หนึ่งในกลยุทธ์ที่ โซดาสิงห์ ใช้ทำให้แบรนด์ทันสมัยและอยู่ในสายตาผู้บริโภคอยู่เสมอ แม้แบรนด์จะมีอายุถึง 91 ปี ก็คือ กลยุทธ์ Collaboration ที่ทำต่อเนื่องทุกปี อย่างในปีที่ผ่านมา ก็มีพันธมิตรหลากหลายสไตล์ เช่น ALEX FACE ศิลปินไทยผู้สร้างผลงานกราฟฟิตี้ดังไกลทั่วโลก, “มิสเตอร์การ์ตูน” (Mr.Cartoon) ศิลปินช่างสักระดับโลก และ Dry Clean Only แบรนด์แฟชั่นสตรีทอาร์ตสัญชาติไทย ฯลฯ มาร่วมสร้างสรรค์ฉลากลิมิเต็ด อิดิชั่น
มาปีนี้ โซดาสิงห์ได้ Collaboration กับแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์อายุ 121 ปีอย่าง ฮาร์เล่ย์-เดวิดสัน (Harley-Davidson) หลังจากใช้เวลาพูดคุยนาน 3 ปี ซึ่งถือเป็นการคอลแลปกับแบรนด์ใหญ่สุดที่เคยร่วมงานด้วย และถือเป็นเป็นครั้งแรกในเอเชียที่ฮาร์เล่ย์-เดวิดสันทำตลาดร่วมกับแบรนด์เครื่องดื่ม
สำหรับแคมเปญ ซ่าให้สุดทาง ที่ Collaboration ฮาร์เล่ย์-เดวิดสัน จะมีการทำฉลากลิมิเต็ด อิดิชั่น, Gift set และ เสื้อออฟฟิเชียลคอลเลกชัน และกิจกรรมโรดโชว์ที่จะเดินทางไปยังจังหวัด ภูเก็ต, พิษณุโลก, นครราชสีมา, เชียงใหม่ และปิดท้ายที่จังหวัดเชียงราย กับงาน Asia Harley Days(TM) ที่จะจัดคู่กับ คอนเสิร์ต Singha Soda Music Concert 2024 ที่สิงห์ปาร์ค เชียงราย โดยทั้งปี โซดาสิงห์ใช้งบการตลาดทั้งสิ้น 100 ล้านบาท
“เราอยากแสดง Attitude ของโซดาสิงห์ก็คือ ความซ่า แม้จะเป็นแบรนด์ที่อยู่มานาน แต่ไม่ใช่แบรนด์ที่แก่ เมื่อคนรุ่นใหม่เห็นแบรนด์ต้อง Inspire เขาได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชาย เพราะมอเตอร์ไซค์เป็นหนึ่งในแพชชั่นของเขาอยู่แล้ว” ธิติพร ธรรมมาภิมุขกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด กล่าว
แม้ปัจจุบันโซดาสิงห์มีส่วนแบ่งในตลาดโซดา 91-92% แต่ ธิติพร มองว่า แบรนด์ยังต้องทำตลาดอยู่ตลอดไม่สามารถหยุดได้ เพราะแบรนด์คู่แข่งยังพยายามจะเจาะเข้ามา ดังนั้น โซดาสิงห์อาจไม่ได้หวังเรื่องการเติบโตของส่วนแบ่งตลาด แต่ต้องการรักษาให้ ไม่ต่ำกว่า 90%
“ที่แชร์เราเยอะเพราะเราทำตลาดโดยตลอด ไม่ใช่ว่าไม่มีคู่แข่ง มีหลายแบรนด์พยายามจาะเข้ามา ดังนั้น ต่อให้เราเป็นที่ 1 เราก็ต้องเดิน ไม่ใช่ยืนในระหว่างที่คู่แข่งเดิน มีหลายแบรนด์ทำกลยุทธ์ราคา แต่ผู้บริโภคยังเลือกเรา เพราะด้วยคุณภาพ จุดเด่นที่ความซ่า และซ่านาน”
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าตลาดโซดา 1.2 หมื่นล้านบาท ไม่เติบโต โดยปีนี้คาดว่าจะ หดตัว 5% เนื่องจากตลาดโซดา 50% ถูกขับเคลื่อนโดยการ บริโภคเหล้าสี เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้การบริโภคลดลง ส่งผลให้ตลาดเหล้าสี หดตัว 10% ซึ่งกระทบกับตลาดโซดาไปด้วย
“ภาวะเศรษฐกิจมีผลทำให้คนบริโภคเหล้าน้อยลง ซึ่งการบริโภคเหล้าส่วนใหญ่จะดื่มในร้าน ไปกับเพื่อน ไปสังสรรค์ ซึ่งเมื่อการบริโภคข้างนอกลดลง ก็ส่งผลกับตลาดโซดา”
ปัจจุบัน การบริโภคโซดา 70% มาจากการดื่มกับเหล้า 20% นำไปผสมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และ 10% ดื่มโซดาเปล่า ซึ่งโซดาสิงห์พยายามจะทำตลาดออนไลน์กับกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งมองว่าเป็นอีกตลาดที่มีโอกาส แต่ต้องยอมรับว่าสัดส่วนจะยัง ไม่ใกล้เคียงกับการผสมเหล้า ในเร็ว ๆ นี้แน่นอน ดังนั้น โซดาสิงห์จึงมองโอกาสการเติบโตไปที่ ตลาดต่างประเทศ มากกว่า
“โดยเฉลี่ยเหล้า 1 ขวดผสมโซดา 6 ขวด แต่ผู้บริโภคทั่วไปใช้แค่ 1 ชวดในการผสมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ดังนั้น สัดส่วนกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จะไม่มาใกล้กับเหล้าเร็ว ๆ แน่นอน”
ปัจจุบัน สัดส่วนการขายในไทยคิดเป็น 90% ต่างประเทศ 10% โดยตลาดหลัก ๆ จะเป็น เกาหลีใต้, จีน และฮ่องกง แต่ที่เติบโตดีสุดคือ เกาหลีใต้ ซึ่งแบรนด์พยายามจะทำตลาดจริงจังมากขึ้น ผ่านการเป็นสปอนเซอร์ในคอนเสิร์ตต่าง ๆ และขยายช่องทางการจำหน่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น คาดว่าภายใน 2-3 ปีจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 15% และถ้าตลาดมีวอลลุ่มมากพอ อาจมีแผน เปิดโรงงาน ในประเทศนั้น ๆ
“แม้ว่าทั้งเกาหลีใต้และจีนจะนิยมดื่มโซจูหรือเหล้าขาว แต่ตอนนี้เริ่มเห็นเทรนด์การบริโภค High Ball (เหล้าโซดา) มากขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่า การจะกินแชร์ในไทยมากกว่านี้มันยาก เราเลยต้องไปโตเมืองนอก และตลาดโซดาจะฟื้นไม่ฟื้นก็ขึ้นอยู่กับตลาดเหล้า”
]]>เชื่อว่าคนไทยหลายคนต้องเคยเห็นตุ๊กตาหมีหลากสีที่มีชื่อว่า ‘แคร์แบร์’ (Care Bears) กันเป็นอย่างดี เพราะแคร์แบร์เป็นคอลเลกชันตุ๊กตาหมีของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีอายุยาวนานถึง 43 ปี โดยปรากฏขึ้นครั้งแรกจากการเป็นลวดลายบนการ์ดอวยพรของบริษัท American Greetings ในปี 1981 โดย Elena Kucharik เป็นผู้วาดแคร์แบร์
จากความนิยมในการส่งการ์ดอวยพรหากันในโอกาสต่าง ๆ ทำให้แคร์แบร์ได้ถูกนำไปต่อยอดสร้างเป็นแอนิเมชันและผลิตสินค้าประเภทต่าง ๆ ทำให้จากเพียงแค่ภาพการ์ตูนหมีที่เป็นตัวแทนของความรู้สึกห่วงใยบนการ์ด แคร์แบร์ได้กลายเป็นตัวแทนในการสื่อความรู้สึกต่าง ๆ แทนคำพูด เช่น มอบความรัก, มอบกำลังใจ และมอบความสดใส
ดังนั้น ด้วยคาแรกเตอร์ที่มีความ Positive พร้อมส่งมอบสิ่งดี ๆ มอบกำลังใจ และเป็นแรงบวก ซึ่งสอดคล้องกับคาแรกเตอร์ของ น้ำดื่มสิงห์ ที่ต้องการส่งต่อพลังบวกให้ผู้บริโภค และมอบความสุขความสดใสในทุก ๆ วันแก่ผู้คน ทำให้น้ำดื่มสิงห์จึงตัดสินใจเลือก Collab กับแคร์แบร์ภายใต้คอนเซปต์ “ส่งต่อความสดชื่น ด้วยความสดใสที่ใช่”
“คาแรกเตอร์ที่เรา Collab ต้องเป็นที่รู้จักทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่อาจยังไม่มีแบรนด์ในใจ เราก็ต้องการไปอยู่ในใจเด็กเหล่านั้น โดยฉลากจะเป็นจุดดึงดูดให้เลือกสิงห์” ธิติพร ธรรมาภิมุขกุล Chief Marketing Officer บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด กล่าว
นอกจากจะมีลวดลายฉลากลิมิเต็ด เอดิชั่น ให้สะสมแล้ว พรรณทิพย์ ลีตะชีวะ ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาดแบรนด์น็อนแอลกอฮอล์ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด อธิบายต่อว่า คาแรกเตอร์ของแคร์แบร์ยังสามารถนำไปต่อยอดไปยัง Ecosystem ทางการตลาดในรูปแบบต่าง ๆ ได้อีกด้วย อาทิ สมาชิกสิงห์รีวอร์ด สามารถร่วมสนุกได้อีกต่อจากการ สะสมแต้มจากรหัสใต้ฝา เพื่อแลกสินค้า Merchandise ของแคร์แบร์ที่มีกว่าพันไอเทม เช่น ตุ๊กตา, หมอน และผ้าห่ม
รวมถึงการทำกิจกรรมพิเศษ อาทิ ‘Everyday Is A Care Day Presented by น้ำดื่มสิงห์’ ที่เนรมิตอีเวนท์ ด้วยจุดถ่ายรูปของตุ๊กตาหมี Care Bears ทั้ง 7 วัน 7 สี โดยแฟน ๆ สามารถร่วมกิจกรรม Photo Mission ถ่ายรูปครบทั้ง 7 โซน และสะสมแสตมป์ครบ 7 ดวง เพื่อรับสิทธิ์ในกิจกรรมคีบตุ๊กตา Care Bears, ถ่ายภาพ Photo Booth และกิจกรรมแลกรับไอศกรีมผ่านคะแนน Singha Rewards ณ ศูนย์การค้าเมกา บางนา บริเวณ ชั้น 1,โซนแฟชั่น แกลอเรีย (Fashion Galleria Zone) เมื่อวันที่ 12-18 มิถุนายน 2567
“คาแรกเตอร์ที่เราเลือกจะเป็นการสื่อสารว่าสิงห์เป็นแบรนด์อย่างไร ซึ่งภาพของสิงห์จะดูเป็น Family พร้อมส่งแรงบวกกับคนรอบข้าง” พรรณทิพย์ ทิ้งท้าย
ทั้งนี้ แคร์แบร์ถือเป็น คาแรกเตอร์ที่ 6 ที่น้ำดื่มสิงห์ Collab ด้วย โดยก่อนหน้านี้จะมีคาแรกเตอร์ระดับโลก ได้แก่ My Little Pony, Mickey Mouse, โดราเอมอน และ Toy Story
สำหรับน้ำสิงห์ที่มีฉลาก แคร์แบร์ ลิมิเต็ด เอดิชั่น จะมีใน 2 ขนาด ได้แก่ 330 มิลลิลิตร และ 750 มิลลิลิตร โดยมีให้สะสมทั้งหมด 7 ลาย 7 สี โดย พรรณทิพย์ อธิบายเสริมว่า แต่ละสีจะส่งต่อความสดชื่น ด้วยความสดใสแตกต่างกัน ตามแต่ละสีของแคร์แบร์ ได้แก่
นอกจากความสนุกในการตามหาให้ครบ 7 สี 7 ลาย แฟน ๆ สามารถเติมความสดชื่นที่ใช่ ฮีลใจ เพิ่มพลังให้กับตัวเองและคนที่ห่วงใยในทุกวันด้วย ข้อความข้างขวดจากเหล่าแคร์แบร์ ได้อีกด้วย โดยแฟน ๆ สามารถหาซื้อน้ำดื่มสิงห์ขนาด 330 มิลลิลิตร (มล.) ผ่านช่องทางไฮเปอร์มาร์เก็ต และซูเปอร์มาร์เก็ต และขนาด 750 มล. จำหน่ายผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่น
]]>ปัจจุบันเราได้เห็นองค์กรต่างๆ ได้ตื่นตัวในเรื่องสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตั้งเป้าหมายในเรื่องการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ การเซ็ต Net Zero ภายในปีต่างๆ หรืออย่างใกล้ตัวขึ้นมาหน่อยก็เป็นการปรับเปลี่ยนแพ็กเกจจิ้งที่ใช้วัสดุที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม สามารถย่อยสลายได้ง่าย หรือนำไปรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น
อุตสาหกรรมน้ำดื่มเป็นธุรกิจที่ต้องใช้ “พลาสติก” เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันนิยมใช้ขวดพลาสติก PET เป็นหลัก เพราะเป็นวัสดุที่เบา ใช้งานได้สะดวก รับเทรนด์ความสะดวกสบายของผู้บริโภค ซึ่งพลาสติกที่ว่าก่อให้เกิดขยะหลายชิ้นส่วนทั้งขวด ฉลากผลิตภัณฑ์ ฝา พลาสติกหุ้มแพ็ก จากข้อมูลพบว่าประเทศไทยมีขยะจากขวดพลาสติกราว 6,000 ล้านขวด/ปี แต่มีเพียงไม่ถึง 10% เท่านั้นที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้
ทางเลือกของแบรนด์ต่างๆ ที่เริ่มเห็นกันมากขึ้นคือ มีการเปลี่ยนไปใช้วัสดุ “อะลูมิเนียม” แม้ต้นทุนจะสูงกว่า แต่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ 100%
ถือว่าเป็นความท้าทายอยู่พอสมควรที่ “น้ำดื่มสิงห์” ผู้นำในตลาดน้ำดื่มลุกขึ้นมาปรับแพ็กเกจจิ้งครั้งใหญ่ ด้วยการปรับเป็นขวดใส เพื่อลดการใช้ฉลากผลิตภัณฑ์ โดยมีเทคนิคการพิมพ์นูนลงบนขวด
ในช่วงแรกถือว่าเรียกเสียงฮือฮาได้พอสมควร แม้สิงห์จะไม่ใช่รายแรกที่ทำขวดใส เพราะก่อนหน้านี้มีแบรนด์น้ำดื่มน้องใหม่อย่าง “ซีทรู (C2)” ก็มีการใช้ขวดใสเช่นกัน มีกระบวนการเดียวกันก็คือพิมพ์นูนบนขวด พร้อมใช้ “แจ็คสัน หวัง” เป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างการรับรู้ แต่ก็สร้างแรงกระเพื่อมในตลาดได้ไม่น้อย เพราะยักษ์ใหญ่ลงมาจับตลาดนี้
สิงห์เริ่มคิกออฟขวดใสกับน้ำดื่มไซส์ใหญ่ 1.5 ลิตรก่อน และขายยกแพ็กเท่านั้น ไม่มีขายแยกขวด จำหน่ายเฉพาะช่องทางไฮเปอร์มาร์เก็ต เริ่มจากโลตัสเป็นที่แรก เพราะยังมีข้อจำกัดเรื่องข้อมูลสำคัญที่ต้องระบุลงในฉลาก เช่น ตราสินค้า ชื่อแบรนด์ เลข อย. และปริมาตรของสินค้า จากที่เคยพิมพ์ข้อมูลนี้ลงฉลาก ต้องเปลี่ยนมาพิมพ์ลงบนพลาสติกที่หุ้มแพ็กแทน
อีกนัยสำคัญหนึ่งก็คือ ขนาด 1.5 ลิตร เป็นขนาดที่ขายดีที่สุดของสิงห์ มีสัดส่วนยอดขายถึง 49% รองลงมาคือขนาด 600 มิลลิลิตร ในขณะที่ตลาดน้ำดื่ม ไซส์ 1.5 ลิตร มีสัดส่วน 40%
สิงห์จึงเริ่มนำร่องกับไซส์คู่ใจของเขา อีกทั้งไซส์นี้ยังเป็นไซส์สำหรับผู้บริโภคที่ซื้อยกแพ็กไปดื่มที่บ้าน จะเป็นกลุ่มที่มี Loyalty สูง ถึงแม้ไม่มีฉลาก ก็ยังซื้อดื่มเหมือนเดิม
พรรณทิพย์ ลีตะชีวะ ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาดแบรนด์น็อนแอลกอฮอล์ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เล่าว่า
“สิงห์ใช้เวลาในการพัฒนาขวดใสราวปีกว่า มีการลงทุนเครื่องจักรเพิ่ม ต้องเปลี่ยนเครื่องโมเป่าขวดจากเรียบเป็นนูน ความยากคือต้องเป่าแล้วให้แข็งแรง เป็นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ PET 1 สามารถรีไซเคิลได้ 100% ทำให้แม้ว่าจะลดการใช้ฉลาก แต่ต้นทุนเราก็ไม่ได้ลดลงอย่างที่คิดเลย เพราะต้องใส่ข้อมูลบนฉลากบนขวด และบนพลาสติกหุ้มแพ็ก แต่สิ่งที่ได้คือลดการใช้พลาสติกมากขึ้น และเป็นเจ้าใหญ่ที่ลงมาเทคแอคชั่นตรงนี้”
ตอนนี้น้ำดื่มสิงห์มี 1 โรงงานที่มีไลน์ผลิตที่สามารถโมเป่าขวดนูนได้ มีการตั้งเป้าว่าภายในปี 2568 จะมีไลน์ผลิตขวดนูนได้ทุกโรงงาน 5 แห่ง ได้แก่ วังน้อย, สิงห์บุรี, มหาสารคาม, สุราษฎ์ธานี และเชียงใหม่
พรรณทิพย์ บอกว่า มีความสนใจที่จะขยายขวดใสไปแพ็กไซส์อื่นเช่นกัน แต่ต้องดูเรื่องความเหมาะสมของข้อมูลสำคัญบนฉลาก ซึ่งจะสามารถพิมพ์ลงได้มากน้อยแค่ไหน มองว่าถ้าขวดใสไซส์ต่อไป ก็คงต้องเป็นขนาด 600 มิลลิลิตร เพราะเป็นขนาดที่ขายดีรองลงมา
แต่น้ำดื่มขวดที่มีฉลากก็ยังขายอยู่ปกติในทุกช่องทาง มีเพียงช่องทางไฮเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้นที่ขายแบบขวดใส เพราะเหมาะกับการซื้อยกแพ็กมากกว่า
แน่นอนว่าคำตอบแรกอาจจะบอกว่า “ได้ใจ” ผู้บริโภค
แต่ในระยะยาวอาจจะต้องรอดูว่าผู้บริโภคให้การตอบรับมากน้อยแค่ไหน เพราะฉลากสินค้าที่ลดลง เท่ากับพื้นที่โฆษณาของแบรนด์ก็ลดลงเช่นกัน
พรรณทิพย์ มองในประเด็นนี้ว่า พื้นที่โฆษณาหายไปแน่นอน แต่เป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างเรื่องการตลาด กับเรื่องรักษ์โลก มองว่าในระยะยาวน่าจะดีกว่า และผู้บริโภคก็จะเริ่มปรับพฤติกรรม และเข้าใจมากขึ้น ตอนที่เราเริ่มเอา Cap Seal หุ้มฝาขวดออก ก็ช่วยลดพลาสติกได้มหาศาล
จริงๆ แล้วฉลากอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่เตะตาผู้บริโภคเวลาอยู่บนตู้แช่ แต่สุดท้ายแล้วลูกค้าที่มี Brand Loyalty จะสามารถจดจำได้ว่าแบรนด์ทำอะไรบ้าง ยิ่งในปัจจุบันที่คนรุ่นใหม่เริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เริ่มตัดสินใจจากแบรนด์ที่ตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อาจจะเป็นเรื่องดีที่ทำให้แบรนด์ได้คะแนนมากขึ้นได้
สิงห์ตั้งเป้าว่าน้ำขวดใสนี้ จะสามารถช่วยลดขยะพลาสติกลงได้ราว 16 ตัน/ปี หรือเทียบเท่าระยะทาง 7.8 แสนกิโลเมตร
ทั้งนี้ ตลาดน้ำดื่มในปี 2566 มีมูลค่า 38,000 ล้านบาท เติบโต 8.9% หรือปริมาณ 3,700 ล้านลิตร ส่วนแบ่งการตลาด สิงห์ 20% คริสตัล 18.6% เนสท์เล่ 11.4% น้ำทิพย์ 10.5% และอื่นๆ 39.5%
]]>บริษัทข้อมูลการตลาด “Kantar” ประกาศผล “Brand Footprint Thailand 2023 Awards” หรือ “สุดยอดแบรนด์ FMCG ประจำปี 2023” ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ปีนี้มีแบรนด์ที่นำมาวิเคราะห์รวม 570 แบรนด์ จากทั้งหมด 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์ FMCG ได้แก่ อาหาร, เครื่องดื่ม, ผลิตภัณฑ์นม, ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน, ของใช้ส่วนบุคคล และ เครื่องสำอาง รวมถึงมีรางวัลสำหรับกลุ่มค้าปลีกโดยเฉพาะ
วิธีการตัดสินจะเป็นสูตรการคำนวณ “อัตราการเข้าถึงผู้บริโภค” (Consumer Reach Points: CPRs) เพื่อหาว่าผู้บริโภคเลือกซื้อแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งบ่อยเพียงใด
ปี 2023 Kantar มอบรางวัลแบ่งเป็น 5 รางวัล และแยกย่อยไปแต่ละหมวดผลิตภัณฑ์ (บางหมวดอาจไม่มีแบรนด์ที่ได้รับรางวัล)
สำหรับรางวัลแบรนด์ยืนหนึ่ง เรียกได้ว่าหน้าเก่าครองแชมป์หลายสมัยยังอยู่กันครบทุกแบรนด์ โดยมี “เลย์” ขึ้นมาเป็นแบรนด์ยืนหนึ่งหน้าใหม่ในหมวดขนมขบเคี้ยว จากปี 2022 ที่เลย์ยังได้รางวัลในกลุ่มแบรนด์ดาวรุ่ง
Kantar มองว่าแบรนด์ดาวรุ่งที่น่าสนใจในปีนี้คือ “มิตรผล” เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาค่าครองชีพของคนไทยสูงขึ้นจากเงินเฟ้อ ทำให้แบรนด์ต้องแข่งขันให้ได้ในสภาวะที่กำลังซื้อน้อยลง ต้องหาทางเจาะฐานผู้บริโภคในชนบทให้ได้มากขึ้น และเปิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่วางแผนการแข่งขันด้านราคาได้ดี
น่าสนใจที่ “สิงห์” เป็นแบรนด์ม้ามืดในกลุ่มน้ำอัดลม สิงห์โซดาเป็นผลิตภัณฑ์น้ำอัดลมหน้าใหม่ที่เพิ่งสร้างแบรนด์ในตลาดไม่นาน แต่ทำได้ดีอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคนไทยกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านและต้องการดื่มน้ำอัดลม
ผู้เล่นในกลุ่มค้าปลีกออนไลน์ล้วน (Online Pure Player) เป็นช่องทางที่มีอัตราการเข้าถึงผู้บริโภคสูงที่สุดในการจับจ่ายทางออนไลน์ (Online Shopping) ทั้งหมด ในปี 2022
แบรนด์ที่มีการเพิ่ม Penetration หรือการเจาะตลาดได้มากที่สุดในบรรดาสินค้า FMCG ทั้งหมด ในปี 2022
“คุมะ” เป็นแบรนด์กระดาษทิชชู่ที่อยู่ในหมวดบิวตี้ เพราะผลิตภัณฑ์โดดเด่นคือกระดาษเช็ดหน้า Kantar ระบุว่า คุมะสามารถครองส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มกระดาษเช็ดหน้าได้ถึง 18% แม้เพิ่งเปิดตัวมาเพียง 2 ปี เพราะใช้กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ราคาย่อมเยาแต่คุณภาพดี ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม
ปี 2023 นี้แบรนด์ที่ได้รับรางวัลถือว่าได้ผ่านความท้าทายมาสูงมาก “Howard Chang” กรรมการผู้จัดการ ประเทศไทยและมาเลเซีย Kantar, Worldpanel Division กล่าวว่า รอบปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่กำลังซื้อลดลง เพราะหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น มีครัวเรือนคนไทยถึง 48% ที่มองว่าสถานการณ์ทางการเงินของตนแย่ลงในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา นั่นหมายความว่าแบรนด์ที่ยังครองใจผู้บริโภคได้ต้องดำเนินกลยุทธ์มาได้อย่างถูกต้อง
]]>แต่ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็น “แบรนด์ไทย” ขึ้นโฆษณาบนป้ายบิลบอร์ดแห่งนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นไพรม์โลเคชั่น เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก อีกทั้งยังมีมูลค่าสื่อมากมายมหาศาล
ล่าสุด “สิงห์ เลมอนโซดา” ในฐานะแบรนด์ไทย ได้ขึ้นบิลบอร์ดใจกลางไทม์สแควร์เป็นครั้งแรก นับเป็นมิติใหม่ของวงการการตลาด และวงการสื่อ ยกระดับแบรนด์สัญชาติไทยให้โกอินเตอร์
เบื้องหลังของแคมเปญนี้เป็นการที่ “สิงห์” ได้ทำตลาด “สิงห์ เลมอนโซดา” บุกตลาดต่างประเทศอย่างเป็นทางการ เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่มีการเติบโตค่อนข้างดี ทางสิงห์จึงดันออกสู่ตลาดอื่นๆ มากขึ้น เพราะด้วยเทรนด์ของเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล และเป็นเครื่องดื่มผสมวิตามินซีด้วย
ทางสิงห์เองได้ส่งสิงห์ เลมอนโซดาไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าเมื่อส่งสินค้าไปแล้ว ย่อมมีการทำการตลาด สิงห์จึงได้ซื้อป้ายโฆษณาใจกลางไทม์สแควร์อย่างที่เห็นนี้
ความน่าสนใจอยู่ที่ การขึ้นป้ายบิลบอร์ดครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่ในอเมริกาเท่านั้น … อย่างที่ทราบกันดีว่า ไทม์สแควร์ คือหนึ่งในไพรม์โลเคชั่นของโลก เวลามีใครทำอะไร ต้องการโปรโมตอะไร ก็อยากไปขึ้นป้ายบิลบอร์ดที่นั่น เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกมาที่นี่
เรียกง่ายๆ ว่าไทม์สแควร์เป็นพื้นที่ที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ เพราะฉะนั้นบิลบอร์ดที่นี่มันจึงเป็นบิลบอร์ดที่มีความสำคัญในแง่ของการมองเห็นที่ว่า “ถ้าสิ่งใดอยู่บนบิลบอร์ดนั้น โลกจะมองเห็น” นั่นเอง
การที่สิงห์ เลมอนโซดาไปขึ้นป้ายอยู่ที่นั้น ในแง่ของการโฆษณาก็คือ การก้าวจากแบรนด์ไทยไปสู่ตลาดอินเตอร์อย่างเต็มตัว สอดคล้องกับการที่สิงห์ เลมอนโซดาได้เริ่มส่งขายในต่างประเทศ และอีกหลายประเทศก็อยู่ในขั้นตอนของการเจรจา หรือการตกลงทำรายละเอียดกัน ในอนาคตแบรนด์จะเติบโตในต่างประเทศมากขึ้น
การที่ได้เห็นแบรนด์สิงห์มีมูฟเมนต์ใหม่ๆ ค่อนข้างเยอะ อีกหนึ่งเบื้องหลังมาจากผู้บริหารรุ่นใหม่อย่าง “เต้ ภูริต ภิรมย์ภักดี” ด้วยเช่นกัน ถ้าใครได้ติดตามบ่อยๆ จะเห้นว่าสิงห์เองก็พยายามทราส์ฟอร์มแบรนด์ตัวเองที่เป็นแบรนด์เก่าแก่ที่มีอายุ 89 ปี ให้มีความทันสมัยมากขึ้น
หนึ่งในกลยุทธ์หลักที่จับต้องได้ง่ายที่สุด ก็คือ การมองหาโอกาสใหม่ๆ น่านน้ำใหม่ๆ เพื่อทำให้สิงห์ก้าวเข้าสู่ยุค New Gen เราจึงได้เห็นสิงห์เข้าสู่การขยายตลาดใหม่ๆ สินค้าใหม่ๆ และนวัตกรรมใหม่ๆ
ยิ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ สิงห์ในน้ำหนักกับตลาดสินค้าไม่มีแอลกอฮอล์ (Non-Alcohol) มากขึ้นด้วย เนื่องจากมีโอกาส และสามารถสร้างกำไร สร้างการเติบโตระยะยาวได้ เช่น น้ำดื่มสิงห์ มีแคมเปญใหม่ๆ ที่เราอาจไม่เคยเห็นกับแบรนด์น้ำดื่มอื่นๆ
สิงห์ เลมอนโซดาเองก็เป็นอีกหนึ่งผลผลิตของการทรานส์ฟอร์มของสิงห์ ที่ต้องการสร้างการเติบโตแบบยั่งยืน นอกจากธุรกิจเบียร์ โซดา น้ำดื่มที่มีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว ต้องขยับหาฐานลูกค้าใหม่ๆ โอกาสใหม่มากขึ้น ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่
]]>ต้องบอกว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เทรนด์หนึ่งที่มาแรงแซงทุกโค้งก็คือการดูแลสุขภาพ อาหารและเครื่องดื่มจึงออกไปในแนวน้ำตาลน้อย แคลอรีต่ำ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค แต่การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ก็ได้กำเนิดอีกเทรนด์หนึ่งในไทยก็คือ การเสริมภูมิต้านทานให้ร่างกาย สินค้ากลุ่ม “เครื่องดื่มวิตามินซี” และ “น้ำวิตามิน” จึงได้อานิสงส์ไปเต็มๆ
เราจึงได้เห็นผู้เล่นยักษ์ในวงการเครื่องดื่มต่างลงมาจับตลาดกันเกือบหมด พร้อมกับสร้างจุดขายที่แตกต่างกันออกไป ค่าย “สิงห์” เองก็พร้อมร่วมขบวน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทางสิงห์ก็ต้องการดันรายได้ในส่วนของเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ให้เพิ่มขึ้นอยู่ตลอด
ในช่วงกลางปี 2563 สิงห์ได้เปิดตัว “สิงห์ เลมอนโซดา” เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่สร้างเสียงฮือฮาไม่น้อย ข้อแรกสินค้าตัวนี้เป็นการเปิดตัวสินค้าในกลุ่มนอน-แอลกอฮอล์ของสิงห์ในรอบหลายปี ข้อสองเป็นการสร้างความแตกต่างจากตลาด แต่ยังตอกย้ำภาพจุดแข็งของบริษัทในการให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพสินค้า ที่ตอบสนองความต้องการของพฤติกรรมผู้บริโภคและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดอีกด้วย
ในพอร์ตเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของสิงห์ ประกอบไปด้วยสินค้าที่เป็นผู้นำตลาดทั้ง “โซดา” และ “น้ำดื่ม” โดยที่สิงห์ เลมอนโซดาเป็นการต่อยอดความเป็นเจ้าพ่อโซดาได้อย่างลงตัว อีกทั้งในตลาดยังมีช่องว่าง และโอกาสมากมาย เป็นการขยายตลาดเพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ เป็นการบุกตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมอย่างเต็มตัว
สิงห์ เลมอนโซดาเป็นเครื่องเครื่องดื่มอัดลม หรืออัดก๊าซ โดยใช้โซดาที่เป็นธุรกิจใหญ่ของเครือ มาผสมกับน้ำเลมอน มีวิตามินซี และไม่มีน้ำตาล แคลอรี 0% ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ เป็นได้ทั้งเครื่องดื่มดับกระหาย และเครื่องดื่มทางเลือกเพื่อสุขภาพ
ที่สำคัญสิงห์ เลมอนโซดายังเจาะกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมตลาดใน 2 กลุ่ม ได้แก่ เครื่องดื่มน้ำอัดลมที่มีมูลค่ากว่า 62,000 ล้านบาท และโซดามูลค่า 15,000 ล้านบาท เมื่อรวม 2 ตลาดคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 77,000 ล้านบาท ได้ขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมอีกด้วย
ในปี 2564 ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลม (Carbonated Soft Drink : CSD) มีมูลค่าราวๆ 62,725 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้ตามบรรจุภัณฑ์ ได้แก่ ขวด PET 74%, กระป๋อง 21% และขวดแก้ว 5% เห็นได้ว่าตลาดมีมูลค่าใหญ่กว่าโซดาหลายเท่าตัว
นอกจากนี้ถ้าเจาะไปในตลาดแพ็กเกจจิ้งกระป๋องที่สิงห์ เลมอนโซดาอยู่ในกลุ่มนี้ มีสัดส่วนถึง 21% หรือมีมูลค่า 13,172 ล้านบาท หลังจากเปิดตัวได้ 2 ปี สิงห์ เลมอนโซดามีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่12% หรือมีมูลค่า 1,450 ล้านบาท และส่วนแบ่งตลาด 2.4% ในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมรวม
ในปี 2563 สิงห์ เลมอนโซดาได้เปิดตัวสินค้าตัวแรกด้วยรสชาติเดียวก็คือ รสเลมอน หลังจากนั้นในปี 2564 ได้ปล่อยรสชาติใหม่ “ส้มยูสุ” เป็นการจับเทรนด์ตลาดโลก มาต่อยอดกับโซดาได้อย่างลงตัว
จุดเด่นที่ทำให้หลายคนเปิดใจให้กับสิงห์ เลมอนโซดา ทั้งในเรื่องแบรนด์ดิ้งของสิงห์ที่ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพ และรสชาติ ประกอบกับดีไซน์ของแพ็กเกจจิ้งที่โดดเด่นบนเชลฟ์วางสินค้า
ในส่วนของตัวสินค้าเองก็มีการทำการบ้านมาอย่างดี จับเทรนด์ดูแลสุขภาพของผู้บริโภค เลือกสูตรน้ำตาล 0% และเป็นสูตรไม่มีน้ำตาล ไม่มีแคลอรี พร้อมกับมีรสชาติใหม่ๆ ลงสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง
ทำให้กลุ่มลูกค้าของสิงห์ เลมอนโซดามีทั้งสายเฮลท์ตี้ ดื่มเป็นเครื่องดื่มดับกระหาย เป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพ รวมไปถึงสายปาร์ตี้ที่นำสิงห์ เลมอนโซดาไปมิกซ์กับเครื่องดื่มอื่นๆ เพื่อสร้างสีสัน และเป็นตัวชูโรงสร้างเครื่องดื่มที่แปลกใหม่ แต่ยังได้รสชาติในแบบเฉพาะของสิงห์อยู่
การส่งสิงห์ เลมอนโซดาลงตลาด เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ทำให้ตลาดมีสีสัน อีกทั้งยังช่วยเสริมพอร์ตโฟลิโอของสิงห์เองให้แข็งแกร่งด้วย เนื่องจากหลายปีมานี้สิงห์ได้ให้ความสำคัญกับกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เพิ่มมากขึ้น ตอบรับกับเทรนด์การดูแลสุขภาพของผู้บริโภค
สิงห์ เลมอนโซดาจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของทั้งบริษัท และตลาดให้เติบโตมากยิ่งขึ้น เป็นการต่อยอดธุรกิจหลักอย่างโซดาให้แข็งแกร่ง เป็นอีกหนึ่งหมัดเด็ดที่น่าสนใจ และต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีรสชาติอะไรใหม่ๆ ให้ติดตามกันอีก
หนังโฆษณาล่าสุดจากสิงห์ เลมอน โซดา
อ่านเพิ่มเติม
]]>นายปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เปิดเผยว่า กระแสหรือเทรนด์ของการเกิดโลกเสมือนจริง (Metaverse) ถือเป็นอีโคซิสเทมใหม่ของโลกอนาคตที่ผสานโลกจริงกับโลกแห่งจินตนาการเข้าด้วยกัน ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตในโลกสมัยใหม่ ทั้งชีวิตส่วนตัว รวมถึงภาคธุรกิจ ที่คาดการณ์ว่าจะสามารถเพิ่มโอกาสในการผลักดันเศรษฐกิจใหม่บนโลกดิจิทัล
สำหรับสิงห์ เป็นองค์กรธุรกิจที่มีจุดเริ่มต้นจากธุรกิจเครื่องดื่ม ที่สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลากว่า 89 ปีที่ผ่านมา และมีการปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงรอบด้านทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
ล่าสุด ถือเป็นก้าวสำคัญของสิงห์ เมื่อบริษัทได้วางกลยุทธ์ในการขยับตัวเข้าสู่โลกเมตาเวิร์ส (Metaverse) ด้วยการนำร่องธุรกิจอาหารภายใต้ บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ เข้าไปร่วมลงทุนบนจาก้าเวิร์ส (Jakaverse) อาณาจักรโลกเสมือนจริงรายแรก ที่ถูกพัฒนาโดยสตาร์ทอัพคนไทยและชาวต่างชาติ ที่กำลังจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมเปิดให้ใช้งานพร้อมกันทั่วโลกเร็วๆ นี้ โดยนับเป็นอีกหนึ่งสตาร์ทอัพของคนไทยที่กำลัง
ก้าวสู่ระดับยูนิคอร์น
โดยพื้นที่ในแพลตฟอร์มจาก้าเวิร์สดังกล่าว เบื้องต้นจะถูกนำไปต่อยอดธุรกิจอาหารหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องทางการทำตลาดสินค้า ร้านอาหาร รวมถึงไลฟ์สไตล์ที่มุ่งเน้นสร้างประสบการณ์ผ่านกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ อาทิ เทศกาลอาหาร การแสดงดนตรี การแข่งขันกีฬา ซึ่งทั้งหมดจะเกิดขึ้นในโลกเสมือนจริงจาก้าเวิร์ส
ซึ่งแบรนด์ในกลุ่มธุรกิจอาหารที่ยกทัพไปอยู่บนจักรวาลเมตาเวิร์สมีมากกว่า 10 แบรนด์ เช่น ซานตาเฟ่ (Santafe), ซานตาเฟ อีซี่ (Santafe Easy), เอส.33 (EST.33), ฟาร์ม ดีไซน์ (Farm Design) และคลาวด์คิทเช่น เกรน (Grain) ที่มีครบทั้งร้านฮอท ชิค บันส์ (Hot Chic Buns) และ Holy Kao รวมถึงร้านอื่นๆ ทั้งในเครือและจากพันธมิตรต่างๆ อีกมากมาย เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้แก่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม การนำธุรกิจอาหารฟู้ด แฟคเตอร์ เข้าสู่โลกจาก้าเวิร์ส (Jakaverse) ยังเพิ่มโอกาสให้สิงห์สร้างแบรนด์ร้านอาหารของไทยขยายสู่ตลาดโลกได้เร็วยิ่งขึ้นด้วย เนื่องจากแพลตฟอร์ม Jakaverse จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมให้บริการพร้อมกันทั่วโลก โดยจุดแข็งคือการเป็นแพลตฟอร์มที่มีอีโคซิสเทมของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่ครบวงจร มีเมืองมากมาย ทั้งท่องเที่ยว สถานศึกษา แหล่งช้อปปิ้ง และมีเกมให้เลือก 100 เกม ครอบคลุมทั้ง 22 ประเภท ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย
]]>อะไรที่ทำให้ “บุญรอด” ต้องตัดใจปล่อย U BEER (ยูเบียร์) ออกจากพอร์ต “เลิกผลิต–เลิกทำการตลาด” ท่ามกลางสถานการณ์ตลาดเบียร์ที่สะเทือนหนักจากวิกฤต COVID-19 … เราจะมาหาคำตอบกัน
ภูริต ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ให้สัมภาษณ์ว่า บริษัทได้ยกเลิกผลิต U BEER แล้ว ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ซีอีโอบุญรอดเทรดดิ้ง ตอบถึงเหตุผลของการยกเลิกผลิต U BEER เเบบกว้างๆ ว่า ปกติเเล้วจะมีการ “ให้เวลา” สินค้าเพื่อดูว่ามีการเติบโตเป็นอย่างไรในช่วง 2-3 ปี หากไม่ประสบความสำเร็จ หรือ “ไม่ทำกำไร” ตามที่ตั้งเป้าไว้ก็จำเป็นต้องถอดออกไป เพื่อให้บริษัทได้หันไปทุ่มกำลังกับแบรนด์อื่นๆ ในเครือที่ยังเป็นเทรนด์เเละมีเเววจะไปต่อได้
โดยในอนาคต จะมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ U BEER จะฟื้นกลับมาทำตลาดอีกครั้งนั้น ภูริตขอไม่ตอบในประเด็นนี้
ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2559 เเบรนด์สิงห์ เปิดตัว U BEER เพื่อจับกลุ่มลูกค้า “คนรุ่นใหม่” อายุ 21-25 ปีโดยเฉพาะ ไม่ทับไลน์กับเเบรนด์สิงห์เเละลีโอ ที่มีฐานเเฟนคลับ 35 ปีขึ้นไป
ในช่วงเเรก U BEER “เเจ้งเกิด” ได้ดีในกระเเสโลกออนไลน์ ตามกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ ที่นิยมใช้โซเชียลมีเดียเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ประกอบกับการรุกทำการตลาดออนไลน์อย่างหนักหน่วงของเเบรนด์ ผ่านการทุ่มสารพัดเเคมเปญ
อีกจุดเด่นของ U BEER “บรรจุภัณฑ์” ที่มีการดีไซน์ให้แหวกแนวไปจากแบบเดิม ด้วยการเน้น “สีเหลือง” และตัวอักษร U เเบบมินิมอล
U BEER เริ่มต้นจากการเน้นวางขายใน “ช่องทางเฉพาะ” ผ่านเอเย่นต์ในตลาดเล็กๆ ที่หาซื้อไม่ได้ตามร้านทั่วไปก่อน ค่อยๆ เข้าไปเจาะลูกค้าตามร้านอาหาร ผับ บาร์ เพื่อสร้างกระแสให้ในโลกโซเชียลก่อน ตามสไตล์ “ยิ่งหายาก คนยิ่งสนใจ” จากนั้นค่อยขยับมาตลาดเเมส กระจายสินค้าไปสู่โมเดิร์นเทรด ตามห้างร้านเเละซูเปอร์มาร์เก็ต
อย่างไรก็ตาม มาปีนี้ “ตลาดเบียร์ไทย” ที่มีมูลค่าเกือบ 2 แสนล้านบาท ที่ฟาดฟันกันระหว่าง 2 ค่ายใหญ่ ได้รับผลกระทบจากการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ไปไม่น้อย
เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติหาย สถานบันเทิงต้องปิดชั่วคราว เเละรัฐมีคำสั่งห้ามขายแอลกอฮอล์ 1 เดือนในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งเคยเป็นช่วงพีคของยอดขายจากการสังสรรค์ในเทศกาลสงกรานต์ คาดว่าจบสิ้นปี 2563 นี้ ตลาดเบียร์จะติดลบถึง 15-20% เลยทีเดียว
บุญรอดบริวเวอรี่ มีเเบรนด์ตัวท็อปอย่าง Singha , LEO ที่ติดลมบนอยู่ในตลาดเเมสมายาวนาน เเละมีเเบรนด์นอกที่นำเข้ามาอย่าง Carlsberg , Corona , Asahi , kronenbourg เเละโซจูของเกาหลีใต้ Jinro
นอกจากนี้ ยังมี MY BEER ที่เป็นตัว Lager Beer นำมาเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ (เช่นเดียวกันกับ U BEER) เเละ Snowy Weizen ที่ทำตลาดเบียร์พรีเมียม ส่วน Est 33 Kopper เป็นแบรนด์ “คราฟต์เบียร์” ที่สิงห์ลงมาทำเอง
“ภูริต ภิรมย์ภักดี” เริ่มให้ความสำคัญกับ “คราฟต์เบียร์ไทย” มากขึ้น เห็นได้ชัดจากการประเดิมเข้าไปถือหุ้นใน
‘ชาละวัน’ มาตั้งเเต่ปี 2561 ซึ่งตอนนี้บริษัทได้ให้การสนับสนุนด้วยการผลิตและจัดจำหน่ายให้ โดยภูริต ย้ำว่าการเข้ามาของสิงห์ เป็นเพียงการเข้ามาถือหุ้นเพื่อสนับสนุนให้เเบรนด์ไปได้ไกลเท่านั้น การตัดสินใจเเละการบริหารต่างๆ ยังเป็นไปตามทิศทางของผู้ก่อตั้งเเบรนด์ชาละวัน
อีกหนึ่งสาเหตุที่น่าจะเป็นเหตุผลในการตัดใจปล่อย U BEER ของสิงห์ในครั้งนี้คือ คำสั่งซื้อห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางออนไลน์ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 เพื่อป้องกันเยาวชนไม่ให้เข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้โดยง่าย และเพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านช่องทาง “ออนไลน์” ให้กับผู้บริโภคโดยตรงได้
ด้วยความที่ลูกค้าหลักของ U BEER คือคนรุ่นใหม่ มีพฤติกรรมซื้อของผ่านออนไลน์ จึงได้รับผลกระทบโดยตรง ก่อนหน้านี้ บุญรอดได้ปลุกปั้น “Singha Online” จนเริ่มทำยอดขายจากเดือนละ 10-30 ล้านบาท ขยับขึ้นมาเป็น 100 ล้านบาทได้เเล้ว เเต่เมื่อมีคำสั่งดังกล่าว ยอดขายเบียร์ออนไลน์ทั้งหมดจึงกลายเป็น “ศูนย์” บริษัทจึงต้องปรับหาทิศทางเเละกลยุทธ์ใหม่
สิงห์ บุกขยายพอร์ตในเครื่องดื่มกลุ่มนอนแอลกอฮอล์มากขึ้น ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ตามกระเเสนิยมโลก อีกทั้งยังไม่มีข้อจำกัดด้านโฆษณามากเท่ากับกลุ่มเครื่องดื่มเเอลกอฮอล์
ในปีนี้มีการออกสินค้า “นอน-เเอล” ตัวใหม่มาเจาะตลาดทั้ง สิงห์ เลมอนโซดา และ เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ โดยสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ สิงห์จะมีการออกสินค้าใหม่อีก 1 ตัว เน้นไปที่กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ อย่างกลุ่ม 0 cal เเละ Functional Drink
อ่านต่อ : เบื้องหลัง “เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์” ช้าเเต่ชัวร์…สิงห์ส่งหมัดเด็ด ชิงตลาดน้ำผสมวิตามิน
โดยสิงห์มีเเผนปรับสัดส่วนในพอร์ตเครื่องดื่ม ดังต่อไปนี้
ปี 2562 – alcoholic 85 : 15 non-alcoholic
ปี 2563F – alcoholic 80 : 20 non-alcoholic
ปี 2564F – alcoholic 70 : 30 non-alcoholic
เเม่ทัพบุญรอดเทรดดิ้ง มองว่า การที่ธุรกิจจะเติบโตได้ในปีนี้ ถือเป็น “เรื่องยาก” จากผลกระทบของสถานการณ์ต่างๆ ต้อง “รัดเข็มขัด” ลดต้นทุน มอง “กำไร” ไว้ทีหลัง เพราะต้องประคองกิจการให้อยู่รอด เเละเตรียมความพร้อมกลับมาเเข็งเเกร่งให้ได้ในปีต่อไป ซึ่งปี 2564 อาจจะ “สาหัส” กว่านี้ โดยบริษัทมีการจัดสรรงบฯ บางส่วนไปช่วยเหลือสังคม เพื่อให้ทุกภาคส่วน รวมถึงคู่ค้ารอดพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
]]>
ล่าสุดบิ๊กน้ำดื่มอย่าง “สิงห์” ประเดิมส่ง “เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์” ขอลงสนาม “โตไว” นี้ด้วย เล่นเอาเเบรนด์คู่เเข่งต้องปรับกลยุทธ์กันใหม่เลยทีเดียว
เพราะ “น้ำแร่เพอร์ร่า” เป็นแบรนด์อันดับ 1 มีส่วนแบ่งทางการตลาดน้ำเเร่ถึง 26% หลังจากเปิดตัวเพียง 8 ปี เเสดงว่าต้องมี “ฐานเเฟนคลับผู้รักสุขภาพ” อยู่จำนวนมาก เป็นทุนเดิมนั่นเอง ประกอบกับ “น้ำดื่มสิงห์” ก็ครองเเชมป์ตลาดด้วยมาร์เก็ตเเชร์ 25% (ย้อนหลัง 12 เดือน) ด้วยเช่นกัน
การเสริมพอร์ตด้วย “น้ำดื่มผสมวิตามิน” ของสิงห์ จึงน่าจับตาว่าจะสามารถ “เขย่าตลาดเเข่งดุ” นี้ ได้หรือไม่ ส่วนคำถามที่ว่า “ทำไมออกตัวช้า” นั้น…
เต้–ภูริต ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด บอกกับ Positioning ว่า น้ำดื่มผสมวิตามิน ต้องผ่านกระบวนการคิดค้นหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องคุณประโยชน์ที่ต้องไปให้ได้กับรสชาติที่อร่อย จึงจำเป็นต้องใช้เวลา
“อยู่ที่จังหวะ บางทีการปล่อยสินค้าออกมาเร็วๆ ก็ไม่ใช่ทางเลือกดีที่สุด เเม้ตลาดจะมีไปเเล้ว 7-8 เจ้า เเต่ในที่สุดอาจจะเหลือผู้ที่อยู่ครองตลาดได้เเค่ 2-3 เจ้า ภายใน 2-3 ปีนี้”
โดยตลาดน้ำผสมวิตามิน มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2562 มีมูลค่าตลาดราว 1,068 ล้านบาท และคาดว่าทั้งปี 2563 จะมูลค่าตลาดถึง 3,500 ล้านบาท เเละเป็นเพียงการเติบโตใน “ช่วงเริ่มต้น” เท่านั้น เเละยังมีโอกาสโตไปได้อีกมาก
ตลอดช่วง 9 เดือนเเรกของปี 2563 ภาพรวมของตลาดน้ำดื่ม ที่มีมูลค่ากว่า 24,750 ล้านบาท หดตัวไปกว่า -12% จากพิษการเเพร่ระบาดของ COVID-19
เช่นเดียวกับ “ตลาดน้ำเเร่” ที่ติดลบไป -9% เเต่ทว่า “น้ำดื่มผสมวิตามิน” กลับเติบโตเป็นเท่าตัวถึง 110% สวนทิศทางเครื่องดื่มทั้งหลาย นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่สิงห์ต้องกระโจนเข้ามาสู้ตลาดนี้ หลังเตรียมการมานานหลายเดือน
ธิติพร ธรรมาภิมุขกุล Chief Marketing Officer – Brand ของบุญรอดเทรดดิ้ง บอกถึงเหตุผลที่เลือกเปิดตัวน้ำผสมวิตามินตัวใหม่นี้ ผ่านเเบรนด์ “เพอร์ร่า” ว่า กลุ่มลูกค้าที่เลือกซื้อน้ำเเร่ มักจะเป็นกลุ่มเดียวกันกับคนที่ซื้อน้ำผสมวิตามิน
น้ำแร่เป็นเครื่องดื่มที่ผู้บริโภคหลัก คือวัยทำงานกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และนิยม “ดื่มนอกบ้าน” มากกว่าซื้อเป็นแพ็กติดบ้าน เมื่อเกิดล็อกดาวน์และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เปิดประเทศ ทำให้ตลาดน้ำแร่ยิ่งเจ็บหนัก ส่วนเหตุผลรองที่อาจมากระทบคือ เทรนด์ผู้บริโภคที่รักสุขภาพ หันไปดื่มน้ำเสริมวิตามินแทนน้ำแร่
โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพอายุระหว่าง 25-35 ปี ซึ่งคุ้นเคยกับเเบรนด์เพอร์ร่าดีอยู่เเล้ว
อีกทั้ง “เพอร์ร่า” ยังอยู่ในเซ็กเมนต์ของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ดังนั้นการนำเสนอสินค้าไลน์ใหม่ด้วยภาพลักษณ์เดียวกันนั้น จะทำให้ลูกค้า “จำได้ง่ายกว่า” เเละมองเห็นภาพความ “เฮลท์ตี้” ได้ชัดเจนขึ้น ส่วนข้อสงสัยที่ว่าคนจะจำสับสนกันหรือไม่นั้น ทางบริษัทได้ปรับให้ เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ มีดีไซน์ของขวด ฉลากเเละสีสัน เเตกต่างจากน้ำเเร่เพอร์ร่าเเล้ว
โดยจุดเด่นเเละความเเตกต่างของ เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ (Purra Vitamin Water) ที่จะเข้ามาเจาะตลาดนี้ คือการชูคอนเซ็ปต์ “ครบจบในขวดเดียว”
“เราเห็นช่องว่างว่า ตอนนี้เเบรนด์ต่างๆ ที่ผลิตน้ำผสมวิตามินออกมาจำหน่าย ส่วนใหญ่จะเเยกขาย เช่น วิตามิน C หนึ่งขวด วิตามิน B อีกหนึ่งขวด ผู้บริโภคอาจจะต้องซื้อหลายขวดหลายเเบรนด์ เเต่เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ จะมาเเบบเเร่ธาตุครบในขวดเดียว พร้อมใส่ปริมาณของเเต่ละวิตามินเท่ากับที่เเบรนด์อื่นใส่ไปในขวดเดียวด้วย…นี่คือจุดเด่นของเรา”
“เมื่อคำนวณจากต้นทุนเเล้ว เราตั้งราคาของเพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ ให้ต่ำกว่า 15 บาทไม่ได้ เเละจะไม่ตั้งราคาไปไกลถึง 20 บาทเพราะผู้บริโภครับไม่ไหว ดังนั้นเราจึงเลือกจุดตรงกลางที่ 17 บาท ในขนาดบรรจุ 500 มล. เป็นราคาที่เหมาะสม”
ธิติพร อธิบายต่อว่า ตามปกติเเล้ว หลักเกณฑ์ในการตั้งราคาขายของเเต่ละสินค้า จะดูที่ 3 เเกนหลัก ได้เเก่ 1)ต้นทุน 2)คู่เเข่ง 3) ผู้บริโภครับได้ไหม ดังนั้น เมื่อทางเเบรนด์ใช้วิตามินนำเข้าเเละใส่ไปในปริมาณเยอะ จึงไม่สามารถปรับราคาให้ลดลงกว่านี้ได้
โดยผู้บริหารบุญรอดทั้ง ภูริตเเละธิติพร ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า จะไม่เข้าไปต่อสู้เเบบ “ดัมพ์ราคา” ในตลาดน้ำดื่มผสมวิตามิน ที่บางเเบรนด์อาจจะมีการลดไปถึงหลักสิบบาทต้นๆ อย่างเเน่นอน เพราะไม่ใช่เเนวทางของบริษัทที่มุ่งเน้นไปที่เเบรนดิ้ง คุณภาพ เเละมองว่าเรื่องราคาเป็นเรื่องรอง
ในขณะที่ลูกค้าหลายคนให้เหตุผลถึงการเลือกซื้อ “น้ำดื่มผสมวิตามิน” ว่าเป็นการบำรุงร่างกายต่างๆ เเต่ก็มีอีกอีกกลุ่มผู้บริโภคที่สงสัยว่าจำเป็นต่อร่างกายจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงกระเเสนิยมเเละการตลาดเท่านั้น ทางเเบรนด์จะมีการสื่อสารต่อโปรดักต์นี้อย่างไร
ธิติพร ตอบว่า วิตามินเป็นสิ่งที่บำรุงร่างกายอยู่เเล้ว เเต่การที่น้ำดื่มผสมวิตามินจะมีเเร่ธาตุเท่ากับการกินผัก ผลไม้เเละอาหารต่างๆ นั้นเป็นไปไม่ได้ จึงต้องมีการสื่อสารกับลูกค้าถึงสรรพคุณตามความเป็นจริง เน้นเข้าถึงผู้คนผ่านโซเชียลมีเดียเป็นหลัก รองลงมาคือทางออฟไลน์อย่าง กิจกรรมส่งเสริมการขาย ณ จุดขาย ตามแหล่งออฟฟิศต่างๆ เพื่อให้เกิดการทดลองสินค้าไปในวงกว้างที่สุด
นอกจากนี้ ยังสื่อสารผ่านการใช้ “พรีเซ็นเตอร์” ที่ครองใจคนรุ่นใหม่อย่าง “ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก” นักแสดงชื่อดังที่สะท้อนความเป็นคนทันสมัย ที่ไม่ว่างานเยอะแค่ไหน ก็ยังคงใส่ใจรักษาสุขภาพ
สิงห์บุกขยายพอร์ตในเครื่องดื่มกลุ่มนอนแอลกอฮอล์มากขึ้น ตลอดช่วงปีที่ผ่านมาตามกระเเสนิยมโลก อีกทั้งยังไม่มีข้อจำกัดด้านโฆษณามากเท่ากับกลุ่มเครื่องดื่มเเอลกอฮอล์
“สัดส่วนในพอร์ตเครื่องดื่มของสิงห์”
ปี 2562 – alcoholic 85 : 15 non-alcoholic
ปี 2563F – alcoholic 80 : 20 non-alcoholic
ปี 2564F – alcoholic 70 : 30 non-alcoholic
เมื่อกลางปีนี้ เพิ่งออก “สิงห์ เลมอนโซดา” ซึ่งเป็นนอนแอลกอฮอล์ของสิงห์ตัวแรกที่เจาะหมวดใหม่คือ
“น้ำอัดลม” จากก่อนหน้านี้จะมีเฉพาะน้ำดื่ม น้ำแร่ และโซดา โดยเปิดผลิตภัณฑ์แรกก็มีเฉพาะแบบ
น้ำตาล 0% เลย ไม่มีแบบใส่น้ำตาลปกติ วางขาย 1 เดือนแรกทำยอดขายเกินเป้า 5 เท่า เเละเตรียมออกรสชาติอื่นเพิ่มภายในปีนี้
จากปัจจุบันกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล คิดเป็นสัดส่วนเพียง 5% ของตลาดรวมน้ำอัดลม เเบรนด์สิงห์ มองว่าน่าจะโตไปถึง 30% ของตลาดรวมได้ภายใน 3 ปี
“ในอนาคตอันใกล้นี้ ตลาด 0 cal จะโตมาก รวมไปถึงกระเเสนิยมในกลุ่ม Functional Drink เครื่องดื่มที่ดีสุขภาพอื่นๆ เช่น น้ำดื่มผสมวิตามิน ยังจะมีต่อเนื่องไปอีกหลายปี เเละยังเป็นตลาดที่มีช่องว่างให้เติบโตได้อีก”
]]>“ธิติพร ธรรมาภิมุขกุล” Chief Marketing Officer-Brand บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยถึงยอดขาย 1 เดือนแรกของ “สิงห์ เลมอนโซดา” ว่าทะลุเกินเป้าที่วางไว้ถึง 5 เท่า ผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ โดยหลังจากนี้จะมีวางขายเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะในเซเว่น อีเลฟเว่นไปจนครบ 3 เดือนแรก หลังจากนั้นจะเริ่มวางจำหน่ายในโมเดิร์นเทรดทุกแห่ง และส่งจำหน่ายผ่านเครือข่ายร้านค้าดั้งเดิม ผับบาร์ ร้านอาหารต่างๆ
สิงห์ เลมอนโซดา เป็นเครื่องดื่มกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ ของสิงห์ตัวแรกที่เจาะไปในหมวดใหม่คือ “น้ำอัดลม” (carbonated soft drink) จากก่อนหน้านี้จะมีเฉพาะน้ำดื่ม น้ำแร่ และโซดา โดยเปิดผลิตภัณฑ์แรกก็มีเฉพาะแบบ “น้ำตาล 0%” เลย ไม่มีแบบใส่น้ำตาลปกติ
ที่เลือกประเดิมตลาดด้วยเลมอนโซดา 0 cal เป็นเพราะกระแสที่ดีมากของกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล พลังงาน 0 cal
ธิติพรประเมินว่าตลาดกลุ่มนี้เติบโต 30-40% ต่อปีมาหลายปีแล้ว แต่ในตลาดยังมีตัวเลือกน้อยมาก นำเทรนด์โดยกลุ่มน้ำอัดลม “น้ำดำ” ที่มีตัวเลือก 0 cal มานานแล้ว ขณะที่ปีนี้เพิ่งจะมีกลุ่ม “น้ำใส” ที่ทำตลาด 0 cal บ้างแล้ว แต่ก็ยังขาดรสชาติอื่นๆ ที่ผู้บริโภคต้องการในกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาลเหล่านี้
“ผมคิดว่าคนเริ่มชินกับรสชาติหวานน้อยมากขึ้น ทำให้ผลตอบรับดี” ธิติพรกล่าว “ดังนั้นเทรนด์เครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ อย่างไรก็จะเป็นสายสุขภาพ ตลาด 0 cal จะโตมาก เทียบกับตลาดส่วนอื่นจะทรงตัว”
จากปัจจุบันกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาลคิดเป็นสัดส่วนเพียง 5% ของตลาดรวมน้ำอัดลม ธิติพรมองว่าน่าจะโตไปถึง 30% ของตลาดรวมได้ภายใน 3 ปี ดังนั้น สิงห์จะเน้นจับตลาดนี้ รวมไปถึงกลุ่มเครื่องดื่มที่ดีสุขภาพอื่นๆ เช่น น้ำเติมวิตามิน ก็กำลังศึกษาอยู่เช่นกัน
ปี 2563 พอร์ตเครื่องดื่มของสิงห์รวมทั้งกลุ่มมีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ ตั้งแต่ต้นปีออกสินค้าใหม่มาแล้ว 2 รายการคือ สิงห์ เลมอนโซดา และ เบียร์สิงห์ รีเสิร์ฟ ภายในสิ้นปีนี้จะมีออกใหม่อีก 2-3 รายการ ส่วนหนึ่งในจำนวนนี้จะเป็นกลุ่มน้ำอัดลมอีก โดยแย้มว่าจะมี “รสชาติใหม่” ในกลุ่มน้ำ 0 cal
ด้านมุมมองพอร์ตสินค้าของสิงห์เอง การเพิ่มหมวดใหม่คือ “น้ำอัดลม” ก็มีความสำคัญ เพราะจะช่วยเติมพอร์ตกลุ่มเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ให้หลากหลายมากขึ้น สัดส่วนสมดุลกับกลุ่มมีแอลกอฮอล์มากกว่าเดิม
“สัดส่วนในพอร์ตเครื่องดื่มของสิงห์”
ปี 2562 – alcoholic 85 : 15 non-alcoholic
ปี 2563F – alcoholic 80 : 20 non-alcoholic
ปี 2564F – alcoholic 70 : 30 non-alcoholic
พอร์ตเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ปัจจุบันมียอดขายประมาณ 17,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็น น้ำดื่ม 50% โซดา 40% และน้ำแร่ 10% เมื่อสิงห์มีแนวทางจะจัดสมดุลให้กลุ่มนอนแอลกอฮอล์สำคัญมากขึ้น หากมีไลน์สินค้าแค่ 3 กลุ่มนี้ การเพิ่มสินค้าให้หลากหลายจะทำได้ยาก ดังนั้น การแตกไลน์เครื่องดื่มใหม่อย่างน้ำอัดลมจึงเป็นกลยุทธ์ที่มุ่งไป
ธิติพรคาดว่าภายในสิ้นปี 2564 จะมีสัดส่วนกลุ่มน้ำอัดลม 5% ในพอร์ตนอนแอลกอฮอล์ จากรายการสินค้าที่จะออกมาเพิ่มทั้งปีนี้และปีหน้า ไม่ว่าจะเป็นรสชาติใหม่ ขนาดใหม่ ฯลฯ
และภายในสิ้นปี 2564 น่าจะสรุปแผนการตั้งไลน์ผลิตหรือโรงงานใหม่เพื่อผลิตสินค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะได้ มองว่าน่าจะต้องใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเปิดไลน์ผลิตใหม่ในบริเวณโรงงานเดิมหรือหาพื้นที่ใหม่
การจัดสมดุลพอร์ตมีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเหตุการณ์ล่าสุดคือช่วงล็อกดาวน์ป้องกัน COVID-19 รัฐบาลมีคำสั่งห้ามจำหน่ายสุราทั่วประเทศไปเกือบ 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. – 2 พ.ค. 63 ทำให้ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้รับผลกระทบรุนแรง ฝั่งเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์แม้จะกระทบบ้างเหมือนกันเพราะประชาชนไม่ได้ออกจากบ้าน แต่ก็ยังดีกว่าเหล้าเบียร์ที่ห้ามจำหน่าย
สำหรับภาพรวมพอร์ตเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ของสิงห์ ธิติพรมองว่าปีนี้น่าจะโตได้ประมาณ 2% โตไม่มากเพราะมีช่วงล็อกดาวน์ที่ตลาดติดลบ แต่ขณะนี้สถานการณ์กลับมาเติบโตปกติ เฉลี่ยแล้วทั้งปีจึงน่าจะโตได้เล็กน้อยดังกล่าว
หากแบ่งการเติบโตตามกลุ่มสินค้า น้ำดื่มสิงห์คาดว่าจะโต 3% น้ำแร่เพอร์ราโต 10% ส่วนโซดาสิงห์น่าจะทรงตัวไม่เติบโต
ตลาดน้ำแร่นั้น ธิติพรกล่าวว่าตลาดรวมติดลบมาตั้งแต่ปีก่อน และปีนี้ยังติดลบต่อเนื่องน่าจะมากกว่า -10% ด้วยเหตุผลใหญ่ๆ คือน้ำแร่เป็นเครื่องดื่มที่ผู้บริโภคหลักคือวัยทำงานกับนักท่องเที่ยวต่างชาติและนิยม “ดื่มนอกบ้าน” มากกว่าซื้อเป็นแพ็กติดบ้าน เมื่อเกิดล็อกดาวน์และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เปิดประเทศ ทำให้ตลาดน้ำแร่ยิ่งเจ็บหนัก ส่วนเหตุผลรองที่อาจมากระทบบ้างคือ เทรนด์ผู้บริโภคที่รักสุขภาพบางส่วนหันไปดื่มน้ำเสริมวิตามินแทนน้ำแร่
ส่วนน้ำดื่ม “เพอร์รา” ที่ยังโตได้ 10% ดีกว่าตลาด แต่ก็ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาซึ่งเคยโตถึง 30-40% การเติบโตที่ผ่านมาเป็นผลจากการโหมตลาดด้วยแพ็กเกจจิ้งดีไซน์ร่วมกับดีไซเนอร์ซึ่งประสบความสำเร็จมาก ผู้บริโภคซื้อสะสม และเริ่ม “ติดยี่ห้อ” กลายเป็นลูกค้าประจำของเพอร์ราไป ส่งให้ปีนี้เพอร์ราขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ตลาดน้ำแร่เป็นครั้งแรก โดยมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 26%
สรุปรวมเป้าหมายนอนแอลกอฮอล์ของสิงห์ ธิติพรกล่าวว่าบริษัท “จะเพิ่มช่องว่างทิ้งห่างเบอร์ 2” หลังจากขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ครบทั้งน้ำดื่ม น้ำแร่ และโซดา เสริมด้วยการดันดาวรุ่งอย่างกลุ่มน้ำอัดลม แต่กลุ่มนี้ไม่ขอเป็นเบอร์ 1 แค่ได้มาร์เก็ตแชร์ 5-10% ก็พอใจแล้ว เพราะถ้าจะแข่งขันหนักในตลาดนี้คงต้อง “เทกโอเวอร์” บริษัทอื่นเท่านั้นถึงจะบุกได้เต็มตัว
]]>