สิงห์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 19 Aug 2025 07:22:15 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ถึงเวลาขยับ!! Santa Fe’ รีแบรนด์ใหญ่ เจาะฐานกลุ่ม Gen Z https://positioningmag.com/1534198 Mon, 18 Aug 2025 08:21:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1534198 หลังจากเงียบหายไปพักใหญ่ ก็ถึงเวลา Santa Fe’ (ซานตาเฟ่) ขยับ ด้วยการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Happy Steak’ เพื่อหวังขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่ม Gen Z ซึ่งนอกจากการเปลี่ยนโลโก้และสไตล์การตกแต่งใหม่ทั้งหมดแล้ว ยังประเดิมเปิดตัว ‘โปร 8 บาท 8 วัน’ สร้างกระแสให้กลุ่มลูกค้า(ลอง)เข้ามาใช้บริการในร้านโฉมใหม่นี้ด้วย

น่าจะสนุกมากกว่าเดิม สำหรับตลาดสเต๊กในบ้านเราที่มีมูลค่าประมาณ 9,000 ล้านบาท หลังจากทางเครือไมเนอร์ ได้ส่ง Steak & More แบรนด์น้องใหม่ที่หวังจะเอามาท้าชนกับ Eat Am Are รวมถึงมีการปรับกลยุทธ์ของ Sizzler (ซิซซ์เล่อร์) ให้มีสีสันและตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น ขณะที่ทาง Eat Am Are มีการเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง

มาตอนนี้ก็ถึงคิว Santa Fe’ ร้านสเต๊กสัญชาติไทยที่ก่อตั้งในปี 2546 โดยเมื่อไม่นานมานี้ ทางเพจ Santa Fe’ ได้โพสต์ข้อความถึงบรรดาคู่แข่งว่า ‘ไปแล้วน้า ไว้เจอกัน ปู๊น ปู๊น’ ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับร้านสเต๊กแห่งนี้

ล่าสุดก็ได้เฉลยเรียบร้อยแล้วว่า Santa Fe’ ได้มีการรีแบรนด์ใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Happy Steak โดยมี ‘ปิยะเลิศ ใบหยก’ หรือ ‘เบียร์ ใบหยก’ เป็นหัวหอกสำคัญ ส่วนเหตุผล เนื่องจากต้องการขยายฐานสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z นั่นเอง

จากการเข้าไปสำรวจของ Positioning พบว่า การรีแบรนด์ครั้งนี้ ได้มีการปรับโลโก้แบรนด์ใหม่และเน้นตกแต่งร้านให้มีความทันสมัย สีสันสดใสด้วยการใช้ ‘สีส้ม’ เป็นหลัก จากเดิมโทนสีการแต่งร้านจะดูขรึม

ส่วนเมนูเองได้มีการปรับให้สามารถกินได้หลายคน หรือเป็นแก๊งมากขึ้น และเพื่อสร้างกระแสกระตุ้นลูกค้า โดยเฉพาะ Gen Z ให้เข้ามาใช้บริการภายใน Santa Fe’ โฉมใหม่ ทางเบียร์ ใบหยก ประกาศจัด ‘โปร 8 บาท 8 วัน’ ในทุกสาขาเริ่มตั้งแต่วันนี้ (18 ส.ค. 2568)

ความเคลื่อนไหวนี้ น่าเป็นการเปิดแนวรุกแรกของ FAB Group หรือ ‘บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด’ นับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2567 ได้เกิดการผนึกกำลังครั้งสำคัญเพื่อขับเคลื่อนวงการธุรกิจอาหารระหว่าง ‘ภูริต ภิรมย์ภักดี’, ‘เบียร์ ใบหยก’ และ ‘ฉาย บุนนาค’ โดยปัจจุบันแบรนด์ร้านอาหารที่อยู่ภายใต้ FAB Group มีด้วยกัน 8 แบรนด์ ประกอบด้วย

‘บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด’ 3 แบรนด์ ได้แก่ ร้านซานตา เฟ่, ร้านซานตา เฟ่ อีซี่ และร้านเหม็ง แซ็ปนัว, ‘บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)’ 1 แบรนด์ ได้แก่ ร้านราเมงเดส และ ‘กลุ่มเบียร์ ใบหยกและบีเอ็นเอฟ โฮลดิ้ง’ 4 แบรนด์ ได้แก่ ร้านส้มตำเจ๊แดงสามย่าน, ร้านเซไค โนะ ยามะจัง, ร้านอุชิดายะ ราเมน และร้านอิคโคฉะ ราเมน

 

]]>
1534198
เจาะเบื้องหลังทำไม ‘สิงห์’ ถึงคว้าสิทธิ์ Official Beer Partner รายการกอล์ฟระดับตำนานที่เก่าแก่สุดของโลก The Open ได้ https://positioningmag.com/1533827 Thu, 14 Aug 2025 10:05:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1533827 ก่อนหน้านี้เราได้ยินข่าวบิ๊กดีลการเข้าไปเป็นพาร์ทเนอร์ของ ‘สิงห์’ ในฐานะ Official Beer Partner กับรายการกอล์ฟเมเจอร์เก่าแก่สุดในโลกอย่าง ‘ดิ โอเพ่น (The Open) ที่มีประวัติจัดต่อเนื่องยาวนานถึง 153 ปี ซึ่งดีลนี้ถือเป็นดีลประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ สำหรับแบรนด์ไทย

 

เพราะอย่างที่ทราบกัน การเป็นพาร์ทเนอร์กับรายการกีฬาระดับโลกแถมเป็นตำนานขนาดนี้ ไม่ใช่แค่มี ‘เงิน’ แล้วจะเป็นได้ แต่ต้องผ่านหลักเกณฑ์การคัดเลือกอย่างดุเดือดและต้องแข่งขันกับ Inter Brand อีกมากมาย

 

แล้วทำไม ดิ โอเพ่น ถึงเลือกสิงห์ และการเป็นพาร์ทเนอร์ครั้งนี้จะส่งผลดีกับสิงห์อย่างไร?

 

‘วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี’ กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เล่าว่า ที่ผ่านมาสิงห์ได้มีการสนับสนุนกีฬาไม่ว่าจะเป็นรายการในประเทศและรายการดังระดับโลกมากมาย เพราะสิงห์มีแพชชั่นในเรื่องกีฬา โดยต้องการพัฒนาและผลักดันศักยภาพของนักกีฬาไทยให้ไปแสดงฝีมือบนเวทีระดับโลก

 

นอกจากนี้ ด้วยเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจ เนื่องจากสิงห์เองมีการวางจำหน่ายในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงในอังกฤษ และสหราชอาณาจักร จึงต้องการสร้างการรับรู้ และตอกย้ำภาพลักษณ์ในฐานะ Global Brand ที่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลก

โดยนอกจาก ‘ภาพลักษณ์และคุณภาพสินค้า’ ที่มีมาตรฐานได้รับความเชื่อมั่นในเวทีสากลแล้ว ‘Sport Marketing’ ถือเป็นอีกกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ ซึ่งกอล์ฟเองเป็นอีกหนึ่งประเภทกีฬาที่คนทั่วโลกชื่นชอบและติดตามชมเป็นจำนวนมาก

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลของความร่วมมือในฐานะ Official Beer Partner กับ ดิ โอเพ่น รายการกอล์ฟเมเจอร์เก่าแก่ที่สุดในโลก เพื่อสร้างการรับรู้และย้ำการเป็น Global Brand ในตลาดอังกฤษให้ชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการต่อยอดธุรกิจหลังจากการที่สิงห์ได้ Shepherd Neame โรงเบียร์เก่าแก่ในอังกฤษที่มีประวัติยาวนานกว่า 300 ปี มาเป็นผู้ผลิตเบียร์สิงห์ในอังกฤษ

อย่างไรก็ตาม  การสร้างความร่วมมือกับรายการกีฬาระดับโลกนั้น ทางเจ้าของลิขสิทธิ์จะมีการคัดสรรอย่างเข้มข้นแบบ ‘ลงลึก’ ทุกดีเทล ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์และจุดยืนของแบรนด์ต้องสอดคล้องกันกับรายการแข่งขัน ไปจนถึงกลุ่มเป้าหมายและความสำเร็จของแบรนด์ที่จะเข้าไปเป็นพาร์ทเนอร์ ฯลฯ  

 

ดังนั้น การได้รับเลือกจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่ด้วยประวัติศาสตร์และความสำเร็จที่มายาวนานกว่า 92 ปี ของสิงห์ ซึ่งได้รับการยอมรับทั้งในไทยและเวทีสากลระดับโลก บวกกับการสั่งสมชื่อเสียงในวงการกีฬาที่สิงห์มีแพชชั่น จากการเข้าไปสนับสนุนกีฬาระดับโลกมากมายในระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา อาทิ



สิงห์เป็นเครื่องดื่มแบรนด์แรกๆ ของประเทศไทยที่เข้าไปสนับสนุน F1 ในฐานะออฟฟิเชียลพาร์ตเนอร์กับทีม Infiniti Red Bull Racing, Scuderia Ferrari จนถึงทีมระดับตำนานอย่าง Alfa Romeo และ Stake F1 Team KICK Saubar ในปัจจุบัน

 

นอกจากนี้ ยังเป็นพาร์ทเนอร์กับรายการกีฬาใหญ่ระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างเชลซี และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือ MotoGP และการเป็น Official Partner กับรายการ ‘ONE Championship’ ศึกศิลปะการต่อสู้ระดับแนวหน้าของโลกที่มีผู้ชมกว่า 195 ประเทศทั่วโลก

 

ภาพเหล่านี้ ล้วนสะท้อนให้เห็นว่า ‘สิงห์’ คือแบรนด์ไทยที่ไม่เพียงประสบความสำเร็จในบ้านของตัวเองเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำการได้รับการยอมรับบนเวทีระดับโลกในฐานะ Global Brand ได้อย่างชัดเจน

 

และเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมรายการกีฬาดังระดับโลกหลายรายการถึงเลือกสิงห์เป็นพาร์ทเนอร์ รวมถึงดิ โอเพ่น รายการกอล์ฟระดับเมเจอร์ที่เก่าแก่สุดของโลกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม การเดินทางสู่ Global Brand ของสิงห์ยังเดินหน้าต่อไป และมีเป้าหมายใหญ่มากกว่าการสร้างความแข็งแรงให้กับธุรกิจของตัวเอง นั่นคือ ‘การเปิดประตูแห่งโอกาส’ ทำให้คนทั่วโลกได้รู้จัก และรู้ถึงศักยภาพทั้งของ ‘ประเทศไทย’ รวมไปถึง ‘สินค้าไทย’ ให้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่า จะเป็นอย่างไร

]]>
1533827
‘โซดาสิงห์’ ผนึก ‘ฮาร์เล่ย์-เดวิดสัน’ เดินหน้าสร้างแบรนด์ รักษาส่วนแบ่งตลาด 90% ในวันที่ตลาดหดตัว https://positioningmag.com/1494008 Fri, 11 Oct 2024 08:03:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1494008 ถ้าพูดถึงตลาด โซดา เชื่อว่าชื่อแรกที่คนไทยจะนึกถึงก็คือ โซดาสิงห์ ซึ่งไม่ใช่อะไรที่น่าแปลก ด้วยอายุแบรนด์ที่อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 90 ปี พร้อมด้วยความแข็งแรงระดับครองส่วนแบ่งตลาดเกิน 90% และหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้โซดาสิงห์สามารถครองตลาดและเป็น Top of mind ของผู้บริโภคได้ก็คือ การทำให้แบรนด์ดูทันสมัยอยู่เสมอ

เดินหน้ากลยุทธ์ คอลแลป ต่อเนื่อง

หนึ่งในกลยุทธ์ที่ โซดาสิงห์ ใช้ทำให้แบรนด์ทันสมัยและอยู่ในสายตาผู้บริโภคอยู่เสมอ แม้แบรนด์จะมีอายุถึง 91 ปี ก็คือ กลยุทธ์ Collaboration ที่ทำต่อเนื่องทุกปี อย่างในปีที่ผ่านมา ก็มีพันธมิตรหลากหลายสไตล์ เช่น ALEX FACE ศิลปินไทยผู้สร้างผลงานกราฟฟิตี้ดังไกลทั่วโลก, “มิสเตอร์การ์ตูน” (Mr.Cartoon) ศิลปินช่างสักระดับโลก และ Dry Clean Only แบรนด์แฟชั่นสตรีทอาร์ตสัญชาติไทย ฯลฯ มาร่วมสร้างสรรค์ฉลากลิมิเต็ด อิดิชั่น

มาปีนี้ โซดาสิงห์ได้ Collaboration กับแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์อายุ 121 ปีอย่าง ฮาร์เล่ย์-เดวิดสัน (Harley-Davidson) หลังจากใช้เวลาพูดคุยนาน 3 ปี ซึ่งถือเป็นการคอลแลปกับแบรนด์ใหญ่สุดที่เคยร่วมงานด้วย และถือเป็นเป็นครั้งแรกในเอเชียที่ฮาร์เล่ย์-เดวิดสันทำตลาดร่วมกับแบรนด์เครื่องดื่ม

สำหรับแคมเปญ ซ่าให้สุดทาง ที่ Collaboration ฮาร์เล่ย์-เดวิดสัน จะมีการทำฉลากลิมิเต็ด อิดิชั่น, Gift set และ เสื้อออฟฟิเชียลคอลเลกชัน และกิจกรรมโรดโชว์ที่จะเดินทางไปยังจังหวัด ภูเก็ต, พิษณุโลก, นครราชสีมา, เชียงใหม่ และปิดท้ายที่จังหวัดเชียงราย กับงาน Asia Harley Days(TM) ที่จะจัดคู่กับ คอนเสิร์ต Singha Soda Music Concert 2024 ที่สิงห์ปาร์ค เชียงราย โดยทั้งปี โซดาสิงห์ใช้งบการตลาดทั้งสิ้น 100 ล้านบาท

“เราอยากแสดง Attitude ของโซดาสิงห์ก็คือ ความซ่า แม้จะเป็นแบรนด์ที่อยู่มานาน แต่ไม่ใช่แบรนด์ที่แก่ เมื่อคนรุ่นใหม่เห็นแบรนด์ต้อง Inspire เขาได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชาย เพราะมอเตอร์ไซค์เป็นหนึ่งในแพชชั่นของเขาอยู่แล้ว” ธิติพร ธรรมมาภิมุขกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด กล่าว

ครองแชร์ 92% ก็อยู่เฉยไม่ได้

แม้ปัจจุบันโซดาสิงห์มีส่วนแบ่งในตลาดโซดา 91-92% แต่ ธิติพร มองว่า แบรนด์ยังต้องทำตลาดอยู่ตลอดไม่สามารถหยุดได้ เพราะแบรนด์คู่แข่งยังพยายามจะเจาะเข้ามา ดังนั้น โซดาสิงห์อาจไม่ได้หวังเรื่องการเติบโตของส่วนแบ่งตลาด แต่ต้องการรักษาให้ ไม่ต่ำกว่า 90%

“ที่แชร์เราเยอะเพราะเราทำตลาดโดยตลอด ไม่ใช่ว่าไม่มีคู่แข่ง มีหลายแบรนด์พยายามจาะเข้ามา ดังนั้น ต่อให้เราเป็นที่ 1 เราก็ต้องเดิน ไม่ใช่ยืนในระหว่างที่คู่แข่งเดิน มีหลายแบรนด์ทำกลยุทธ์ราคา แต่ผู้บริโภคยังเลือกเรา เพราะด้วยคุณภาพ จุดเด่นที่ความซ่า และซ่านาน”

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าตลาดโซดา 1.2 หมื่นล้านบาท ไม่เติบโต โดยปีนี้คาดว่าจะ หดตัว 5% เนื่องจากตลาดโซดา 50% ถูกขับเคลื่อนโดยการ บริโภคเหล้าสี เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้การบริโภคลดลง ส่งผลให้ตลาดเหล้าสี หดตัว 10% ซึ่งกระทบกับตลาดโซดาไปด้วย

“ภาวะเศรษฐกิจมีผลทำให้คนบริโภคเหล้าน้อยลง ซึ่งการบริโภคเหล้าส่วนใหญ่จะดื่มในร้าน ไปกับเพื่อน ไปสังสรรค์ ซึ่งเมื่อการบริโภคข้างนอกลดลง ก็ส่งผลกับตลาดโซดา” 

ตลาดไทยฟื้นยาก ขอไปโตต่างประเทศ

ปัจจุบัน การบริโภคโซดา 70% มาจากการดื่มกับเหล้า 20% นำไปผสมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และ 10% ดื่มโซดาเปล่า ซึ่งโซดาสิงห์พยายามจะทำตลาดออนไลน์กับกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งมองว่าเป็นอีกตลาดที่มีโอกาส แต่ต้องยอมรับว่าสัดส่วนจะยัง ไม่ใกล้เคียงกับการผสมเหล้า ในเร็ว ๆ นี้แน่นอน ดังนั้น โซดาสิงห์จึงมองโอกาสการเติบโตไปที่ ตลาดต่างประเทศ มากกว่า

“โดยเฉลี่ยเหล้า 1 ขวดผสมโซดา 6 ขวด แต่ผู้บริโภคทั่วไปใช้แค่ 1 ชวดในการผสมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ดังนั้น สัดส่วนกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จะไม่มาใกล้กับเหล้าเร็ว ๆ แน่นอน”

ปัจจุบัน สัดส่วนการขายในไทยคิดเป็น 90% ต่างประเทศ 10% โดยตลาดหลัก ๆ จะเป็น เกาหลีใต้, จีน และฮ่องกง แต่ที่เติบโตดีสุดคือ เกาหลีใต้ ซึ่งแบรนด์พยายามจะทำตลาดจริงจังมากขึ้น ผ่านการเป็นสปอนเซอร์ในคอนเสิร์ตต่าง ๆ และขยายช่องทางการจำหน่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น คาดว่าภายใน 2-3 ปีจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 15% และถ้าตลาดมีวอลลุ่มมากพอ อาจมีแผน เปิดโรงงาน ในประเทศนั้น ๆ

“แม้ว่าทั้งเกาหลีใต้และจีนจะนิยมดื่มโซจูหรือเหล้าขาว แต่ตอนนี้เริ่มเห็นเทรนด์การบริโภค High Ball (เหล้าโซดา) มากขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่า การจะกินแชร์ในไทยมากกว่านี้มันยาก เราเลยต้องไปโตเมืองนอก และตลาดโซดาจะฟื้นไม่ฟื้นก็ขึ้นอยู่กับตลาดเหล้า”

]]>
1494008
เปิดแนวคิด ‘น้ำดื่มสิงห์’ x ‘แคร์แบร์’ กับการสร้าง ‘Brand Love’ ด้วยการส่งต่อพลังบวก https://positioningmag.com/1479330 Mon, 24 Jun 2024 06:58:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1479330 ตลาดน้ำดื่มบรรจุขวด 38,000 ล้านบาท ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 นี้คาดว่าจะเติบโตได้ 6.5% ถึงแม้ตลาดน้ำดื่มจะมีการแข่งขันที่รุนแรง แต่ ‘น้ำดื่มสิงห์’ เบอร์ 1 ของตลาดที่ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด ยังเดินหน้ารักษาตำแหน่งแชมป์ ด้วยการสร้าง “Brand Love” เพื่อเข้าไปอยู่ในใจลูกค้าทุกวัยด้วย ‘แคร์แบร์’ คาแรกเตอร์ใหม่ที่ช่วยสะท้อนถึงตัวตนสิงห์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ทำไมเลือก Collab แคร์แบร์?

เชื่อว่าคนไทยหลายคนต้องเคยเห็นตุ๊กตาหมีหลากสีที่มีชื่อว่า ‘แคร์แบร์’ (Care Bears) กันเป็นอย่างดี เพราะแคร์แบร์เป็นคอลเลกชันตุ๊กตาหมีของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีอายุยาวนานถึง 43 ปี โดยปรากฏขึ้นครั้งแรกจากการเป็นลวดลายบนการ์ดอวยพรของบริษัท American Greetings ในปี 1981 โดย Elena Kucharik เป็นผู้วาดแคร์แบร์

จากความนิยมในการส่งการ์ดอวยพรหากันในโอกาสต่าง ๆ ทำให้แคร์แบร์ได้ถูกนำไปต่อยอดสร้างเป็นแอนิเมชันและผลิตสินค้าประเภทต่าง ๆ ทำให้จากเพียงแค่ภาพการ์ตูนหมีที่เป็นตัวแทนของความรู้สึกห่วงใยบนการ์ด แคร์แบร์ได้กลายเป็นตัวแทนในการสื่อความรู้สึกต่าง ๆ แทนคำพูด เช่น มอบความรัก, มอบกำลังใจ และมอบความสดใส

ดังนั้น ด้วยคาแรกเตอร์ที่มีความ Positive พร้อมส่งมอบสิ่งดี ๆ มอบกำลังใจ และเป็นแรงบวก ซึ่งสอดคล้องกับคาแรกเตอร์ของ น้ำดื่มสิงห์ ที่ต้องการส่งต่อพลังบวกให้ผู้บริโภค และมอบความสุขความสดใสในทุก ๆ วันแก่ผู้คน ทำให้น้ำดื่มสิงห์จึงตัดสินใจเลือก Collab กับแคร์แบร์ภายใต้คอนเซปต์ “ส่งต่อความสดชื่น ด้วยความสดใสที่ใช่”

“คาแรกเตอร์ที่เรา Collab ต้องเป็นที่รู้จักทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่อาจยังไม่มีแบรนด์ในใจ เราก็ต้องการไปอยู่ในใจเด็กเหล่านั้น โดยฉลากจะเป็นจุดดึงดูดให้เลือกสิงห์” ธิติพร ธรรมาภิมุขกุล Chief Marketing Officer บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด กล่าว

ได้มากกว่าสะสมฉลาก

นอกจากจะมีลวดลายฉลากลิมิเต็ด เอดิชั่น ให้สะสมแล้ว พรรณทิพย์ ลีตะชีวะ ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาดแบรนด์น็อนแอลกอฮอล์ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด อธิบายต่อว่า คาแรกเตอร์ของแคร์แบร์ยังสามารถนำไปต่อยอดไปยัง Ecosystem ทางการตลาดในรูปแบบต่าง ๆ ได้อีกด้วย อาทิ สมาชิกสิงห์รีวอร์ด สามารถร่วมสนุกได้อีกต่อจากการ สะสมแต้มจากรหัสใต้ฝา เพื่อแลกสินค้า Merchandise ของแคร์แบร์ที่มีกว่าพันไอเทม เช่น ตุ๊กตา, หมอน และผ้าห่ม

รวมถึงการทำกิจกรรมพิเศษ อาทิ ‘Everyday Is A Care Day Presented by น้ำดื่มสิงห์’ ที่เนรมิตอีเวนท์ ด้วยจุดถ่ายรูปของตุ๊กตาหมี Care Bears ทั้ง 7 วัน 7 สี โดยแฟน ๆ สามารถร่วมกิจกรรม Photo Mission ถ่ายรูปครบทั้ง 7 โซน และสะสมแสตมป์ครบ 7 ดวง เพื่อรับสิทธิ์ในกิจกรรมคีบตุ๊กตา Care Bears, ถ่ายภาพ Photo Booth และกิจกรรมแลกรับไอศกรีมผ่านคะแนน Singha Rewards ณ ศูนย์การค้าเมกา บางนา บริเวณ ชั้น 1,โซนแฟชั่น แกลอเรีย (Fashion Galleria Zone) เมื่อวันที่ 12-18 มิถุนายน 2567

“คาแรกเตอร์ที่เราเลือกจะเป็นการสื่อสารว่าสิงห์เป็นแบรนด์อย่างไร ซึ่งภาพของสิงห์จะดูเป็น Family พร้อมส่งแรงบวกกับคนรอบข้าง” พรรณทิพย์ ทิ้งท้าย

ทั้งนี้ แคร์แบร์ถือเป็น คาแรกเตอร์ที่ 6 ที่น้ำดื่มสิงห์ Collab ด้วย โดยก่อนหน้านี้จะมีคาแรกเตอร์ระดับโลก ได้แก่ My Little Pony, Mickey Mouse, โดราเอมอน และ Toy Story

7 ลาย 7 สี 7 ความหมาย

สำหรับน้ำสิงห์ที่มีฉลาก แคร์แบร์ ลิมิเต็ด เอดิชั่น จะมีใน 2 ขนาด ได้แก่ 330 มิลลิลิตร และ 750 มิลลิลิตร โดยมีให้สะสมทั้งหมด 7 ลาย 7 สี โดย พรรณทิพย์ อธิบายเสริมว่า แต่ละสีจะส่งต่อความสดชื่น ด้วยความสดใสแตกต่างกัน ตามแต่ละสีของแคร์แบร์ ได้แก่

  • หมีสีฟ้า (Grumpy Bear) สื่อถึงว่าจะไม่โอเคบ้างก็ไม่เป็นไรนะ
  • หมีสีแดง (Love-A-Lot Bear) การส่งต่อความรัก
  • หมีสีเหลือง (Funshine Bear) เป็นความกระฉับกระเฉง สดใสเหมือนพระอาทิตย์ในทุกวัน
  • หมีสีม่วง (Share Bear) การรู้จักแบ่งปันต่อคนรอบข้าง
  • หมีสีส้ม (Friend Bear) ความเป็นมิตรกับเพื่อนรอบข้าง
  • หมีสีชมพู (Cheerful Bear) การแบ่งปันความสุข รอยยิ้ม
  • หมีสีเขียว (Lucky Bear) การส่งต่อความโชคดีให้กันและกัน

นอกจากความสนุกในการตามหาให้ครบ 7 สี 7 ลาย แฟน ๆ สามารถเติมความสดชื่นที่ใช่ ฮีลใจ เพิ่มพลังให้กับตัวเองและคนที่ห่วงใยในทุกวันด้วย ข้อความข้างขวดจากเหล่าแคร์แบร์ ได้อีกด้วย โดยแฟน ๆ สามารถหาซื้อน้ำดื่มสิงห์ขนาด 330 มิลลิลิตร (มล.) ผ่านช่องทางไฮเปอร์มาร์เก็ต และซูเปอร์มาร์เก็ต และขนาด 750 มล. จำหน่ายผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่น

]]>
1479330
“น้ำสิงห์ขวดใส” ความท้าทายบทใหม่ ในการบาลานซ์ ‘แบรนดิ้ง’ กับ ‘สิ่งแวดล้อม’ https://positioningmag.com/1463717 Thu, 22 Feb 2024 13:44:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463717 ทุกวันนี้ปัจจัยที่เราเลือกหยิบน้ำดื่มจากตู้แช่สักขวดคืออะไรบ้าง แบรนด์, ราคา, คุณภาพ หรือพรีเซ็นเตอร์ ถ้าวันหนึ่งน้ำดื่มไม่มีฉลากที่บอกชื่อแบรนด์ จะเลือกหยิบกันถูกหรือไม่ ยังคงเป็นคำถามแก่นักการตลาด และผู้บริโภค

ปัจจุบันเราได้เห็นองค์กรต่างๆ ได้ตื่นตัวในเรื่องสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตั้งเป้าหมายในเรื่องการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ การเซ็ต Net Zero ภายในปีต่างๆ หรืออย่างใกล้ตัวขึ้นมาหน่อยก็เป็นการปรับเปลี่ยนแพ็กเกจจิ้งที่ใช้วัสดุที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม สามารถย่อยสลายได้ง่าย หรือนำไปรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น

singha

อุตสาหกรรมน้ำดื่มเป็นธุรกิจที่ต้องใช้ “พลาสติก” เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันนิยมใช้ขวดพลาสติก PET เป็นหลัก เพราะเป็นวัสดุที่เบา ใช้งานได้สะดวก รับเทรนด์ความสะดวกสบายของผู้บริโภค ซึ่งพลาสติกที่ว่าก่อให้เกิดขยะหลายชิ้นส่วนทั้งขวด ฉลากผลิตภัณฑ์ ฝา พลาสติกหุ้มแพ็ก จากข้อมูลพบว่าประเทศไทยมีขยะจากขวดพลาสติกราว 6,000 ล้านขวด/ปี แต่มีเพียงไม่ถึง 10% เท่านั้นที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้

ทางเลือกของแบรนด์ต่างๆ ที่เริ่มเห็นกันมากขึ้นคือ มีการเปลี่ยนไปใช้วัสดุ “อะลูมิเนียม” แม้ต้นทุนจะสูงกว่า แต่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ 100%

ต้นทุนไม่ลดอย่างที่คิด

ถือว่าเป็นความท้าทายอยู่พอสมควรที่ “น้ำดื่มสิงห์” ผู้นำในตลาดน้ำดื่มลุกขึ้นมาปรับแพ็กเกจจิ้งครั้งใหญ่ ด้วยการปรับเป็นขวดใส เพื่อลดการใช้ฉลากผลิตภัณฑ์ โดยมีเทคนิคการพิมพ์นูนลงบนขวด

ในช่วงแรกถือว่าเรียกเสียงฮือฮาได้พอสมควร แม้สิงห์จะไม่ใช่รายแรกที่ทำขวดใส เพราะก่อนหน้านี้มีแบรนด์น้ำดื่มน้องใหม่อย่าง “ซีทรู (C2)” ก็มีการใช้ขวดใสเช่นกัน มีกระบวนการเดียวกันก็คือพิมพ์นูนบนขวด พร้อมใช้ “แจ็คสัน หวัง” เป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างการรับรู้ แต่ก็สร้างแรงกระเพื่อมในตลาดได้ไม่น้อย เพราะยักษ์ใหญ่ลงมาจับตลาดนี้

singha

สิงห์เริ่มคิกออฟขวดใสกับน้ำดื่มไซส์ใหญ่ 1.5 ลิตรก่อน และขายยกแพ็กเท่านั้น ไม่มีขายแยกขวด จำหน่ายเฉพาะช่องทางไฮเปอร์มาร์เก็ต เริ่มจากโลตัสเป็นที่แรก เพราะยังมีข้อจำกัดเรื่องข้อมูลสำคัญที่ต้องระบุลงในฉลาก เช่น ตราสินค้า ชื่อแบรนด์ เลข อย. และปริมาตรของสินค้า จากที่เคยพิมพ์ข้อมูลนี้ลงฉลาก ต้องเปลี่ยนมาพิมพ์ลงบนพลาสติกที่หุ้มแพ็กแทน

อีกนัยสำคัญหนึ่งก็คือ ขนาด 1.5 ลิตร เป็นขนาดที่ขายดีที่สุดของสิงห์ มีสัดส่วนยอดขายถึง 49% รองลงมาคือขนาด 600 มิลลิลิตร ในขณะที่ตลาดน้ำดื่ม ไซส์ 1.5 ลิตร มีสัดส่วน 40%

สิงห์จึงเริ่มนำร่องกับไซส์คู่ใจของเขา อีกทั้งไซส์นี้ยังเป็นไซส์สำหรับผู้บริโภคที่ซื้อยกแพ็กไปดื่มที่บ้าน จะเป็นกลุ่มที่มี Loyalty สูง ถึงแม้ไม่มีฉลาก ก็ยังซื้อดื่มเหมือนเดิม

singha

พรรณทิพย์ ลีตะชีวะ ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาดแบรนด์น็อนแอลกอฮอล์ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เล่าว่า

“สิงห์ใช้เวลาในการพัฒนาขวดใสราวปีกว่า มีการลงทุนเครื่องจักรเพิ่ม ต้องเปลี่ยนเครื่องโมเป่าขวดจากเรียบเป็นนูน ความยากคือต้องเป่าแล้วให้แข็งแรง เป็นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ PET 1 สามารถรีไซเคิลได้ 100% ทำให้แม้ว่าจะลดการใช้ฉลาก แต่ต้นทุนเราก็ไม่ได้ลดลงอย่างที่คิดเลย เพราะต้องใส่ข้อมูลบนฉลากบนขวด และบนพลาสติกหุ้มแพ็ก แต่สิ่งที่ได้คือลดการใช้พลาสติกมากขึ้น และเป็นเจ้าใหญ่ที่ลงมาเทคแอคชั่นตรงนี้”

ตอนนี้น้ำดื่มสิงห์มี 1 โรงงานที่มีไลน์ผลิตที่สามารถโมเป่าขวดนูนได้ มีการตั้งเป้าว่าภายในปี 2568 จะมีไลน์ผลิตขวดนูนได้ทุกโรงงาน 5 แห่ง ได้แก่ วังน้อย, สิงห์บุรี, มหาสารคาม, สุราษฎ์ธานี และเชียงใหม่

singha

พรรณทิพย์ บอกว่า มีความสนใจที่จะขยายขวดใสไปแพ็กไซส์อื่นเช่นกัน แต่ต้องดูเรื่องความเหมาะสมของข้อมูลสำคัญบนฉลาก ซึ่งจะสามารถพิมพ์ลงได้มากน้อยแค่ไหน มองว่าถ้าขวดใสไซส์ต่อไป ก็คงต้องเป็นขนาด 600 มิลลิลิตร เพราะเป็นขนาดที่ขายดีรองลงมา

แต่น้ำดื่มขวดที่มีฉลากก็ยังขายอยู่ปกติในทุกช่องทาง มีเพียงช่องทางไฮเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้นที่ขายแบบขวดใส เพราะเหมาะกับการซื้อยกแพ็กมากกว่า

แบรนด์ได้อะไรจากฉลากที่หายไป?

แน่นอนว่าคำตอบแรกอาจจะบอกว่า “ได้ใจ” ผู้บริโภค

แต่ในระยะยาวอาจจะต้องรอดูว่าผู้บริโภคให้การตอบรับมากน้อยแค่ไหน เพราะฉลากสินค้าที่ลดลง เท่ากับพื้นที่โฆษณาของแบรนด์ก็ลดลงเช่นกัน

พรรณทิพย์ มองในประเด็นนี้ว่า พื้นที่โฆษณาหายไปแน่นอน แต่เป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างเรื่องการตลาด กับเรื่องรักษ์โลก มองว่าในระยะยาวน่าจะดีกว่า และผู้บริโภคก็จะเริ่มปรับพฤติกรรม และเข้าใจมากขึ้น ตอนที่เราเริ่มเอา Cap Seal หุ้มฝาขวดออก ก็ช่วยลดพลาสติกได้มหาศาล

singha

จริงๆ แล้วฉลากอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่เตะตาผู้บริโภคเวลาอยู่บนตู้แช่ แต่สุดท้ายแล้วลูกค้าที่มี Brand Loyalty จะสามารถจดจำได้ว่าแบรนด์ทำอะไรบ้าง ยิ่งในปัจจุบันที่คนรุ่นใหม่เริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เริ่มตัดสินใจจากแบรนด์ที่ตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อาจจะเป็นเรื่องดีที่ทำให้แบรนด์ได้คะแนนมากขึ้นได้

สิงห์ตั้งเป้าว่าน้ำขวดใสนี้ จะสามารถช่วยลดขยะพลาสติกลงได้ราว 16 ตัน/ปี หรือเทียบเท่าระยะทาง 7.8 แสนกิโลเมตร

ทั้งนี้ ตลาดน้ำดื่มในปี 2566 มีมูลค่า 38,000 ล้านบาท เติบโต 8.9% หรือปริมาณ 3,700 ล้านลิตร ส่วนแบ่งการตลาด สิงห์ 20% คริสตัล 18.6% เนสท์เล่ 11.4% น้ำทิพย์ 10.5% และอื่นๆ 39.5%

]]>
1463717
สุดยอดแบรนด์ FMCG แห่งปี 2023 จัดโดย Kantar “เลย์” ขึ้นมายืนหนึ่ง “สิงห์” ม้ามืดกลุ่มน้ำอัดลม https://positioningmag.com/1436691 Wed, 05 Jul 2023 12:13:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1436691
  • Kantar ประกาศ “สุดยอดแบรนด์ FMCG แห่งปี 2023” โดยปีนี้มีทั้งหมด 20 แบรนด์ที่เข้ามาอยู่ในโผ หลายแบรนด์ยืนหนึ่งหน้าเก่ายังคงยึดฐานที่มั่นเหนียวแน่น เช่น มาม่า เนสกาแฟ คอลเกต ดัชมิลล์ ไฮยีน การ์นิเย่
  • หน้าใหม่ที่น่าสนใจ เช่น “เลย์” ปรับจากแบรนด์ดาวรุ่งขึ้นมาเป็นสุดยอดแบรนด์ที่ผู้บริโภคเลือกซื้อมากที่สุดในหมวดขนมขบเคี้ยว “สิงห์” เป็นแบรนด์ม้ามืดกลุ่มน้ำอัดลม หรือ “คุมะ” แบรนด์หน้าใหม่ที่ได้รางวัลปรับตัวได้ดีที่สุด
  • บริษัทข้อมูลการตลาด “Kantar” ประกาศผล “Brand Footprint Thailand 2023 Awards” หรือ “สุดยอดแบรนด์ FMCG ประจำปี 2023” ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ปีนี้มีแบรนด์ที่นำมาวิเคราะห์รวม 570 แบรนด์ จากทั้งหมด 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์ FMCG ได้แก่ อาหาร, เครื่องดื่ม, ผลิตภัณฑ์นม, ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน, ของใช้ส่วนบุคคล และ เครื่องสำอาง รวมถึงมีรางวัลสำหรับกลุ่มค้าปลีกโดยเฉพาะ

    วิธีการตัดสินจะเป็นสูตรการคำนวณ “อัตราการเข้าถึงผู้บริโภค” (Consumer Reach Points: CPRs) เพื่อหาว่าผู้บริโภคเลือกซื้อแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งบ่อยเพียงใด

    ปี 2023 Kantar มอบรางวัลแบ่งเป็น 5 รางวัล และแยกย่อยไปแต่ละหมวดผลิตภัณฑ์ (บางหมวดอาจไม่มีแบรนด์ที่ได้รับรางวัล)

    สุดยอดแบรนด์

    Most Chosen Brands แบรนด์ยืนหนึ่งที่ผู้บริโภคเลือกซื้อมากที่สุด

    • Mama (มาม่า) – 168 ล้านครั้ง (อาหาร)
    • Nescafé (เนสกาแฟ) – 119 ล้านครั้ง (เครื่องดื่ม)
    • Lay’s (เลย์) – 129 ล้านครั้ง (ขนมขบเคี้ยว)
    • Dutch Mill (ดัชมิลล์) – 152 ล้านครั้ง (ผลิตภัณฑ์นม)
    • Hygiene (ไฮยีน) – 115 ล้านครั้ง (ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน)
    • Colgate (คอลเกต) – 97 ล้านครั้ง (ของใช้ส่วนบุคคล)
    • Garnier (การ์นิเย่) – 38 ล้านครั้ง (เครื่องสำอาง)

    สำหรับรางวัลแบรนด์ยืนหนึ่ง เรียกได้ว่าหน้าเก่าครองแชมป์หลายสมัยยังอยู่กันครบทุกแบรนด์ โดยมี “เลย์” ขึ้นมาเป็นแบรนด์ยืนหนึ่งหน้าใหม่ในหมวดขนมขบเคี้ยว จากปี 2022 ที่เลย์ยังได้รางวัลในกลุ่มแบรนด์ดาวรุ่ง

    Top Growing Brands รางวัลแบรนด์ดาวรุ่งที่ผู้บริโภคเลือกซื้อเติบโตสูงสุด

    • Mitr Phol (มิตรผล) – 63 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 9.6 ล้านครั้ง (อาหาร)
    • Betagan (บีทาเก้น) – 40 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 7.3 ล้านครั้ง (เครื่องดื่ม)
    • Tasto (เทสโต) – 26 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 2 ล้านครั้ง (ขนมขบเคี้ยว
    • Dutchie (ดัชชี่) – 34 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 3.4 ล้านครั้ง (ผลิตภัณฑ์นม)
    • Hygiene (ไฮยีน) – 115 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 8.5 ล้านครั้ง (ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน)
    • Jula’s Herb (จุฬา เฮิร์บ) – 15 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 4.4 ล้านครั้ง (ของใช้ส่วนบุคคล)
    • Jula’s Herb (จุฬา เฮิร์บ) – 19 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 5.1 ล้านครั้ง (สกินแคร์)
    • Srichand (ศรีจันทร์) – 2 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 7 แสนครั้ง (เครื่องสำอาง)

    Kantar มองว่าแบรนด์ดาวรุ่งที่น่าสนใจในปีนี้คือ “มิตรผล” เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาค่าครองชีพของคนไทยสูงขึ้นจากเงินเฟ้อ ทำให้แบรนด์ต้องแข่งขันให้ได้ในสภาวะที่กำลังซื้อน้อยลง ต้องหาทางเจาะฐานผู้บริโภคในชนบทให้ได้มากขึ้น และเปิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่วางแผนการแข่งขันด้านราคาได้ดี

    Top Outstanding Brands รางวัลแบรนด์ม้ามืดที่มีความโดดเด่น

    • Singha (สิงห์) – 27 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 11 ล้านครั้ง (น้ำอัดลม – หมวดหมู่ที่มี Penetration มากที่สุดและเติบโตมากที่สุดในกลุ่มเครื่องดื่ม)
    • Redbull (กระทิงแดง) – 9 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 2.7 ล้านครั้ง (เครื่องดื่มเกลือแร่และให้พลังงาน – หมวดหมู่ที่เริ่มกลับมาเป็นเทรนด์หลังการล็อคดาวน์)
    • Nivea (นีเวีย) – 5 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 1.2 ล้านครั้ง (ครีมกันแดด – หมวดหมู่ที่มีการเติบโตของอัตราการเข้าถึงผู้บริโภคมากที่สุดในกลุ่มของใช้ส่วนบุคคล)

    น่าสนใจที่ “สิงห์” เป็นแบรนด์ม้ามืดในกลุ่มน้ำอัดลม สิงห์โซดาเป็นผลิตภัณฑ์น้ำอัดลมหน้าใหม่ที่เพิ่งสร้างแบรนด์ในตลาดไม่นาน แต่ทำได้ดีอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคนไทยกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านและต้องการดื่มน้ำอัดลม

    Top Outstanding Retailer รางวัลค้าปลีกที่มีความโดดเด่น

    ผู้เล่นในกลุ่มค้าปลีกออนไลน์ล้วน (Online Pure Player) เป็นช่องทางที่มีอัตราการเข้าถึงผู้บริโภคสูงที่สุดในการจับจ่ายทางออนไลน์ (Online Shopping) ทั้งหมด ในปี 2022

    Most Resilient Brand รางวัลแบรนด์ที่ปรับตัวต่อตลาดได้ดีที่สุด

    แบรนด์ที่มีการเพิ่ม Penetration หรือการเจาะตลาดได้มากที่สุดในบรรดาสินค้า FMCG ทั้งหมด ในปี 2022

    • Kuma (คุมะ) – ครอง 10.3% Penetration เพิ่มขึ้น 6.5 points หรือเจาะตลาดเพิ่มราว 1.7 ล้านครัวเรือน

    “คุมะ” เป็นแบรนด์กระดาษทิชชู่ที่อยู่ในหมวดบิวตี้ เพราะผลิตภัณฑ์โดดเด่นคือกระดาษเช็ดหน้า Kantar ระบุว่า คุมะสามารถครองส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มกระดาษเช็ดหน้าได้ถึง 18% แม้เพิ่งเปิดตัวมาเพียง 2 ปี เพราะใช้กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ราคาย่อมเยาแต่คุณภาพดี ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม

    กระดาษทิชชู่ Kuma

    ปี 2023 นี้แบรนด์ที่ได้รับรางวัลถือว่าได้ผ่านความท้าทายมาสูงมาก “Howard Chang” กรรมการผู้จัดการ ประเทศไทยและมาเลเซีย Kantar, Worldpanel Division กล่าวว่า รอบปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่กำลังซื้อลดลง เพราะหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น มีครัวเรือนคนไทยถึง 48% ที่มองว่าสถานการณ์ทางการเงินของตนแย่ลงในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา นั่นหมายความว่าแบรนด์ที่ยังครองใจผู้บริโภคได้ต้องดำเนินกลยุทธ์มาได้อย่างถูกต้อง

    ]]>
    1436691
    โกอินเตอร์! “สิงห์ เลมอนโซดา” พาแบรนด์ไทยขึ้นบิลบอร์ดกลางไทม์สแควร์ นิวยอร์ก https://positioningmag.com/1393078 Mon, 18 Jul 2022 12:08:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1393078 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหลายคนอาจจะเคยเห็นศิลปินไทย ขึ้นป้ายบิลบอร์ดที่ “ไทม์สแควร์” ใจกลางกรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกากันมาบ้างแล้ว โดยอาจจะเป็นแคมเปญต่างๆ ของแบรนด์สินค้า หรือล่าสุดก็เป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย เป็นการโปรโมตทีมฟุตบอลชาติไทย

    แต่ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็น “แบรนด์ไทย” ขึ้นโฆษณาบนป้ายบิลบอร์ดแห่งนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นไพรม์โลเคชั่น เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก อีกทั้งยังมีมูลค่าสื่อมากมายมหาศาล

    ล่าสุด “สิงห์ เลมอนโซดา” ในฐานะแบรนด์ไทย ได้ขึ้นบิลบอร์ดใจกลางไทม์สแควร์เป็นครั้งแรก นับเป็นมิติใหม่ของวงการการตลาด และวงการสื่อ ยกระดับแบรนด์สัญชาติไทยให้โกอินเตอร์

    เบื้องหลังของแคมเปญนี้เป็นการที่ “สิงห์” ได้ทำตลาด “สิงห์ เลมอนโซดา” บุกตลาดต่างประเทศอย่างเป็นทางการ เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่มีการเติบโตค่อนข้างดี ทางสิงห์จึงดันออกสู่ตลาดอื่นๆ มากขึ้น เพราะด้วยเทรนด์ของเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล และเป็นเครื่องดื่มผสมวิตามินซีด้วย

    ทางสิงห์เองได้ส่งสิงห์ เลมอนโซดาไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าเมื่อส่งสินค้าไปแล้ว ย่อมมีการทำการตลาด สิงห์จึงได้ซื้อป้ายโฆษณาใจกลางไทม์สแควร์อย่างที่เห็นนี้

    ความน่าสนใจอยู่ที่ การขึ้นป้ายบิลบอร์ดครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่ในอเมริกาเท่านั้น … อย่างที่ทราบกันดีว่า ไทม์สแควร์ คือหนึ่งในไพรม์โลเคชั่นของโลก เวลามีใครทำอะไร ต้องการโปรโมตอะไร ก็อยากไปขึ้นป้ายบิลบอร์ดที่นั่น เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกมาที่นี่

    เรียกง่ายๆ ว่าไทม์สแควร์เป็นพื้นที่ที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ เพราะฉะนั้นบิลบอร์ดที่นี่มันจึงเป็นบิลบอร์ดที่มีความสำคัญในแง่ของการมองเห็นที่ว่า “ถ้าสิ่งใดอยู่บนบิลบอร์ดนั้น โลกจะมองเห็น” นั่นเอง

    การที่สิงห์ เลมอนโซดาไปขึ้นป้ายอยู่ที่นั้น ในแง่ของการโฆษณาก็คือ การก้าวจากแบรนด์ไทยไปสู่ตลาดอินเตอร์อย่างเต็มตัว สอดคล้องกับการที่สิงห์ เลมอนโซดาได้เริ่มส่งขายในต่างประเทศ และอีกหลายประเทศก็อยู่ในขั้นตอนของการเจรจา หรือการตกลงทำรายละเอียดกัน ในอนาคตแบรนด์จะเติบโตในต่างประเทศมากขึ้น

    การที่ได้เห็นแบรนด์สิงห์มีมูฟเมนต์ใหม่ๆ ค่อนข้างเยอะ อีกหนึ่งเบื้องหลังมาจากผู้บริหารรุ่นใหม่อย่าง “เต้ ภูริต ภิรมย์ภักดี” ด้วยเช่นกัน ถ้าใครได้ติดตามบ่อยๆ จะเห้นว่าสิงห์เองก็พยายามทราส์ฟอร์มแบรนด์ตัวเองที่เป็นแบรนด์เก่าแก่ที่มีอายุ 89 ปี ให้มีความทันสมัยมากขึ้น

    หนึ่งในกลยุทธ์หลักที่จับต้องได้ง่ายที่สุด ก็คือ การมองหาโอกาสใหม่ๆ น่านน้ำใหม่ๆ เพื่อทำให้สิงห์ก้าวเข้าสู่ยุค New Gen เราจึงได้เห็นสิงห์เข้าสู่การขยายตลาดใหม่ๆ สินค้าใหม่ๆ และนวัตกรรมใหม่ๆ

    ยิ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ สิงห์ในน้ำหนักกับตลาดสินค้าไม่มีแอลกอฮอล์ (Non-Alcohol) มากขึ้นด้วย เนื่องจากมีโอกาส และสามารถสร้างกำไร สร้างการเติบโตระยะยาวได้ เช่น น้ำดื่มสิงห์ มีแคมเปญใหม่ๆ ที่เราอาจไม่เคยเห็นกับแบรนด์น้ำดื่มอื่นๆ

    สิงห์ เลมอนโซดาเองก็เป็นอีกหนึ่งผลผลิตของการทรานส์ฟอร์มของสิงห์ ที่ต้องการสร้างการเติบโตแบบยั่งยืน นอกจากธุรกิจเบียร์ โซดา น้ำดื่มที่มีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว ต้องขยับหาฐานลูกค้าใหม่ๆ โอกาสใหม่มากขึ้น ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่

    ]]>
    1393078
    อ่านเกม “สิงห์ เลมอนโซดา” การต่อยอดธุรกิจของค่ายสิงห์ เมื่อเจ้าพ่อโซดา… ไม่ได้ทำแค่โซดาอีกต่อไป https://positioningmag.com/1391149 Tue, 05 Jul 2022 06:24:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1391149 อ่านเกมของ “สิงห์ เลมอนโซดา” หนึ่งในสินค้าที่เป็นฮีโร่ของค่ายสิงห์ที่สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นการขยับหาเซ็กเมนต์ใหม่ พร้อมกับต่อยอดสินค้าหลักที่เป็นตัวพ่ออย่าง “โซดา” ชูจุดขายหลักที่ไม่มีน้ำตาล ไม่มีแคลอรี เอาใจทั้งสายเฮลท์ตี้ และสายปาร์ตี้ไปในตัว เพราะดื่มเพียวๆ หรือนำไปชงกับเครื่องดื่มก็ได้

    ขยับหาน่านน้ำใหม่ ไม่หยุดแค่โซดา

    ต้องบอกว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เทรนด์หนึ่งที่มาแรงแซงทุกโค้งก็คือการดูแลสุขภาพ อาหารและเครื่องดื่มจึงออกไปในแนวน้ำตาลน้อย แคลอรีต่ำ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค แต่การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ก็ได้กำเนิดอีกเทรนด์หนึ่งในไทยก็คือ การเสริมภูมิต้านทานให้ร่างกาย สินค้ากลุ่ม “เครื่องดื่มวิตามินซี” และ “น้ำวิตามิน” จึงได้อานิสงส์ไปเต็มๆ

    เราจึงได้เห็นผู้เล่นยักษ์ในวงการเครื่องดื่มต่างลงมาจับตลาดกันเกือบหมด พร้อมกับสร้างจุดขายที่แตกต่างกันออกไป ค่าย “สิงห์” เองก็พร้อมร่วมขบวน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทางสิงห์ก็ต้องการดันรายได้ในส่วนของเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ให้เพิ่มขึ้นอยู่ตลอด

    ในช่วงกลางปี 2563 สิงห์ได้เปิดตัว “สิงห์ เลมอนโซดา” เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่สร้างเสียงฮือฮาไม่น้อย ข้อแรกสินค้าตัวนี้เป็นการเปิดตัวสินค้าในกลุ่มนอน-แอลกอฮอล์ของสิงห์ในรอบหลายปี ข้อสองเป็นการสร้างความแตกต่างจากตลาด แต่ยังตอกย้ำภาพจุดแข็งของบริษัทในการให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพสินค้า ที่ตอบสนองความต้องการของพฤติกรรมผู้บริโภคและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดอีกด้วย

    ในพอร์ตเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของสิงห์ ประกอบไปด้วยสินค้าที่เป็นผู้นำตลาดทั้ง “โซดา” และ “น้ำดื่ม” โดยที่สิงห์ เลมอนโซดาเป็นการต่อยอดความเป็นเจ้าพ่อโซดาได้อย่างลงตัว อีกทั้งในตลาดยังมีช่องว่าง และโอกาสมากมาย เป็นการขยายตลาดเพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ เป็นการบุกตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมอย่างเต็มตัว

    สิงห์ เลมอนโซดาเป็นเครื่องเครื่องดื่มอัดลม หรืออัดก๊าซ โดยใช้โซดาที่เป็นธุรกิจใหญ่ของเครือ มาผสมกับน้ำเลมอน มีวิตามินซี และไม่มีน้ำตาล แคลอรี 0% ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ เป็นได้ทั้งเครื่องดื่มดับกระหาย และเครื่องดื่มทางเลือกเพื่อสุขภาพ

    ที่สำคัญสิงห์ เลมอนโซดายังเจาะกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมตลาดใน 2 กลุ่ม ได้แก่ เครื่องดื่มน้ำอัดลมที่มีมูลค่ากว่า 62,000 ล้านบาท และโซดามูลค่า 15,000 ล้านบาท เมื่อรวม 2 ตลาดคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 77,000 ล้านบาท ได้ขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมอีกด้วย 

    ในปี 2564 ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลม (Carbonated Soft Drink : CSD) มีมูลค่าราวๆ 62,725 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้ตามบรรจุภัณฑ์ ได้แก่ ขวด PET 74%, กระป๋อง 21% และขวดแก้ว 5% เห็นได้ว่าตลาดมีมูลค่าใหญ่กว่าโซดาหลายเท่าตัว

    นอกจากนี้ถ้าเจาะไปในตลาดแพ็กเกจจิ้งกระป๋องที่สิงห์ เลมอนโซดาอยู่ในกลุ่มนี้ มีสัดส่วนถึง 21% หรือมีมูลค่า 13,172 ล้านบาท หลังจากเปิดตัวได้ 2 ปี สิงห์ เลมอนโซดามีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่12% หรือมีมูลค่า 1,450 ล้านบาท และส่วนแบ่งตลาด 2.4% ในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมรวม

    โดนใจทั้งสายเฮลท์ตี้ และปาร์ตี้

    ในปี 2563 สิงห์ เลมอนโซดาได้เปิดตัวสินค้าตัวแรกด้วยรสชาติเดียวก็คือ รสเลมอน หลังจากนั้นในปี 2564 ได้ปล่อยรสชาติใหม่ “ส้มยูสุ” เป็นการจับเทรนด์ตลาดโลก มาต่อยอดกับโซดาได้อย่างลงตัว

    จุดเด่นที่ทำให้หลายคนเปิดใจให้กับสิงห์ เลมอนโซดา ทั้งในเรื่องแบรนด์ดิ้งของสิงห์ที่ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพ และรสชาติ ประกอบกับดีไซน์ของแพ็กเกจจิ้งที่โดดเด่นบนเชลฟ์วางสินค้า

    ในส่วนของตัวสินค้าเองก็มีการทำการบ้านมาอย่างดี จับเทรนด์ดูแลสุขภาพของผู้บริโภค เลือกสูตรน้ำตาล 0% และเป็นสูตรไม่มีน้ำตาล ไม่มีแคลอรี พร้อมกับมีรสชาติใหม่ๆ ลงสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง

    ทำให้กลุ่มลูกค้าของสิงห์ เลมอนโซดามีทั้งสายเฮลท์ตี้ ดื่มเป็นเครื่องดื่มดับกระหาย เป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพ รวมไปถึงสายปาร์ตี้ที่นำสิงห์ เลมอนโซดาไปมิกซ์กับเครื่องดื่มอื่นๆ เพื่อสร้างสีสัน และเป็นตัวชูโรงสร้างเครื่องดื่มที่แปลกใหม่ แต่ยังได้รสชาติในแบบเฉพาะของสิงห์อยู่

    การส่งสิงห์ เลมอนโซดาลงตลาด เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ทำให้ตลาดมีสีสัน อีกทั้งยังช่วยเสริมพอร์ตโฟลิโอของสิงห์เองให้แข็งแกร่งด้วย เนื่องจากหลายปีมานี้สิงห์ได้ให้ความสำคัญกับกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เพิ่มมากขึ้น ตอบรับกับเทรนด์การดูแลสุขภาพของผู้บริโภค

    สิงห์ เลมอนโซดาจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของทั้งบริษัท และตลาดให้เติบโตมากยิ่งขึ้น เป็นการต่อยอดธุรกิจหลักอย่างโซดาให้แข็งแกร่ง เป็นอีกหนึ่งหมัดเด็ดที่น่าสนใจ และต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีรสชาติอะไรใหม่ๆ ให้ติดตามกันอีก

    หนังโฆษณาล่าสุดจากสิงห์ เลมอน โซดา

    อ่านเพิ่มเติม

    ]]>
    1391149
    “ต๊อด ปิติ” นำ “ฟู้ด แฟคเตอร์” เข้าสู่ Metaverse เปิดหน้าร้าน ทำการตลาดผ่าน Jakaverse https://positioningmag.com/1373427 Wed, 09 Feb 2022 09:25:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373427 “สิงห์” ลุยเมตาเวิร์ส ต่อยอดธุรกิจ ประเดิมส่งกลุ่มอาหารภายใต้บริษัท “ฟู้ด แฟคเตอร์” เปิดหน้าร้าน ทำการตลาด สร้างประสบการณ์ให้ผู้บริโภคครบวงจรผ่านแพลตฟอร์ม Jakaverse เชื่อมต่อผู้บริโภคบนโลกไร้พรมแดน

    นายปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เปิดเผยว่า กระแสหรือเทรนด์ของการเกิดโลกเสมือนจริง (Metaverse) ถือเป็นอีโคซิสเทมใหม่ของโลกอนาคตที่ผสานโลกจริงกับโลกแห่งจินตนาการเข้าด้วยกัน ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตในโลกสมัยใหม่ ทั้งชีวิตส่วนตัว รวมถึงภาคธุรกิจ ที่คาดการณ์ว่าจะสามารถเพิ่มโอกาสในการผลักดันเศรษฐกิจใหม่บนโลกดิจิทัล

    สำหรับสิงห์ เป็นองค์กรธุรกิจที่มีจุดเริ่มต้นจากธุรกิจเครื่องดื่ม ที่สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลากว่า 89 ปีที่ผ่านมา และมีการปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงรอบด้านทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว

    ล่าสุด ถือเป็นก้าวสำคัญของสิงห์ เมื่อบริษัทได้วางกลยุทธ์ในการขยับตัวเข้าสู่โลกเมตาเวิร์ส (Metaverse) ด้วยการนำร่องธุรกิจอาหารภายใต้ บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ เข้าไปร่วมลงทุนบนจาก้าเวิร์ส (Jakaverse) อาณาจักรโลกเสมือนจริงรายแรก ที่ถูกพัฒนาโดยสตาร์ทอัพคนไทยและชาวต่างชาติ ที่กำลังจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมเปิดให้ใช้งานพร้อมกันทั่วโลกเร็วๆ นี้ โดยนับเป็นอีกหนึ่งสตาร์ทอัพของคนไทยที่กำลัง
    ก้าวสู่ระดับยูนิคอร์น

    โดยพื้นที่ในแพลตฟอร์มจาก้าเวิร์สดังกล่าว เบื้องต้นจะถูกนำไปต่อยอดธุรกิจอาหารหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องทางการทำตลาดสินค้า ร้านอาหาร รวมถึงไลฟ์สไตล์ที่มุ่งเน้นสร้างประสบการณ์ผ่านกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ อาทิ เทศกาลอาหาร การแสดงดนตรี การแข่งขันกีฬา ซึ่งทั้งหมดจะเกิดขึ้นในโลกเสมือนจริงจาก้าเวิร์ส

    ซึ่งแบรนด์ในกลุ่มธุรกิจอาหารที่ยกทัพไปอยู่บนจักรวาลเมตาเวิร์สมีมากกว่า 10 แบรนด์ เช่น ซานตาเฟ่ (Santafe), ซานตาเฟ อีซี่ (Santafe Easy), เอส.33 (EST.33), ฟาร์ม ดีไซน์ (Farm Design) และคลาวด์คิทเช่น เกรน (Grain) ที่มีครบทั้งร้านฮอท ชิค บันส์ (Hot Chic Buns) และ Holy Kao รวมถึงร้านอื่นๆ ทั้งในเครือและจากพันธมิตรต่างๆ อีกมากมาย เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้แก่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย

    อย่างไรก็ตาม การนำธุรกิจอาหารฟู้ด แฟคเตอร์ เข้าสู่โลกจาก้าเวิร์ส (Jakaverse) ยังเพิ่มโอกาสให้สิงห์สร้างแบรนด์ร้านอาหารของไทยขยายสู่ตลาดโลกได้เร็วยิ่งขึ้นด้วย เนื่องจากแพลตฟอร์ม Jakaverse จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมให้บริการพร้อมกันทั่วโลก โดยจุดแข็งคือการเป็นแพลตฟอร์มที่มีอีโคซิสเทมของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่ครบวงจร มีเมืองมากมาย ทั้งท่องเที่ยว สถานศึกษา แหล่งช้อปปิ้ง และมีเกมให้เลือก 100 เกม ครอบคลุมทั้ง 22 ประเภท ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย

    ]]>
    1373427
    เปิดเหตุผล ทำไม ‘สิงห์’ ตัดใจ…เลิกผลิต U BEER หลังทำตลาดมา 3 ปี ? https://positioningmag.com/1305089 Mon, 09 Nov 2020 04:32:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1305089 U BEER น้องใหม่ที่เคยเป็นดาวรุ่งของค่ายสิงห์เตรียมอำลาวงการ หลังวางขายได้ 3 ปี

    อะไรที่ทำให้บุญรอดต้องตัดใจปล่อย U BEER (ยูเบียร์) ออกจากพอร์ตเลิกผลิตเลิกทำการตลาดท่ามกลางสถานการณ์ตลาดเบียร์ที่สะเทือนหนักจากวิกฤต COVID-19 … เราจะมาหาคำตอบกัน

    ภูริต ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ให้สัมภาษณ์ว่า บริษัทได้ยกเลิกผลิต U BEER แล้ว ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

    ซีอีโอบุญรอดเทรดดิ้ง ตอบถึงเหตุผลของการยกเลิกผลิต U BEER เเบบกว้างๆ ว่า ปกติเเล้วจะมีการให้เวลาสินค้าเพื่อดูว่ามีการเติบโตเป็นอย่างไรในช่วง 2-3 ปี หากไม่ประสบความสำเร็จ หรือไม่ทำกำไรตามที่ตั้งเป้าไว้ก็จำเป็นต้องถอดออกไป เพื่อให้บริษัทได้หันไปทุ่มกำลังกับแบรนด์อื่นๆ ในเครือที่ยังเป็นเทรนด์เเละมีเเววจะไปต่อได้

    โดยในอนาคต จะมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ U BEER จะฟื้นกลับมาทำตลาดอีกครั้งนั้น ภูริตขอไม่ตอบในประเด็นนี้

    ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2559 เเบรนด์สิงห์ เปิดตัว U BEER เพื่อจับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่อายุ 21-25 ปีโดยเฉพาะ ไม่ทับไลน์กับเเบรนด์สิงห์เเละลีโอ ที่มีฐานเเฟนคลับ 35 ปีขึ้นไป

    ในช่วงเเรก U BEER “เเจ้งเกิดได้ดีในกระเเสโลกออนไลน์ ตามกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ ที่นิยมใช้โซเชียลมีเดียเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ประกอบกับการรุกทำการตลาดออนไลน์อย่างหนักหน่วงของเเบรนด์ ผ่านการทุ่มสารพัดเเคมเปญ

    อีกจุดเด่นของ U BEER “บรรจุภัณฑ์ที่มีการดีไซน์ให้แหวกแนวไปจากแบบเดิม ด้วยการเน้นสีเหลืองและตัวอักษร U เเบบมินิมอล

    U BEER เริ่มต้นจากการเน้นวางขายในช่องทางเฉพาะผ่านเอเย่นต์ในตลาดเล็กๆ ที่หาซื้อไม่ได้ตามร้านทั่วไปก่อน ค่อยๆ เข้าไปเจาะลูกค้าตามร้านอาหาร ผับ บาร์ เพื่อสร้างกระแสให้ในโลกโซเชียลก่อน ตามสไตล์ ยิ่งหายาก คนยิ่งสนใจจากนั้นค่อยขยับมาตลาดเเมส กระจายสินค้าไปสู่โมเดิร์นเทรด ตามห้างร้านเเละซูเปอร์มาร์เก็ต

    อย่างไรก็ตาม มาปีนี้ตลาดเบียร์ไทยที่มีมูลค่าเกือบ 2 แสนล้านบาท ที่ฟาดฟันกันระหว่าง 2 ค่ายใหญ่ ได้รับผลกระทบจากการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ไปไม่น้อย

    เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติหาย สถานบันเทิงต้องปิดชั่วคราว เเละรัฐมีคำสั่งห้ามขายแอลกอฮอล์ 1 เดือนในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งเคยเป็นช่วงพีคของยอดขายจากการสังสรรค์ในเทศกาลสงกรานต์ คาดว่าจบสิ้นปี 2563 นี้ ตลาดเบียร์จะติดลบถึง 15-20% เลยทีเดียว

    บุญรอดบริวเวอรี่ มีเเบรนด์ตัวท็อปอย่าง Singha , LEO ที่ติดลมบนอยู่ในตลาดเเมสมายาวนาน เเละมีเเบรนด์นอกที่นำเข้ามาอย่าง Carlsberg , Corona , Asahi , kronenbourg เเละโซจูของเกาหลีใต้ Jinro

    นอกจากนี้ ยังมี MY BEER ที่เป็นตัว Lager Beer นำมาเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ (เช่นเดียวกันกับ U BEER) เเละ Snowy Weizen ที่ทำตลาดเบียร์พรีเมียม ส่วน Est 33 Kopper เป็นแบรนด์ “คราฟต์เบียร์” ที่สิงห์ลงมาทำเอง

    “ภูริต ภิรมย์ภักดี” เริ่มให้ความสำคัญกับ “คราฟต์เบียร์ไทย” มากขึ้น เห็นได้ชัดจากการประเดิมเข้าไปถือหุ้นใน
    ชาละวัน
    มาตั้งเเต่ปี 2561 ซึ่งตอนนี้บริษัทได้ให้การสนับสนุนด้วยการผลิตและจัดจำหน่ายให้ โดยภูริต ย้ำว่าการเข้ามาของสิงห์ เป็นเพียงการเข้ามาถือหุ้นเพื่อสนับสนุนให้เเบรนด์ไปได้ไกลเท่านั้น การตัดสินใจเเละการบริหารต่างๆ ยังเป็นไปตามทิศทางของผู้ก่อตั้งเเบรนด์ชาละวัน

    อีกหนึ่งสาเหตุที่น่าจะเป็นเหตุผลในการตัดใจปล่อย U BEER ของสิงห์ในครั้งนี้คือ คำสั่งซื้อห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางออนไลน์ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 เพื่อป้องกันเยาวชนไม่ให้เข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้โดยง่าย และเพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านช่องทางออนไลน์ให้กับผู้บริโภคโดยตรงได้

    ด้วยความที่ลูกค้าหลักของ U BEER คือคนรุ่นใหม่ มีพฤติกรรมซื้อของผ่านออนไลน์ จึงได้รับผลกระทบโดยตรง ก่อนหน้านี้ บุญรอดได้ปลุกปั้น “Singha Online” จนเริ่มทำยอดขายจากเดือนละ 10-30 ล้านบาท ขยับขึ้นมาเป็น 100 ล้านบาทได้เเล้ว เเต่เมื่อมีคำสั่งดังกล่าว ยอดขายเบียร์ออนไลน์ทั้งหมดจึงกลายเป็น “ศูนย์” บริษัทจึงต้องปรับหาทิศทางเเละกลยุทธ์ใหม่

    สิงห์ บุกขยายพอร์ตในเครื่องดื่มกลุ่มนอนแอลกอฮอล์มากขึ้น ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ตามกระเเสนิยมโลก อีกทั้งยังไม่มีข้อจำกัดด้านโฆษณามากเท่ากับกลุ่มเครื่องดื่มเเอลกอฮอล์

    ในปีนี้มีการออกสินค้านอน-เเอลตัวใหม่มาเจาะตลาดทั้ง สิงห์ เลมอนโซดา และ เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ โดยสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ สิงห์จะมีการออกสินค้าใหม่อีก 1 ตัว เน้นไปที่กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ อย่างกลุ่ม 0 cal เเละ Functional Drink

    อ่านต่อ : เบื้องหลัง “เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์” ช้าเเต่ชัวร์…สิงห์ส่งหมัดเด็ด ชิงตลาดน้ำผสมวิตามิน 

    โดยสิงห์มีเเผนปรับสัดส่วนในพอร์ตเครื่องดื่ม ดังต่อไปนี้

    ปี 2562 – alcoholic 85 : 15 non-alcoholic
    ปี 2563F – alcoholic 80 : 20 non-alcoholic
    ปี 2564F – alcoholic 70 : 30 non-alcoholic

    เเม่ทัพบุญรอดเทรดดิ้ง มองว่า การที่ธุรกิจจะเติบโตได้ในปีนี้ ถือเป็นเรื่องยาก จากผลกระทบของสถานการณ์ต่างๆ ต้องรัดเข็มขัดลดต้นทุน มอง “กำไร” ไว้ทีหลัง เพราะต้องประคองกิจการให้อยู่รอด เเละเตรียมความพร้อมกลับมาเเข็งเเกร่งให้ได้ในปีต่อไป ซึ่งปี 2564 อาจจะสาหัสกว่านี้ โดยบริษัทมีการจัดสรรงบฯ บางส่วนไปช่วยเหลือสังคม เพื่อให้ทุกภาคส่วน รวมถึงคู่ค้ารอดพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

     

    ]]>
    1305089