ฮิตาชิ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 28 Sep 2023 11:44:10 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “อาร์เซลิก ฮิตาชิ” วางเป้าขึ้น Top 3 เครื่องใช้ไฟฟ้า ย้ำไม่มีแผนย้ายฐานผลิตแม้ค่าแรงอาจปรับขึ้น https://positioningmag.com/1445889 Thu, 28 Sep 2023 06:21:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1445889 หลังควบรวมกิจการสำเร็จมาร่วม 2 ปี “อาร์เซลิก ฮิตาชิ” วางเป้าหมายระยะยาว ต้องการขึ้น Top 3 ในตลาด “เครื่องใช้ไฟฟ้า” ทุกประเทศที่จำหน่าย ปีนี้รุกหนักเพิ่มจำนวนสินค้าใหม่มากขึ้น 10% โดยมี “ตู้เย็น” เป็นสินค้าเรือธง ด้านโรงงานผลิตไม่มีแผนย้ายออกจากไทย แม้ค่าแรงขั้นต่ำมีแนวโน้มปรับขึ้น

หน่วยธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าของ “ฮิตาชิ” เฉพาะตลาดนอกประเทศญี่ปุ่น ควบรวมกิจการกับ “อาร์เซลิก” ยักษ์เครื่องใช้ไฟฟ้าตุรกีสำเร็จเรียบร้อยเมื่อช่วงกลางปี 2564 กลายเป็นบริษัทใหม่คือ “อาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์” โดยบริษัทนี้จะเป็นผู้ดูแลการจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าฮิตาชิทุกชนิดใน 65 ประเทศนอกประเทศญี่ปุ่น (*ยกเว้นเครื่องปรับอากาศ) และจะใช้แบรนด์เดิมต่อไป ไม่มีการเปลี่ยนชื่อ

“ซาแฟร์ อัสทูเนอร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทคู่พาร์ทเนอร์อยู่ระหว่างการ ‘synergy’ แผนการผลิตและการรวมองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมเข้าด้วยกัน ซึ่งน่าจะเริ่มเห็นการพัฒนาที่มาจากการจอยต์เวนเจอร์ได้ตั้งแต่ปีนี้

โดยเป้าหมายของอาร์เซลิก ฮิตาชิ คือการขึ้นเป็น “Top 3” ของตลาด “เครื่องใช้ไฟฟ้า” ในทุกๆ ประเทศที่มีการวางจำหน่าย ทั้งนี้ บริษัทไม่มีการวางกรอบกำหนดที่ชัดเจนว่าต้องทำเป้าให้ได้ภายในกี่ปี

อาร์เซลิก ฮิตาชิ
ทีมบริหาร บริษัท อาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์ จำกัด : (ซ้าย) “ซาแฟร์ อัสทูเนอร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ (ขวา) “คาซูชิ โคบายาชิ” ผู้อำนวยการฝ่ายขาย

ซาแฟร์กล่าวต่อว่า จากแผนที่จะขึ้นสู่ Top 3 ให้สำเร็จ บริษัทจะต้องผลิตสินค้าให้หลากหลายขึ้น เช่น มีไซส์ให้เลือกหลายแบบ มีฟีเจอร์ที่แตกต่างกัน เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ทุกรูปแบบ

ทำให้ปี 2566 นี้อาร์เซลิก ฮิตาชิมีแผนการเปิดตัวสินค้าใหม่รวม 361 SKUs ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อนราว 10% ในจำนวนนี้จะมีสินค้าไฮไลต์คือ ตู้เย็นพรีเมียมแบบ 4 ประตู, ตู้เย็นฮิตาชิ คาร์บอน ไลน์, เครื่องซักผ้ารุ่น BD-D120XGV มีโปรแกรมกำจัดแบคทีเรียและทำความสะอาดถังซักอัตโนมัติ, เครื่องซักผ้ารุ่น BD-100XFVEADM มีเทคโนโลยีลดรอยยับให้เสื้อผ้า, เครื่องดูดฝุ่นรุ่น PV-XH3M น้ำหนักเบา 1.8 กิโลกรัม และเป็นครั้งแรกที่ฮิตาชิจะมี “เครื่องล้างจาน” ออกสู่ตลาดด้วย

ฮิตาชิ
เครื่องซักผ้าจากฮิตาชิ

ด้าน “คาซูชิ โคบายาชิ” ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท อาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์ จำกัด เสริมว่า สำหรับตลาดประเทศไทยถือเป็นตลาดใหญ่อันดับ 1 ของฮิตาชิหากไม่นับประเทศญี่ปุ่น โดยมีส่วนแบ่งในรายได้รวมบริษัทถึง 15% รวมถึงเป็นฐานผลิตที่ใหญ่ที่สุดด้วย

สินค้าเรือธงของอาร์เซลิก ฮิตาชิทั่วโลกจะเป็นกลุ่ม “ตู้เย็น” ซึ่งในไทยเองฮิตาชิถือเป็นแบรนด์ตู้เย็นในระดับ Top 3 เรียบร้อยแล้ว ทำให้หลังจากนี้บริษัทจะมีแผนทั้งการรักษาฐานในกลุ่มตู้เย็นไว้ให้ได้โดยมีเป้าจะเติบโตในกลุ่มนี้แบบ ‘ดับเบิล ดิจิต’ และจะสร้างโอกาสในสินค้าประเภทอื่นๆ เพิ่ม

เครื่องดูดฝุ่นไร้สายฮิตาชิ

ทางอาร์เซลิก ฮิตาชิขอไม่ระบุว่าสินค้าประเภทอื่นที่จะผลักดันคืออะไร แต่จากการไฮไลต์สินค้ากลุ่มเครื่องซักผ้า เครื่องดูดฝุ่น และเครื่องล้างจาน ทำให้เห็นทิศทางว่าเป็นไปได้ที่สินค้าเหล่านี้คือตลาดที่ฮิตาชิต้องการเจาะเข้าไปให้ได้

สำหรับฐานผลิตของอาร์เซลิก ฮิตาชิ ปัจจุบันมีฐานใหญ่ 2 แห่ง คือ ไทย และ จีน ซึ่งกว่า 50% ของการผลิตสินค้าเกิดขึ้นที่โรงงาน จ.ปราจีนบุรี ในไทยจะเป็นผู้ผลิตสินค้าประเภทตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องดูดฝุ่น หม้อหุงข้าว

ซาแฟร์กล่าวตอบถึงคำถามเรื่องความท้าทายของนโยบาย “ค่าแรงขั้นต่ำ” ที่รัฐบาลไทยอาจมีการปรับขึ้นว่า ไม่ได้มีผลต่อการพิจารณาฐานผลิตในไทยของอาร์เซลิก ฮิตาชิ เพราะแรงงานไทยเป็นแรงงานทักษะสูง และไทยเป็นฐานตลาดใหญ่ด้วย บริษัทจึง “ไม่มี” แผนที่จะย้ายฐานผลิตออกจากไทย

“แรงงานนั้นถ้าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมในการทำงาน มีทักษะที่สูงขึ้น ทำงานโดยใช้เวลาน้อยลงได้ ค่าแรงปกติก็ต้องขึ้นตามประสิทธิภาพไปอัตโนมัติโดยไม่ต้องรอให้รัฐบาลปรับเพิ่ม” ซาแฟร์กล่าว

ปิดท้ายที่ภาพรวมตลาด “เครื่องใช้ไฟฟ้า” ไทยปี 2566 คาซูชิมองภาพใหญ่ว่าปีนี้ยังถือเป็นช่วง “ฟื้นตัว” ยกเว้นตลาดเครื่องปรับอากาศที่ขายดีมากเพราะเป็นปีที่อากาศร้อนจัดจนดีมานด์พุ่งสูง

ทั้งนี้ แบรนด์คู่แข่งอย่าง “โตชิบา” เคยให้ข้อมูลเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่า ช่วงครึ่งปีแรกปี 2566 ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าไทยมีมูลค่ารวม 45,000 ล้านบาท เติบโต 14% แต่ไส้ในของการเติบโตแทบจะมาจากเครื่องปรับอากาศทั้งหมด เพราะถ้าตัดหมวดแอร์ออกไป ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าจะติดลบเล็กน้อย -1%

]]>
1445889
“ฮิตาชิ” หลังควบรวมกับ “อาร์เซลิก” บริษัทจากตุรกี อะไรจะเปลี่ยน และอะไรที่ไม่เปลี่ยน? https://positioningmag.com/1383353 Thu, 28 Apr 2022 11:41:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1383353 ย้อนไปเมื่อปลายปี 2563 เกิดดีลสำคัญขึ้นเมื่อ หน่วยธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า “ฮิตาชิ” กลุ่มนอกประเทศญี่ปุ่น ควบรวมกิจการกับ “อาร์เซลิก” บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าจากตุรกี โดยฝั่งตุรกีถือหุ้น 60% และฮิตาชิถือ 40% กลายเป็นบริษัทใหม่ในชื่อ “อาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์”

อาร์เซลิก นั้นเป็นบริษัทในเครือของ “คอช กรุ๊ป” ยักษ์ใหญ่ที่ทำธุรกิจหลากหลายในประเทศตุรกี ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าของอาร์เซลิกมีตลาดอยู่ใน 45 ประเทศทั่วโลก แบรนด์ในเครือนี้ที่คนไทยพอจะคุ้นเคยคือ “เบโค” (Beko) เพราะเข้าทำตลาดไทยมาตั้งแต่ปี 2557

อาร์เซลิกมีนโยบายที่จะบุกตลาดเอเชียแปซิฟิกมานาน ทำให้การตั้งจอยต์เวนเจอร์กับฮิตาชิถือว่าเข้าเป้า เพราะแบรนด์ฮิตาชินับว่าแข็งแกร่งมากในตลาดแถบนี้ และมีการส่งออกไป 65 ประเทศ

การควบรวมครั้งนี้ทำให้บริษัทจอยต์เวนเจอร์เป็นเจ้าของแหล่งผลิต และมีสิทธิบริหารการจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ฮิตาชินอกประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด (ยกเว้นเครื่องปรับอากาศซึ่งไม่ได้อยู่ในดีลนี้ ต้องเจรจาเป็นรายประเทศ ทั้งนี้ ในไทยยังเป็นสิทธิจัดจำหน่ายของอาร์เซลิก ฮิตาชิ)

ปัจจุบันฮิตาชิมีแหล่งผลิต 2 แห่ง คือ ไทย และ จีน ซึ่งสินค้าเกินกว่า 50% ผลิตในไทยนี้เอง เป็นสินค้าประเภทเครื่องซักผ้า ตู้เย็น เครื่องดูดฝุ่น หม้อหุงข้าว ส่วนสำนักงานใหญ่มีทั้งหมด 8 ประเทศ แต่ตลาดใหญ่ที่สุดคือ ไทย และ จีน หากไม่นับประเทศญี่ปุ่น

ข้อมูลเดิม เมื่อปี 2561 ฮิตาชิเคยทำรายได้ในไทย 5,000 ล้านบาท และเป็นผู้นำอันดับ 1 ในกลุ่ม “ตู้เย็น” มีมาร์เก็ตแชร์ 20% ส่วนตลาด “เครื่องซักผ้า” อยู่ในอันดับ 3 ถือเป็นสองสินค้าชูโรงของแบรนด์ นอกจากนี้จะมี “หม้อหุงข้าว” ที่ขายดีในตลาด โดยตัวแบรนด์จัดอยู่ในกลุ่มแบรนด์พรีเมียม ราคาเป็นตลาดกลางถึงสูง

หลังกระบวนการควบรวมกิจการเสร็จเรียบร้อยช่วงกลางปี 2564 ทำให้ขณะนี้ อาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์ พร้อมจะเปิดแผนกลยุทธ์หลังการควบรวมว่าจะมีอะไรที่เปลี่ยนไป และอะไรที่คงเดิมบ้าง

 

ไม่เปลี่ยนแบรนด์ + “ตู้เย็น” ยังเป็นฮีโร่โปรดักส์

“ซาแฟร์ อัสทูเนอร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์ จำกัด เปิดเผยถึงอนาคตของบริษัทนี้ว่า บริษัทจะยังใช้ไทยเป็นฐานผลิตเช่นเดิมเพราะมีฐานผลิตขนาดใหญ่ใน จ.ปราจีนบุรี แรงงานไทยมีคุณภาพ และตลาดประเทศไทยก็ยังเติบโตได้เมื่อมองในระยะยาว แม้ว่าระยะสั้นยังมีปัญหาทางเศรษฐกิจก็ตาม

อาร์เซลิก ฮิตาชิ เครื่องใช้ไฟฟ้า
“ซาแฟร์ อัสทูเนอร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์ จำกัด

รวมถึงแบรนด์ “ฮิตาชิ” ก็จะยังใช้แบรนด์เดิมต่อไป ไม่ได้รวมชื่อแบรนด์อาร์เซลิกเข้าไปด้วย เพราะฮิตาชิเป็นชื่อที่คุ้นหูและแข็งแรงอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องทำให้แบรนด์กลับมา “มีพลัง” มีการตอกย้ำแบรนด์บ่อยครั้ง

ขณะที่สินค้าชูโรงก็จะยังคงเป็น “ตู้เย็น” เพราะสินค้านี้ได้รับความเชื่อถือสูงมากในตลาด และจะยังระดับแบรนด์เกาะกลุ่มตลาดพรีเมียมต่อเนื่อง เหล่านี้คือสิ่งที่จะไม่เปลี่ยนไปของฮิตาชิ

อาร์เซลิก ฮิตาชิ เครื่องใช้ไฟฟ้า
“ตู้เย็น” เป็นสินค้าเรือธง ขายดีในกลุ่มพรีเมียม ตู้เย็นขนาดใหญ่ ตู้เย็น 3-4 ประตู

 

สินค้าต้องเยอะ

ในทางกลับกัน ซาแฟร์กล่าวว่า สิ่งที่เมื่อควบรวมแล้วจะทำให้พัฒนามากขึ้นคือ “การเพิ่มจำนวนสินค้า” และ “พัฒนานวัตกรรม-ดีไซน์” ให้ดีกว่าเดิม

หลังจากนี้จะได้เห็นฮิตาชิออกสินค้ารุ่นใหม่ถี่ขึ้นกว่าเดิมเพื่อช่วงชิงตลาด ยกตัวอย่างปีนี้เพิ่งออก “เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย” น้ำหนักเบาเพียง 1.5 กิโลกรัม มีไฟส่องฝุ่น นอนราบได้ 180 องศา กระบอกเก็บฝุ่นที่เปิดทิ้งฝุ่นได้แบบไม่ต้องใช้มือสัมผัส เรียกว่าออกมาชนกับ ‘Dyson’ ในราคาที่ถูกกว่า เพราะขายในราคา 9,990 บาท

อาร์เซลิก ฮิตาชิ เครื่องใช้ไฟฟ้า
เครื่องดูดฝุ่นไร้สายตัวใหม่ล่าสุดของฮิตาชิ น้ำหนักเบาเพียง 1.5 กิโลกรัม

ในไลน์อัปสินค้าที่จัดแสดง ยังจะมี “เครื่องล้างจาน” และ “เครื่องซักผ้า-เครื่องอบผ้าแบบฝาหน้า” ที่เตรียมออกจำหน่ายเร็วๆ นี้ และซาแฟร์ยังแย้มว่าฮิตาชิจะมีสินค้าหลายประเภทกว่าเดิมนับตั้งแต่ปี 2566 เพราะสมัยนี้พฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนต้องการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมาย เป็นโอกาสของแบรนด์

สินค้าที่จะออกมามากขึ้น แน่นอนว่ามาจากการรวมทีมทั้งฝั่งญี่ปุ่นและตุรกี ซึ่งทำให้เทคโนโลยีและงานดีไซน์มีหลากหลายให้หยิบใช้กว่าเดิม จึงออกโปรดักส์ใหม่ได้เร็วกว่า

อาร์เซลิก ฮิตาชิ เครื่องใช้ไฟฟ้า
เครื่องล้างจาน กำลังจะออกสู่ตลาดเร็วๆ นี้

 

นวัตกรรม-ดีไซน์ต้องทันสมัย

อีกส่วนที่อาร์เซลิก ฮิตาชิจะเน้นมากขึ้นคือ “นวัตกรรม” และหลายนวัตกรรมจะชูโรงเรื่องรักษาสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างนวัตกรรมที่มีในผลิตภัณฑ์แล้วและที่กำลังทดลอง เช่น

  • Autodosing นวัตกรรมในเครื่องซักผ้า ช่วยปริมาณน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มให้เหมาะสม (ปกติคนมักจะใช้มากเกินไป) ลดความสิ้นเปลือง ใช้น้ำน้อยลง ดีกับผิวผู้สวมใส่ และดีต่อสิ่งแวดล้อม
  • PET Tub การดักเอาเส้นใยที่หลุดออกจากเสื้อผ้าในเครื่องซักผ้ากลับมาใช้ใหม่ ส่งเสริมการรีไซเคิลเสื้อผ้า
  • ไส้กรองดักจับไมโครพลาสติกในเครื่องซักผ้า ไม่ให้หลุดปล่อยลงแหล่งน้ำ ทำลายสิ่งแวดล้อม
  • ตู้เย็นที่ใช้แผงโซลาร์เซลล์จ่ายพลังงาน ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ลดค่าใช้จ่าย

ซาแฟร์ยังกล่าวถึง “ดีไซน์” ที่มองว่าควรจะเพิ่มความทันสมัยมากขึ้น เพราะอย่างไรงานดีไซน์สวยงามก็เป็นสิ่งแรกที่ทำให้ลูกค้าสนใจ ลองหยิบจับ เปิดดูแล้วรู้สึกสะดวกในการใช้งาน ก่อนที่จะเข้าถึงเรื่องเทคนิคของเครื่องใช้ไฟฟ้า

บริษัทยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเชิงตัวเลข แต่ความเปลี่ยนแปลงจากการควบรวมทำให้เห็นว่าบริษัทจะ ‘รุกหนัก’ แน่นอน!

]]>
1383353
“ฮิตาชิ-สยามกลการ” นำเข้าโซลูชัน Smart Building ต่อยอดธุรกิจ “ลิฟต์” เจาะตลาดออฟฟิศ https://positioningmag.com/1378583 Tue, 22 Mar 2022 08:37:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1378583 “ฮิตาชิ เอลลิเวเตอร์” บริษัทจำหน่าย “ลิฟต์” ร่วมทุนระหว่างญี่ปุ่นกับกลุ่ม “สยามกลการ” เปิดผลิตภัณฑ์ใหม่ โซลูชัน Smart Building ระบบบริหารอาคารด้านความปลอดภัยและดิจิทัล หวังชิงตลาดครบวงจรในโครงการ เริ่มต้นเน้นกลุ่ม “อาคารสำนักงาน” และ “มิกซ์ยูส” ประเดิมโชว์เคสในอาคาร “สยามปทุมวันเฮ้าส์” ที่จะเปิดบริการปี 2566

โซลูชัน Smart Building บริหารจัดการอัจฉริยะ เป็นระบบที่ถูกพูดถึงมาแล้วระยะหนึ่งในไทย และจะเห็นว่าหลายอาคารเริ่มนำมาใช้งานจริง มีผู้เล่นในตลาดหลายราย แต่ละรายก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป เมื่อตลาดเปิดเต็มที่ ทำให้อีกหนึ่งกลุ่มทุนใหญ่ขยับ

“ฮิตาชิ เอลลิเวเตอร์” (ประเทศไทย) เป็นบริษัทจำหน่าย-ติดตั้ง ลิฟต์ บันไดเลื่อน และทางเลื่อน โดยร่วมทุนกันระหว่าง ฮิตาชิ จากญี่ปุ่น และกลุ่ม “สยามกลการ” ล่าสุด  “ประกาสิทธิ์ พรประภา” กรรมการบริหาร บริษัท ฮิตาชิ เอลลิเวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความเคลื่อนไหวของบริษัท นำเข้าโซลูชัน Smart Building จากญี่ปุ่นเข้ามาให้บริการในไทย เป็นธุรกิจต่อยอดให้ลูกค้าได้ครบวงจรมากขึ้น

เทคโนโลยีนี้ในญี่ปุ่นใช้มาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปี รวมถึงในระดับโลกมีการประเมินว่าธุรกิจประเภทนี้จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 15% ระหว่างปี 2562-2567 ประกาสิทธิ์กล่าวว่า ในไทยยังไม่มีการประเมินมูลค่าตลาดอย่างชัดเจน แต่เชื่อว่าจะโตได้ไม่น้อยกว่าค่าเฉลี่ยโลก เพราะจากการพูดคุยกับลูกค้า เริ่มมีความสนใจเทคโนโลยีนี้สูงขึ้น เนื่องจากลูกค้ามองว่าจะช่วยทำให้อาคารของตนแตกต่างจากคู่แข่ง ดึงดูดผู้เช่าได้ดีขึ้น

Smart Building
ภาพจำลอง Hitachi Smart Building

“เซอิจิโร่ อิชิซึ” ผู้จัดการทั่วไป แผนก Social Innovation Business บริษัท ฮิตาชิ เอลลิเวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายถึงโซลูชันของบริษัทมี 2 ฟังก์ชันหลักที่บริการได้ คือ

  1. Physical Securityติดตั้งระบบสแกนใบหน้า (facial recognition) สำหรับผ่านแท่นกั้นล็อบบี้อาคาร และสแกนเพื่อขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่ได้รับอนุญาต รวมถึงระบบสแกนใบหน้าแลก Visitor Pass เป็น QR CODE เพื่อใช้ผ่านเข้าออกอาคารชั่วคราว ไปจนถึงการใช้ระบบ Parking Pass สแกนทะเบียนรถให้เข้าออกที่จอดรถได้สะดวก
  2. Digital Solutionแอปพลิเคชันสำหรับอาคาร เพื่อเป็นระบบพูดคุยระหว่างผู้บริหารอาคารกับผู้เช่า และประกาศข่าวสาร-กิจกรรมให้ผู้ใช้อาคารทราบ รวมไปถึงผู้ใช้อาคารสามารถจองห้องประชุมส่วนกลางผ่านแอปฯ ได้ สั่งอาหารจากร้านค้าในอาคารและชำระเงินผ่านแอปฯ โดยตรง

 

เปลี่ยนจากพาร์ตเนอร์ มาครองตลาด Smart Building

อิชิซึกล่าวต่อว่า คู่แข่งในประเทศไทยในตลาดนี้มีอยู่หลายราย แต่ส่วนใหญ่เจ้าอื่นๆ จะบริการฟังก์ชันใดฟังก์ชันหนึ่ง คือเป็นผู้บริการด้านความปลอดภัย หรือบริการด้านแอปพลิเคชัน แต่ฮิตาชิมองว่าตนเองจะเป็นเจ้าแรกในไทยที่สามารถรวมทั้งสองฟังก์ชันเข้าด้วยกัน

“กิติสร ปุณณะหิตานนท์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิตาชิ เอลลิเวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปกติการติดตั้งลิฟต์ บริษัทจะเป็นพาร์ตเนอร์ที่ต้องเชื่อมโยงเข้ากับบริการจัดการอาคารอัจฉริยะของอีกบริษัทหนึ่งอยู่แล้ว ขณะที่บริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นสามารถให้บริการนี้ได้ จึงมองว่าเป็นโอกาสธุรกิจที่จะนำเข้ามาเสนอให้ลูกค้าติดตั้งลิฟต์ได้ครบวงจร รวมถึงให้บริการแยกกับลิฟต์ของแบรนด์อื่นได้เช่นกัน

 

โชว์เคสที่ “สยามปทุมวันเฮ้าส์”

ปัจจุบัน ตลาดลิฟต์ประเทศไทยมีการติดตั้งประมาณปีละ 5,000-6,000 ตัว โดยกิติสรประเมินว่า ฮิตาชิครองตลาดอยู่ในกลุ่ม Top 3 จึงมีฐานตลาดที่จะต่อยอด โดยขณะนี้มีลูกค้าติดตั้งแล้ว 3-4 ราย ไม่รวมที่กำลังติดตั้งในอาคาร “สยามปทุมวันเฮ้าส์” ของสยามกลการ

ทีมผู้บริหาร บริษัท ฮิตาชิ เอลลิเวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด: (จากซ้าย) “เซอิจิโร่ อิชิซึ” ผู้จัดการทั่วไป แผนก Social Innovation Business, “ประกาสิทธิ์ พรประภา” กรรมการบริหาร และ “กิติสร ปุณณะหิตานนท์” กรรมการผู้จัดการ

ประกาสิทธิ์กล่าวในส่วนนี้ว่า อาคารสยามปทุมวันเฮ้าส์ ตึกออฟฟิศสูง 32 ชั้นที่จะก่อสร้างเสร็จไตรมาส 1/2566 บริเวณโชว์รูมฮอนด้าเก่า ใกล้กับหอศิลป์ กทม. พื้นที่เช่า 50,000 ตร.ม. จะเป็นโชว์เคสที่ติดตั้งระบบทั้งหมดในเครือสยามกลการ ไม่ว่าจะเป็นแอร์ไดกิ้น ลิฟต์ฮิตาชิ และใช้โซลูชัน Smart Building ของฮิตาชิแบบครบวงจร

“โซลูชันแบบนี้จะสร้างคุณค่าเพิ่ม (value added) ให้กับเจ้าของตึก เพราะผู้เช่ายุคนี้ต้องการความปลอดภัยเพิ่มขึ้น และต้องการไลฟ์สไตล์การเชื่อมโยงกันในชุมชน” ประกาสิทธิ์กล่าว “ออฟฟิศในอนาคต จากการทำงานแบบไฮบริด ทำให้อาคารสำนักงานยุคใหม่จะมีห้องประชุมส่วนกลางให้บริษัทในอาคารจองใช้ได้ ดังนั้น จึงต้องมีแอปฯ ไว้สำหรับจองใช้พื้นที่ส่วนกลางเหล่านี้”

นอกจากอาคารสำนักงานและมิกซ์ยูสที่เป็นเป้าหมายแรกแล้ว ตลาดอื่นๆ ก็มีความสนใจจะรุกตลาดถัดไป เช่น ศูนย์การค้า คอนโดมิเนียม โรงงาน แต่แต่ละตลาดก็มีความต้องการต่างกันไป ทำให้ต้องใช้เวลาศึกษา

 

ตลาด “ลิฟต์” สะดุดจาก COVID-19

กิติสรกล่าวต่อถึงธุรกิจหลักของฮิตาชิ เอลลิเวเตอร์ คือ “ลิฟต์” ตลาดนี้จะแปรผันตามโครงการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์โดยตรง ทำให้ช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบบ้าง เพราะวิกฤต COVID-19 ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กชะลอการพัฒนาโครงการ ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่ยังเดินหน้าต่อ

ส่วนของฮิตาชิเอง ตลาดใหญ่จะเป็นกลุ่มอาคารสำนักงาน คอนโดฯ โรงแรม ศูนย์การค้า โรงพยาบาล แต่เมื่อตลาดหลักเริ่มฝืด ทำให้บริษัทมีการหาตลาดใหม่ๆ ที่บูมขึ้นมากในช่วงนี้คือ บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี และอาคารตึกเตี้ย ที่มีการติดตั้งลิฟต์ในตัวสูงขึ้น จากกระแสสังคมสูงวัย ผู้อยู่อาศัยจำเป็นต้องมีลิฟต์เพื่อความสะดวกสบาย

การแข่งขันในตลาดลิฟต์คุณภาพสูง ยังคงแข่งขันกันที่คุณภาพลิฟต์ ปลอดภัย เสียน้อยครั้ง หากเสียหายมีบริการซ่อมแซมที่รวดเร็ว ทำให้ปีนี้ฮิตาชิ เอลลิเวเตอร์จะเพิ่มหน่วยบริการหลังการขายครอบคลุมมากขึ้น มีขยายไปยังหัวเมืองหลักเพิ่ม เพราะในต่างจังหวัดก็มีตึกสูงเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะกลุ่มตึกคอนโดฯ และโรงแรม

]]>
1378583
‘ฮิตาชิ’ ตั้งเป้าลดใช้เอกสารกระดาษ 70% ภายในปีหน้า เพื่อใช้ ‘ดิจิทัล’ แทน https://positioningmag.com/1303062 Mon, 26 Oct 2020 12:15:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1303062 ในปีที่ผ่านมารัฐบาลญี่ปุ่นพยายามผลักดันการทำให้ประเทศมีความเป็นดิจิทัลมากขึ้น ขณะที่นายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูงะ ที่เพิ่งรับตำแหน่งเมื่อเดือนที่แล้วก็ได้สั่งให้รัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ของรัฐเลิกปฏิบัติตามประเพณี ‘ฮันโกะ’ (Hanko) หรือ ‘ตราประทับ’ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของคนญี่ปุ่นที่ใช้เพื่อเพื่อรับรองสัญญาธุรกรรมทางธุรกิจและขั้นตอนการบริหารต่าง ๆ

ด้วยนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลญี่ปุ่น ส่งผลให้ ‘ฮิตาชิ’ (Hitachi) ประกาศยกเลิกใช้ฮันโกะหรือตราประทับ ภายในเดือนมีนาคมปี 2565 และตั้งเป้าลดใช้เอกสารกระดาษให้ได้ 70% ภายในปีหน้าเพื่อส่งเสริมการใช้ดิจิทัลในบริษัท โดยปีที่ผ่านมา ฮิตาชิสามารถจะลดจำนวนกระดาษขนาด A4 ที่ใช้ในบริษัทในปีงบประมาณ 2563 ได้ถึง 700 ล้านแผ่น และจากนี้จะดูว่าสามารถใช้ระบบออนไลน์กับพันธมิตรทางธุรกิจนอกกลุ่มบริษัทได้หรือไม่

ไม่ใช่แค่ฮิตาชิ แต่องค์กรในญี่ปุ่นหลายแห่งเริ่มที่จะเลิกใช้งานฮังโกะแล้ว เนื่องจากประเพณีดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าจำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของไวรัส COVID-19 โดยที่ผ่านมา Mitsubishi UFJ Financial Group Inc. หรือ MUFG สถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นได้เปิดให้บริการบัญชีแบบไม่ต้องใช้ฮังโกะหรือสมุดบัญชีแล้ว นอกจากนี้ยังเริ่มปรับปรุงเครือข่ายสาขาเพื่อนำคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตและวิดีโอมาแทนที่พนักงานฝากถอน

Source

]]>
1303062
ฮิตาชิ ส่ง “เบลล่า” ลุยศึกเครื่องใช้ไฟฟ้าพรีเมียม https://positioningmag.com/1211205 Wed, 30 Jan 2019 05:03:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1211205 Thanatkit

สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เป็นใจ กับอากาศที่ไม่ร้อนอย่างที่คิด เครื่องปรับอากาศที่ควรขายดีในหน้าร้อน ต่างขายไม่ออกกันเป็นทิวแถว ส่งผลให้ยอดขายปี 2018 ของฮิตาชิแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าแดนอาทิตย์อุทัย ทำได้ราว 5,500 ล้านบาท อยู่ในระดับทรงตัวไม่เติบโตหรือติดลบ แม้โชคดีรักษาส่วนแบ่งไว้ได้ก็ตาม

ถ้าแบ่งตามยอดขายของ ฮิตาชิ รายได้หลัก 45% มาจาก ตู้เย็น ทำส่วนแบ่งประมาณ 20% จากมูลค่ารวม 14,000 ล้านบาท รองลงมา เครื่องซักผ้า 25% มีส่วนแบ่งราว 10% ในตลาดมูลค่า 14,000 ล้านบาท และ 10-15% จาก เครื่องปรับอากาศ ครองเบอร์ 6 ในตลาดมูลค่า 25,000 ล้านบาท ที่เหลือมาจากเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก เช่น เครื่องฟอกอากาศ เครื่องดูดฝุ่น และเครื่องทำน้ำอุ่น เป็นต้น

แม้ยอดขายปีก่อนหน้าจะเสมอตัวทว่าในปี 2019 นี้ฮิตาชิหวังว่าจะทำยอดขาย 6,200 ล้านบาท เติบโตประมาณ 15% โดยวางตัวเองอยู่ในเซ็กเมนต์ พรีเมียม ราคาสินค้าเฉลี่ยแล้วแพงกว่าแบรนด์อื่นๆ ถึง 20% ความท้าทายจึงมีอยู่มาก

บุญชัยพุทธา โกฐิรัตน์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดและฝ่ายขาย, รองผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบริการ บริษัท ฮิตาชิเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า เศรษฐกิจจะโดดขึ้นมาดีกว่าปีที่ผ่านมา เพราะความแน่นอนในเรื่องเลือกตั้ง และอากาศที่เชื่อว่าจะกลับมา ร้อนในปีนี้ เพราะข้อมูลที่ฮิตาชิเก็บพบว่าทุกๆ 3 ปีอากาศจะกลับมาร้อน ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมาอากาศไม่ร้อน

ฮิตาชิจึงวางแผนไว้ล่วงหน้าโดยปรับไทม์ไลน์การเปิดสินค้าใหม่จากเดิมทยอยเป็นแต่ละไตรมาสมาเปิดตัวตูมตั้งแต่ปลายปีก่อน ทั้งตู้เย็น 30 โมเดล, เครื่องซักผ้าฝาบนขนาด 13-17 กิโลกรัม รุ่นยกเครื่องใหม่หมดจด และเครื่องปรับอากาศที่กำลังจะวางในปลายเดือนมกราคมนี้อีก 15 โมเดล เรียกได้ว่าเปิดปีมาก็มีสินค้าพร้อมขายทันที

นอกจากนั้นช่วง 2-3 ปีมานี้ ฮิตาชิยังได้ปรับกลยุทธ์ช่องทางการขาย ไม่ได้มุ่งไปที่ ทุกช่องทาง เหมือนกับแบรนด์อื่นๆ โดยโฟกัสเฉพาะช่องทางที่มีประสิทธิภาพ สามารถสื่อคุณภาพของสินค้าได้เป็นอย่างดี ในปีนี้จึงได้ตั้ง ฮิตาชิ แล็บ ปั้นคนฝ่ายขายโดยเฉพาะ

แต่ทั้งหมดทั้งมวลหมัดเด็ดที่ฮิตาชิตั้งความหวังและให้ความสำคัญไว้มากที่สุด คือการพลิกกลับมามี พรีเซ็นเตอร์ อีกครั้งในรอบ 15 ปี โดยฮิตาชิเลือก เบลล่าราณี แคมเปน เนื่องจากมีไลฟ์สไตล์รักสุขภาพ ดูแลตัวเองสม่ำเสมอ สอดคล้องไปกับฟังก์ชันที่ฮิตาชิต้องการสื่อ และยังครบรอบ 50 ปีของฮิตาชิในเมืองไทยอีกด้วย

การตั้งพรีเซ็นเตอร์ของฮิตาชิเรียกได้ว่าเดินตามสูตรที่ ต้องทำ ไปเสียแล้วสำหรับแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะการแข่งขันในวันนี้ฟังก์ชันของแต่ละแบรนด์เหมือนๆ กันไปหมดจนผู้บริโภคแยกไม่ออก การจะชักจูงให้ผู้บริโภคมา ซื้อสินค้า ก็ต้องมีตัวช่วยมาเป็นแม่เหล็กดึงดูด ซึ่งหลายๆ แบรนด์ก็มักจะเลือกดาราดังมาทำหน้าที่นี้

ที่ผ่านมาก่อนจะมาตั้งพรีเซ็นเตอร์ฮิตาชิเลือกที่จะทำแคมเปญสื่อสารโดยเน้นไปที่สินค้าเป็นหลัก ซึ่งแม้จะสร้างการรับรู้ก็จริงแต่ผู้บริโภคจำแบรนด์ไม่ได้ งานนี้ฮิตาชิถึงกับทุ่มงบการตลาดจาก 800 ล้านบาท เป็น 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ เบลล่ามาปิดจุดอ่อนในเรื่องนี้

สาเหตุที่เลือก เบลล่านั้นบุญชัย บอกว่า มีตัวเลือกในมือ 4-5 ข้อทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ที่เลือกเป็นผู้หญิงเพราะสินค้าที่วางขายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านทั้งนั้น การให้ผู้หญิงมาสื่อสารน่าจะเหมาะกว่า อีกทั้งพวกเธอยังเป็นคนที่มีอำนาจซื้อมากกว่า ซึ่งพรีเซ็นเตอร์ก่อนหน้านี้ของฮิตาชิ ก็เป็นผู้หญิงเช่นเดียวกัน คือ ป๊อป อารียา ที่มาพร้อมประโยคคิดปาก ที่ยังเป็นที่จดจำมาถึงทุกวันนี้ ป๊อปเลือกฮิตาชิ

ฮิตาชิไม่ได้หวังให้เบลล่ามาเพิ่มการจดจำแบรนด์เท่านั้น แต่ยังต้องสร้างการรับรู้ถึงระยะเวลาการรับประกันที่เพิ่มขึ้นจาก 1 ปีเป็น 3 ปี เพียงซื้อสินค้ามากกว่า 3,000 บาท ถือเป็นจุดต่างจากแบรนด์อื่นๆ ที่ปรกติแล้วเวลา 3 ปีจะให้กับเซ็กเมนต์บนๆ เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์พรีเซ็นเตอร์ของฮิตาชิในครั้งนี้ได้วางแผนทำต่อเนื่อง 3-5 ปี แต่ถ้าปีหน้าจะยังคงเป็น เบลล่าหรือไม่ ยังตอบไม่ได้ เพราะต้องรอดูผลลัพธ์กันปีต่อปี.

]]>
1211205
“ฮิตาชิ” ถูกมัลแวร์เรียกค่าไถ่โจมตี ระบบคอมพิวเตอร์ป่วนหนัก https://positioningmag.com/1125750 Tue, 16 May 2017 04:20:33 +0000 http://positioningmag.com/?p=1125750 ฮิตาชิ บริษัทผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ถูกโจมตีทางไซเบอร์ซึ่งอาจจะเป็นการโจมตีแบบเดียวกันกับที่กำลังกระทบไปทั่วโลก

เจ้าหน้าที่ของฮิตาชิกล่าวว่า พบปัญหาในระบบคอมพิวเตอร์ภายในของบริษัทในวันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม โดยพนักงานไม่สามารถส่งหรือรับอีเมลหรือเปิดไฟล์แนบได้ ระบบคอมพิวเตอร์ช้าลงอย่างมาก โดยมีปัญหาทั้งสำนักงานใหญ่ที่กรุงโตเกียว, สำนักงานสาขา และยังกล่าวว่าพบปัญหาแบบเดียวกันนี้ในบริษัทในเครือในต่างประเทศด้วย

เจ้าหน้าที่ของฮิตาชิเชื่อว่า ระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทถูกโจมตีด้วยซอฟต์แวร์ “เรียกค่าไถ่” แบบเดียวกันกับที่ปิดกั้นข้อมูลของคอมพิวเตอร์ทั่วโลก และขณะนี้กำลังพยายามกู้ระบบให้ได้เร็วที่สุด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่น ระบุว่า นอกจากฮิตาชิแล้ว ยังมีเหยื่ออีก 2 กรณีที่ถูกมัลแวร์เรียกค่าไถ่นี้โจมตี โดยเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และของพนักงานบริษัทรถไฟเจอาร์อีสต์อีกรายหนึ่ง แต่ไม่ได้มีผลกระทบมากนัก สำนักงานตำรวจแห่งชาติของญี่ปุ่นจึงแนะนำให้หน่วยงานต่างๆ อัพเดตระบบป้องกันคอมพิวเตอร์ และสำรองข้อมูลสำคัญ

นอกจากนี้ นิสสัน มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นก็ระบุว่า ระบบคอมพิวเตอร์ในโรงงานที่เมืองซันเดอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ ก็เป็นเหยื่อที่ถูกโจมตีเช่นกัน แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อระบบที่เชื่อมโยงกับประเทศญี่ปุ่นและที่อื่นๆ

นายร็อบ เวนไรต์ ผู้อำนวยการสำนักงานตำรวจแห่งสหภาพยุโรปหรือ ยูโรโพล กล่าวว่า มีผู้ตกเป็นเหยื่อการโจมตีทางไซเบอร์ทั่วโลกมากถึง 200,000 รายในอย่างน้อย 150 ประเทศ เป็นการโจมตีทางไซเบอร์ที่มีขอบเขตกว้างอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

เรโนลต์ ผู้ผลิตรถยนต์ของฝรั่งเศสต้องระงับการผลิตที่โรงงานในเมืองดูเอ โรงงานใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเรโนลต์ในฝรั่งเศส เนื่องจากพบว่าโปรแกรมสำหรับหุ่นยนต์และคอมพิวเตอร์ได้รับผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์

เรโนลต์ยังได้หยุดการผลิตที่โรงงานใหญ่อีกแห่งหนึ่งในเลออาฟวร์ ทางเหนือของฝรั่งเศส และที่โรงงานแห่งหนึ่งของบริษัทลูกในสโลวีเนียด้วย

มัลแวร์ที่โจมตีระบบคอมพิวเตอร์ทั่วโลกนี้ จะปรากฏข้อความเรียกเงินจำนวน 300 ดอลลาร์ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ระบุว่า ถึงแม้จะจ่ายเงินไปก็ไม่มีอะไรรับประกันว่า ระบบคอมพิวเตอร์จะกลับมาอยู่ในสภาพเดิม.

ที่มา : http://manager.co.th/Japan/ViewNews.aspx?NewsID=9600000049211

]]>
1125750