตเพลส NFT ซื้อขายง่ายด้วยสกุลเงินทั่วไป เปิดโอกาสศิลปินไทยโกอินเตอร์ https://positioningmag.com/1357677 Thu, 21 Oct 2021 10:00:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1357677

อีกหนึ่งบทใหม่ที่จับตามองของ KBTG กับการปั้น KASIKORN X หรือเรียกสั้นๆ จำได้ง่ายๆ ว่า ‘KX’ ให้เป็นเหมือน New S-curve Factory โรงงานผลิตธุรกิจใหม่บนโลก ‘DeFi’ ที่ไม่ใช่เเค่ต้องก้าวทัน เเต่ต้อง ‘ก้าวนำ’ ไปข้างหน้า

ล่าสุดจับทิศทางตลาด NFT ที่กำลังเติบโตมหาศาล เปิดพื้นที่สร้างสรรค์ให้ศิลปินไทยและทั่วโลก ได้ ‘ลองของ’ ขายผลงานศิลปะผ่าน ‘Coral’ แพลตฟอร์ม NFT มาร์เก็ตเพลสด้วยสกุลเงินทั่วไป ซึ่งจะเริ่มให้บริการได้ในช่วงปลายปีนี้

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2016 KBTG เกิดขึ้นมาตามเป้าหมายการทรานฟอร์มองค์กรของธนาคารกสิกรไทย ที่มุ่งให้ความสำคัญกับเทคโนโลยียุคใหม่

กระทิง เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) เล่าว่า ในช่วง 3 ปีเเรกนั้น ถือเป็นเวลาเเห่งการ ‘สร้างเนื้อสร้างตัว’ เเละในช่วง 3 ปีต่อมา (2019 -2021) ถือเป็นยุคเเห่งการ Transformation & Rise in Crisis ที่มีทั้งความท้าทายเเละโอกาสการเติบโตที่สำคัญ ท่ามกลางวิกฤตใหญ่ที่เปลี่ยนเเปลงชีวิตคนทั้งโลก

“หลังจากเราสร้างรากฐานได้อย่างเเข็งเเกร่งเเล้ว ก็ถึงเวลาที่ขยับขยายไปสู่ระดับภูมิภาค ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง เพิ่มขีดความสามารถขึ้นเป็นเท่าตัว เเละการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ”

การเดินหน้าลุย Decentralized Finance หรือ DeFi เปิดทางสู่โลกการเงินแบบกระจายศูนย์กลาง โลกที่แปลงสินทรัพย์ในความเป็นจริงให้กลายเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ก็เป็นหนึ่งในนั้น

เเม้หน่วยการทำงานต่างๆ ของกลุ่ม KBTG จะมีหน้าที่เเตกต่างกัน เเต่ก็ประสานเเละส่งเสริมกันได้เป็นอย่างดี โดยปัจจุบันพนักงานของ KBTG มีมากกว่า 2,000 คนเเล้ว


Speed – Scale – Synergy

ที่ผ่านมา KBTG ได้ประสานการทำงานร่วมกันในเเพลตฟอร์มต่างๆ ที่สามารถเข้าถึงชีวิตประจำวันของผู้คนได้จำนวนมาก สร้างความฮือฮาให้วงการฟินเทคไทยมาอย่างต่อเนื่อง

ยกตัวอย่างสิ่งใกล้ตัวเราอย่าง การพัฒนาเเอปพลิเคชัน ‘K PLUS’ ที่มีผู้ใช้งานสูงสุดในหมวดโมบายเเบงก์กิ้งของประเทศไทยเเละเอเชียเเปซิฟิก รวมไปถึง ‘LINE BK’ ที่ตอนนี้มีลูกค้ากว่า 3.2 ล้านราย เเละ ‘ขุนทอง’ โซเชียลเเชทบอท ผู้ช่วยจัดเก็บเงินยุคใหม่ที่ตอนนี้มีสมาชิกในคอมมูนิตี้มากกว่า 1 ล้านคนเเล้ว

หนึ่งในเเนวทางสำคัญที่ KBTG ยึดมั่นก็คือ การเข้าไปร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในอีโคซีสเต็ม ซึ่งถือเป็นเรื่องจำเป็นของธนาคารยุคใหม่ KBTG ได้ขยายเครือข่ายออกไปอย่างรวดเร็วเเละมีสเกลที่เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น การร่วมมือกับ GrabPay Wallet ที่ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 2 ล้านราย เเละ PTT Blue CONNECT ที่มีผู้ใช้งานเเล้วกว่า 3 เเสนราย

นอกจากนี้ ยังขยายไปยังกลุ่มธุรกิจ ‘สินเชื่อดิจิทัล’ ทั้งภายในเเอปฯ K PLUS เอง เเละเข้าไปจับมือกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee , Lazada เเละกระเป๋าเงินออนไลน์ Dolfin เหล่านี้ทำให้มีการเติบโตของยอดผู้ใช้สินเชื่อดิจิทัลเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า เเละมี Loan Booking เพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า ภายในเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น

“เเผนขยายไปยังภูมิภาคของเรา เรียกได้เลยว่าเป็นเเบบ Evil Fast รวดเร็วราวกับปิศาจ อย่างการเปิด KTech ที่ตอนนี้มีลูกค้าเเล้วกว่า 1 ล้านคนในจีน เเละมี Loan Booking มากถึง 1 พันล้าน RMB โดยมีการออกโปรดักต์ใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอทุกหนึ่งเดือน ท่ามกลางข้อจำกัดการเดินทางในวิกฤตโรคระบาด พร้อมๆ กับการขยายไปในเวียดนามด้วย”

โดยก้าวต่อไปของ KBTG นับจากนี้ หลักๆ จะมุ่งเน้นไปในเรื่องของ Deep Tech เทคโนโลยีขั้นสูง อย่าง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ,ควอนตัมคอมพิวติ้ง ,บล็อกเชน , สินทรัพย์ดิจิทัลเเละ Metaverse

“KBTG เป็นเสมือนลมใต้ปีกของ KBANK ที่คอยสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ ช่วยสนับสนุนการเติบโตทุกๆ ด้านของกสิกรไทย”


KX โรงงานผลิตธุรกิจใหม่

KX กำลังก้าวสู่การเป็นพระเอกคนใหม่ของ KBTG หลังที่ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมาเเละก็ถึงเวลาสมควรที่จะสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้วงการ โดย KX จะทำหน้าที่เป็น Venture Builder เสมือนโรงงานที่ผลิตสตาร์ทอัพหรือธุรกิจใหม่ ที่ปฏิบัติการเป็นอิสระ (Autonomous Venture Builder) มีเป้าหมายหลักๆ ในการผลิตธุรกิจด้าน Decentralized Finance and Beyond สืบเนื่องจากที่ DeFi เป็นระบบการเงินแบบกระจายอำนาจผ่านบล็อกเชนที่ทุกฝ่ายสามารถตรวจสอบได้ สามารถทำธุรกรรมต่างๆ โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางอย่างธนาคารหรือสถาบันการเงิน

เป็นโอกาสทองของ KX ที่จะสร้างธุรกิจใหม่ในด้านบริการทางการเงิน (Financial Service) และบริการอื่นๆ (Non-Financial Service) ที่มีโอกาสได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมอย่างมากในอนาคตอันใกล้นี้

ภารกิจหลักของ KX จึงเป็นการ ‘Building Trust in the Trustless World’ สร้างความเชื่อมั่นในโลกที่ปราศจากความน่าเชื่อถือนั่นเอง

“เราจะไม่หยุดเพียงเเค่นี้ เพราะโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลมันกว้างใหญ่มากๆ”

ความน่าสนใจของระบบการทำงานของ KX คือการใช้วิธีการ Incubate > Scale > Spin เริ่มต้นบ่มเพาะไอเดียใหม่ ๆ ตั้งไข่ธุรกิจ ขยายผลเเละขยายขนาด จากนั้นแยกตัวธุรกิจออกไปตั้งเป็นบริษัทใหม่ (Spin-off) ให้ทำงานอย่างอิสระ เมื่อเห็นทิศทางและโอกาสทางธุรกิจในยุคต่อไปที่ชัดเจนแล้ว

งานนี้จึงได้มืออาชีพอย่าง ‘พอล ธนะเมศฐ์ อาริยวัฒน์’ มารับหน้าที่เป็น Head of Venture Builder, KASIKORN X Co.,Ltd. นำทัพ KX เข้าสู่ตลาดธุรกิจใหม่ที่น่าท้าทาย

ธนะเมศฐ์ บอกว่า จุดเด่นคือ KX มีความคล่องตัวในการบริหารงานและตัดสินใจสูงดำเนินธุรกิจอย่างเป็นอิสระจากธนาคารกสิกรไทย และ KBTG

ในส่วนของการทำ Venture Building ของ KX นั้น ถูกออกแบบให้คล้ายกับการสร้างธุรกิจแบบสตาร์ทอัพ ซึ่งในทีมจะมีฝั่งเจ้าของธุรกิจ (Entrepreneur) และฝั่ง Builder หรือ Engineer มาทำงานร่วมกัน เหมือนเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง (Co-Founder) ในด้านธุรกิจและเทคโนโลยีในโลกของสตาร์ทอัพ กับจุดมุ่งหมายคือศึกษา ทดลอง และออกผลิตภัณฑ์สู่ตลาดจริงด้วยความเร็วแบบสตาร์ทอัพ

KX ประเดิมการ Spin-off เเรก ผ่านจัดตั้งบริษัทใหม่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล คือ Kubix ถือเป็นกลุ่มธนาคารเเรกในไทย ที่ได้รับการอนุญาตจากก.ล.ต.ให้ประกอบธุรกิจ ICO Portal

และล่าสุดกับการเปิดตัวธุรกิจที่สอง คือ Coral แพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลส NFT สร้างโอกาสไร้พรมเเดนให้กับศิลปินและนักสะสม สนับสนุนศิลปินไทยและเอเชียให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

“เราจะมุ่งไปที่การสร้างเเพลตฟอร์ม สินค้าเเละบริการที่ปลอดภัย ทั้ง Financial Service และ Non-Financial Service ให้เข้าถึงคนจำนวนมากที่สุด โฟกัสไปที่ตลาด Decentralized Finance ซึ่งมีอีโคซีสเต็มที่ใหญ่มาก”


Coral : ซื้อขาย  NFT ง่ายเหมือนช้อปออนไลน์

ผู้บริหาร KX ให้คำอธิบายง่ายๆ ถึงคอนเซปต์ของแพลตฟอร์ม Coral ว่าคือการที่จะทำให้การสร้างและการซื้อขาย NFT เป็นเรื่องง่าย เหมือนกับการช้อปปิ้งออนไลน์ทั่วไป

 แต่มีจุดที่แตกต่างคือลูกค้า Coral สามารถซื้องานศิลปะ NFT ด้วยสกุลเงินทั่วไป (Fiat money) อย่างเงินบาทหรือเงินดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ลูกค้าแพลตฟอร์มอื่นๆ ยังต้องแลก
เหรียญสกุลคริปโตฯ ก่อน เพื่อนำมาซื้องานศิลปะอีกที ซึ่งก่อให้เกิดความยุ่งยาก

สำหรับตลาด NFT ในเมืองไทย ตอนนี้มูลค่าเเตะหลักล้านดอลลาร์สหรัฐเเล้ว เเละมีเเนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เเบบ ‘triple-digit’ ไม่ได้จำกัดเพียงเเค่งานศิลปะ เเต่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง

จึงมีความจำเป็นที่ต้องเริ่มสร้างอุตสาหกรรมนี้ขึ้นมา เพื่อเพิ่มการเข้าถึงสินทรัพย์ทางเลือกให้คนในประเทศ เป็น ‘ตลาดงานศิลปะ’ ที่เข้าถึงง่าย มีรูปแบบสร้างรายได้เเบบมาร์เก็ตเพลสทั่วไป และที่สำคัญคือต้องปลอดภัย

ทั้งนี้ บริษัทได้มีการหารือกับทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ในเฟสเเรกจะเปิดซื้อขายในตลาดแรกก่อน เเละอีกไม่นานจะเปิดซื้อขายในตลาดรองต่อไป สามารถกลับมาเทรดอีกครั้งบนเเพลตฟอร์ม Coral ที่อยู่บนเชน Ethereum ส่วนระบบการชำระเงินในขณะนี้ยังใช้สกุลเงินทั่วไป แต่ในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่จะมีสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ เพิ่มเข้ามา

เมื่อถามถึงความจุดเสี่ยงของ NFT ผู้บริหาร KX ตอบว่า ความเสี่ยงคือการไม่รู้ว่าของที่ซื้อมานั้นเป็นของแท้หรือไม่ ดังนั้นเเพลตฟอร์มจึงต้องมีการตรวจสอบความเป็น ‘ออริจินัล’ ของผลงานให้รัดกุม

“ตอนนี้ศิลปินในไทยที่มีชื่อเสียงมีอยู่จำนวนหนึ่ง เเต่สิ่งที่น่าจับตามองคือ ‘ศิลปินที่กำลังเกิดใหม่’ คนที่มีความเป็นศิลปินซ่อนอยู่ในตัวนั้นมีมากมายมหาศาล Coral จึงอยากเป็นผู้จุดประกาย เปิดกว้างความคิดสร้างสรรค์ เเละเป็นเเรงบันดาลใจให้คนไทย ได้ลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองรัก”

เบื้องต้นมีศิลปินของไทยที่อยู่บนแพลตฟอร์ม Coral เเล้ว 9 ราย ได้แก่ ไป Lactobacillus, Tikkywow, ทรงศีล ทิวสมบุญ, เอกชัย มิลินทะภาส, ปัณฑิตา มีบุญสบาย, Benzilla, Pomme Chan, IllustraTU, และ Jiggy Bug

โดยเหล่าศิลปิน ให้สัมภาษณ์ด้วยความเห็นที่ตรงกันว่า NFT ไม่ใช่เเค่การซื้อขายหรือเทรดงานศิลปะเท่านั้น เเต่เป็นการค้นพบ ‘คอมมูนิตี้’ ที่จะเข้ามาช่วยให้ศิลปินเติบโตขึ้นในโลกยุคใหม่ เป็นศูนย์รวมเเพชชั่น ความฝัน พื้นที่ความสร้างสรรค์ มีช่องทางการนำเสนอผลงานเเละตัวตนของเราสู่ผู้คนทั่วโลกได้ เเม้จะเป็นศิลปินตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนักก็ตาม

นอกจากนี้ KX ยังได้เปิดตัวพันธมิตร Coral รายแรกคือ ‘สยามพิวรรธน์’ มาร่วมกันสร้างศูนย์รวมและต่อยอดนวัตกรรมด้านศิลปะ วัฒนธรรม และไลฟ์ไตล์ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ให้แก่ลูกค้าชาวไทยและต่างประเทศ ภายใต้แนวคิด “Co-creation” และ “Creating Shared Value”

โดยได้เปิดพื้นที่ของสยามพารากอน และไอคอนสยาม จัด NFT Innovation Digital Wall เพื่อให้ผู้ที่มาเยือนศูนย์การค้าได้เข้าชม NFT Art อย่างใกล้ชิด

นับเป็นก้าวแรกในการสร้างธุรกิจ และนวัตกรรมที่เชื่อมโลกคู่ขนาน ออนไลน์-ออฟไลน์ โดยใช้ DeFi เป็นประตูโอกาสในการสร้างสรรค์ผลงานได้ไม่จำกัด รวมทั้งเข้าถึงสินค้า บริการ และประสบการณ์ใหม่ ๆ ในอนาคต

Coral เริ่มเปิดรับศิลปินและพาร์ทเนอร์เพื่อเข้าร่วมแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://coralworld.co และคาดว่าจะเปิดให้บริการแก่นักสะสมภายในช่วงปลายปีนี้

ต้องติดตามว่า ‘KX’ ที่เปรียบเสมือน New S-curve Factory โรงงานผลิตธุรกิจใหม่ของ KBANK จะมีอะไรมาให้ได้เซอร์ไพรส์กันอีก…อดใจรอชมในเร็วๆ นี้

]]>
1357677
DBS ธนาคารใหญ่สิงคโปร์ ปั้นเเพลตฟอร์มเทรด ‘คริปโต’ ขยาย 20-30% ต่อปี รับดีมานด์พุ่ง https://positioningmag.com/1351727 Tue, 14 Sep 2021 08:18:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1351727 อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสำคัญของ DBS ธนาคารใหญ่สุดในสิงคโปร์เเละเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เดินหน้าลงทุนในเเพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีโดยตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าโตถึง 20-30% ต่อปี

‘DBS Digital Exchange’ เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโตฯ สำหรับผู้ที่สมัครเป็นสมาชิก เปิดตัวเมื่อเดือนธ.. 2020 ที่ผ่านมา ได้รับกระเเสตอบรับดีเกินคาด โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนสถาบัน เเละบริษัทด้านการลงทุนต่างๆ ที่หันมายอมรับสกุลเงินดิจิทัลกันมากขึ้น ทำให้ตลาดนี้ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ

จากกระเเสนี้ ทาง DBS Group ประเมินว่า เเพลตฟอร์ม DBS Digital Exchange จะมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น ‘2 เท่าจากปัจจุบันเป็น 1,000 คนได้ ภายในเดือนธ..นี้ และจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องราว 20-30% ต่อปี ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

เรามีการเติบโตที่รวดเร็วมากๆ หลังนักลงทุนเริ่มสนใจสกุลเงินคริปโตฯ และสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆผู้บริหารระดับสูงของ DBS กล่าว

โดย DBS เริ่มปรับทิศทางธุรกิจจากธนาคารดั้งเดิมไปสู่วงการคริปโตเคอร์เรนซีอย่างจริงจัง ภายใต้การนำของ ‘Piyush Gupta’ ซีอีโอคนปัจจุบัน ที่ลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีของธนาคาร ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับระบบ Cloud Computing และบริการดิจิทัลต่างๆ

ความนิยมสกุลเงินคริปโทเคอร์เรนซีที่เพิ่มขึ้น เป็นความท้าทายของธนาคารในกระแสหลัก ที่ต้องพยายามสร้างสมดุลระหว่างความสนใจของลูกค้าในสกุลเงินดิจิทัล กับความกังวลเรื่องความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ

ณ ตอนนี้ DBS เป็นธนาคารรายใหญ่เพียงรายเดียวเท่านั้น ที่ให้บริการด้านคริปโตเคอร์เรนซีอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีทั้งเเพลตฟอร์มที่ให้บริการซื้อขายคริปโตฯ การเปลี่ยนสินทรัพย์ให้เป็นโทเคน และบริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล

ขณะเดียวกัน จากความนิยมที่มาเเรงไม่หยุด สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่หลายแห่ง ก็เริ่มหันมาให้ความสนใจในตลาดคริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้น อย่าง Standard Chartered ที่กำลังจัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อสร้างแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ในสหราชอาณาจักรและยุโรป

โดยการเคลื่อนไหวดังกล่าว เกิดขึ้นพร้อมๆ กับช่วงเวลาที่ธนาคารต่างๆ ต้องการเพิ่มรายได้จากค่าธรรมเนียม เนื่องจากรายได้จากดอกเบี้ย ‘ลดลง’ ท่ามกลางภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำทั่วโลก

DBS Group คาดว่า ธุรกิจใหม่ของบริษัท ซึ่งรวมไปถึงเเพลตฟอร์มอย่าง DBS Digital Exchange เเละแพลตฟอร์ม Carbon Exchange จะสามารถทำรายได้ถึง 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในสิ้นปี 2022

 

ที่มา : CNA , Reuters 

]]>
1351727
‘Liquid’ ตลาดซื้อ-ขายคริปโตฯ ญี่ปุ่นถูกแฮก สูญเงินกว่า ‘3 พันล้านบาท’ https://positioningmag.com/1347854 Fri, 20 Aug 2021 06:21:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1347854 ‘Liquid’ บริษัทแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลของญี่ปุ่นซึ่งเป็น Top 20 ที่มีปริมาณการซื้อขายในแต่ละวันเปิดเผยว่า บริษัทได้รับผลกระทบจากการโจมตีทางอินเทอร์เน็ต ทำให้แฮกเกอร์โอนเงินดิจิทัลมูลค่า 97 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 3 พันล้านบาทไป

Liquid ได้โพสต์ผ่านบัญชีในทวิตเตอร์ว่า ระบบ warm wallets ของบริษัทถูกแฮกเกอร์โจมตี โดยได้โอนทรัพย์สินไปยัง Wallet 4 แห่งที่ต่างกัน แม้บริษัทไม่เปิดเผยถึงมูลค่าความเสียหาย แต่ Elliptic บริษัทวิเคราะห์เกี่ยวกับบล็อกเชนคาดว่าแฮกเกอร์ได้เงินดิจิทัลมาประมาณ 97 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม Liquid ระบุว่าได้เคลื่อนย้ายสินทรัพย์ไปในระบบ cold wallet แล้ว จากที่ผ่านมา บริษัทเก็บเหรียญไว้ที่ระบบ warm หรือ hot wallets ที่เป็นรูปแบบของกระเป๋าเงินออนไลน์ ซึ่งออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสกุลเงินดิจิทัลได้ง่าย ขณะที่ระบบ cold wallet จะเป็นช่องทางจัดเก็บสกุลเงินดิจิทัลแบบออฟไลน์และยากต่อการเข้าถึงด้วยระบบความปลอดภัยที่สูงกว่า

นอกจากนี้ บริษัทได้ระงับการฝากและถอนเป็นการชั่วคราว และอยู่ระหว่างการติดตามเส้นทางของสินทรัพย์ที่ถูกจารกรรมไปอยู่

“ขณะนี้เรากำลังตรวจสอบและจะอัปเดตเป็นประจำ ในระหว่างนี้ การฝากและถอนจะถูกระงับ”

Liquid ติดอันดับ 1 ใน 20 อันดับบริษัทการแลกเปลี่ยนคริปโตฯ ของโลกตามปริมาณการซื้อขายรายวัน โดยประมวลผลธุรกรรมมากกว่า 133 ล้านดอลลาร์ใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ตามข้อมูลของ CoinMarketCap โดย Liquid ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2014 และให้บริการลูกค้าหลายล้านรายในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก

การแฮกครั้งนี้ถือเป็นการแฮกคริปโตฯ ครั้งใหญ่ครั้งที่สองที่เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เพราะเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา แฮกเกอร์ขโมยเงินดิจิทัลมากกว่า 600 ล้านดอลลาร์ หรือราว 20,000 ล้านบาท จาก Poly Network ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเช่นเดียวกัน ก่อนที่แฮกเกอร์นี้จะคืนคริปโตที่โจรกรรมไปเกือบทั้งหมดในอีกไม่กี่วันต่อมา

Source

]]>
1347854
อิหร่าน สั่งห้ามทำเหมืองคริปโต เเบนขุด ‘Bitcoin’ ชั่วคราว หลังเป็นเหตุทำให้ ‘ไฟฟ้าดับ’ บ่อย https://positioningmag.com/1333944 Thu, 27 May 2021 05:39:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1333944 รัฐบาลอิหร่าน สั่งห้ามทำการขุด Bitcoin’ รวมไปถึงสกุลเงินดิจิทัล หรือคริปโตเคอร์เรนซีอื่นๆ เป็นเวลา 4 เดือน หลังเป็นเหตุทำให้ไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ในเมืองสำคัญหลายเมือง

ประธานาธิบดี Hassan Rouhani ประกาศว่าคำสั่งห้ามการขุดคริปโตเคอร์เรนซีในอิหร่าน จะมีผลทันทีไปจนถึงวันที่ 22 กันยายน 2021 เพื่อประหยัดพลังงาน ก่อนช่วงฤดูร้อนที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงจะมาถึง 

โดยปัจจุบันกว่า 85% ของการขุดคริปโตฯ ในอิหร่านนั้นไม่มีใบอนุญาตซึ่งอาจทำให้นักขุดที่ได้รับใบอนุญาตส่วนใหญ่ตัดสินใจย้ายเข้าตลาดมืดตามไปด้วย

กรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่านและเมืองใหญ่อื่นๆ ต้องเผชิญกับปัญหาไฟฟ้าดับรายวัน หลายครั้งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนไม่พอใจเป็นอย่างมาก

รัฐบาลชี้เเจงว่า สาเหตุหลักๆ ของการขาดแคลนไฟฟ้าดังกล่าว มาจากการขุดเหมืองคริปโตฯ ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ เเละภัยเเล้งที่ยืดเยื้อก็ส่งผลต่อการผลิตพลังงานไฟฟ้าเช่นกัน

ข้อมูลจาก Elliptic บริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน ระบุว่า อิหร่านติดอันดับท็อป 10 ของประเทศที่ทำการขุด Bitcoin (บิตคอยน์) มากที่สุดในโลก คิดเป็นประมาณ 4.5% ขณะที่จีนครองอันดับหนึ่งที่เกือบ 70%

การขุดเหมืองคริปโตเคอร์เรนซีในอิหร่าน สามารถทำรายได้เข้าประเทศหลายร้อยล้านดอลลาร์ อีกทั้งยังเป็นเเหล่งรายได้ ที่ช่วยแบ่งเบาผลกระทบจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ 

จากการที่สกุลเงินดิจิทัลทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เเตะ 63,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเหรียญในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้ความต้องการในตลาดเพิ่มขึ้น การใช้พลังงานเเละต้นทุนทางสิ่งเเวดล้อมก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

นักขุด Bitcoin เเละเหรียญอื่นๆ จะใช้คอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ มาแก้สมการทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน เพื่อทำธุรกรรมเงินดิจิทัล ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่ทำงานในเหมืองจะได้รับรางวัลสำหรับความพยายามของพวกเขาเป็นสกุลเงินดิจิทัล

Photo : Shutterstock

ความเคลื่อนไหวของอิหร่าน เกิดขึ้นต่อเนื่องหลังรัฐบาลจีนสั่งแบนเหมืองขุด Bitcoin ตามแผนเดินหน้าปราบปรามการขุดเหมืองและการเทรดเหรียญคริปโตฯ ในประเทศ โดยมองว่าเพื่อลดความเสี่ยงในด้านเครดิต, ปฏิรูปสถาบันการเงินขนาดกลาง และลงโทษกิจกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมายอย่างรุนแรง

หลังจากมีแถลงการณ์ของรัฐบาลจีน ออกมาไม่นาน ราคาของ Bitcoin ก็ปรับร่วงลงอย่างรุนแรงไปแตะจุดต่ำสุดในรอบวัน โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8% ในระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น

ด้าน Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์เป็นซีอีโอ ตัดสินใจปิดรับการใช้ Bitcoin เพื่อซื้อรถยนต์ของบริษัท เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ราคา Bitcoin ร่วงลงมาจากจุดสูงสุดในเดือนเมษายนที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ตาม ราคา Bitcoin ดีดตัวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อมัสก์ ซีอีโอได้ทวีตข้อความสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดในการขุดเหรียญคริปโตฯ เเละจะร่วมก่อตั้งสภานักขุดบิตคอยน์’ (Bitcoin Mining Council) เพื่อโปรโมตการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน

 

ที่มา : CNA , Bloomberg , CNBC 

]]>
1333944