เซ็นทรัลพัฒนา – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 17 Dec 2024 05:53:09 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “เซ็นทรัลพัฒนา” ยืนหนึ่งศูนย์การค้าไทย พาคู่ค้าเติบโตไปด้วยกัน มุ่งมั่นเป็น Your Success Partner ให้ทุกแบรนด์ https://positioningmag.com/1503268 Tue, 17 Dec 2024 06:47:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1503268

หากจะพูดถึงอุตสาหกรรมที่มีใกล้ชิดการใช้ชีวิตประจำวันมากที่สุด หนึ่งในนั้นต้องมี “ค้าปลีก” อย่างแน่นอน นอกจากจะเป็นอุตสาหกรรมที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมีเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาล ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติ เกิดการจ้างงานในชุมชน ยังเป็นการสร้างคอมมูนิตี้ให้เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตของพื้นที่นั้นๆ

ซึ่ง “เซ็นทรัลพัฒนา” เป็นผู้นำอันดับหนึ่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทย มีโครงการครอบคลุมทุกกลุ่ม ตั้งแต่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล, โครงการที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ โดยเฉพาะ “ศูนย์การค้า” ที่ปักหมุดเป็น World Destination ไปแล้วเรียบร้อย การที่เซ็นทรัลพัฒนาขึ้นแท่นเป็นศูนย์การค้าเบอร์หนึ่งได้จนถึงทุกวันนี้ นอกจากจะมีการพัฒนาโครงการครอบคลุมทุก Strategic Location แล้ว “ร้านค้า” หรือพาร์ทเนอร์ก็เป็นหัวใจสำคัญไม่น้อย เพราะเป็นแม็กเน็ตหลักที่จะช่วยดึงลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการในศูนย์ฯ ได้


ไม่ใช่แค่คู่ค้า แต่เป็น Your Success Partner ทุกมิติ

จุดแข็งอย่างแรกที่ทำให้เซ็นทรัลพัฒนาเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มือทองนั่นคือ ประสบการณ์ในวงการค้าปลีกกว่า 45 ปี ปั้นศูนย์การค้า 41 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุม ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 18 โครงการ ต่างจังหวัด 23 โครงการ รวมไปถึงที่ประเทศมาเลเซียอีก 1 แห่ง ด้วยประสบการณ์ขั้นเซียนจึงเป็นที่ไว้วางใจของทั้งแบรนด์ไทย และแบรนด์ต่างชาติระดับโกลบอลโดยมีหลายแบรนด์ที่เลือกเซ็นทรัลเวิลด์เปิดร้านสาขาแรก และบางแบรนด์เป็นแฟล็กชิพสโตร์

นายอิศเรศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายขาย บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า

“เซ็นทรัลพัฒนา มุ่งสร้างอนาคตที่ดีและยั่งยืนให้กับทุกคน รวมถึงพันธมิตรคู่ค้า โดยมีศูนย์การค้ากว่า 41 สาขาใน Strategic Prime Locations ทั่วประเทศ และในประเทศมาเลเซียอีก 1 แห่ง พร้อมแบรนด์ร้านค้ากว่า 18,000 ร้านค้า และเป็น House of Global Brands ที่ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ดังระดับโลก 76 แบรนด์ในการเปิดสาขาแรกในไทย รวมถึงแฟลกชิปสโตร์กว่า 44 แบรนด์ พร้อมซัพพอร์ตการขยายสาขาทั่วประเทศและการสนับสนุนแบรนด์ไทยน้องใหม่มากกว่า 200 แบรนด์ ผ่าน Retail Incubation Program เช่น โครงการ LEAD by Central Pattana หลักสูตรรีเทลหนึ่งเดียวที่ให้ผู้ประกอบการได้เรียนจริง ทำจริง และเติบโตจริง กับเซ็นทรัลพัฒนา

เซ็นทรัลพัฒนาไม่ได้มองร้านค้าเป็นเพียงแค่คู่ค้าอย่างเดียว แต่เป็นพาร์ทเนอร์ระยะยาวที่พร้อมจะเติบโตไปด้วยกัน พร้อมจะเป็น Your Success Partner เป็นเพื่อนคู่คิดตลอดเส้นทางการเติบโตของธุรกิจ ด้วยโลเคชั่นสุดปังสร้างร้านให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งยังมีเครื่องมือต่างๆ ที่พร้อมติดอาวุธให้พาร์ทเนอร์สร้างการเติบโตแบบ 360 องศา ด้วยเครื่องมือทางการตลาดหลากหลายรูปแบบ รวมถึง Data Platform ที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุดอีกด้วย


ชู 3 จุดแข็ง ช่วยแบรนด์เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน 

ปัจจุบันเซ็นทรัลพัฒนามี Ecosystem ที่แข็งแกร่ง ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์การค้าหนึ่งเดียวที่รวมกว่า 18,000+ ร้านค้าทั่วประเทศมากที่สุด เป็น House of Global Brands 76 แบรนด์ดังปักหมุดสาขาแรกในไทย และ 44 แฟลกชิพสโตร์ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล จากความสำเร็จนี้สะท้อนได้จาก 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

  1. Holistic Partnership

มีทีมงานเฉพาะทางทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่างใกล้ชิดแบบ “Tenant Centric” โดยมีความรู้และประสบการณ์ในการเข้าใจลูกค้าในแต่ละภูมิภาคอย่างลึกซึ้ง นำเสนอ Marketing Solution แบบ 360 องศา ช่วยผลักดันยอดขายและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน รวมถึงการ Co-create กับแบรนด์ เพื่อให้คู่ค้า ผู้ประกอบการท้องถิ่น และชุมชนเข้ามาอยู่ใน Ecosystem ที่ยั่งยืนของเซ็นทรัลพัฒนา พร้อมทำงานร่วมกับแบรนด์ทุกขนาดเพื่อสร้างโอกาสและพัฒนาประสบการณ์ที่เหนือระดับให้กับคู่ค้าและลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

  1. Entrepreneurial Incubator

โปรแกรมเสริมศักยภาพผู้ประกอบการที่ดีที่สุด เป็น Retail Incubation Programme กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักตัวเองและสามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้คำแนะนำจากกูรู พร้อมกลยุทธ์ที่ชัดเจน มีสนามให้ทดลองนำแนวคิดใหม่ๆ มาวิเคราะห์และปรับปรุงก่อนใช้จริง ช่วยจุดประกายความยั่งยืนให้ธุรกิจ โดยตัวอย่างเช่น โครงการ ‘LEAD’ by Central Pattana คอร์สรีเทลที่ดีที่สุด เรียนจริง ทำจริง โตจริง สร้างความสำเร็จในการปั้นแบรนด์ใหม่และสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ต่อเนื่องกว่า 200 แบรนด์ ในระยะเวลา 6 ปี ล่าสุด! ได้รับรางวัล Marketing Excellence Awards 2024 และในอนาคต ยังมีโปรแกรมเพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพพร้อมติดอาวุธให้ผู้ประกอบการอีกหลายมิติ ให้พร้อมเติบโต Scale-Up และขยายสาขาไปทั่วประเทศ

  1. The Most Powerful Big Data

แบรนด์คู่ค้า Central Pattana มีอัตราการเติบโตสูงกว่าแบรนด์ทั่วไปถึง 2.7 เท่า เมื่อเข้าร่วม “โปรแกรม The 1 BIZ” Data Platform พร้อมใช้ ให้คู่ค้าเข้าถึง Data ที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุด ผ่านการร่วมมือกับ The 1 ที่มีข้อมูลทั้งเชิงลึก และเข้าถึงได้ตรงจุด ด้วยฐานสมาชิกกว่า 21 ล้านคน พร้อมอัดฉีด 360 Marketing investment เพื่อทำ Marketing activation ทั้ง Campaign promotion และ Communication สนับสนุน Platform กว่าอีก 200 ล้านบาทต่อปี ติดปีกคู่ค้าด้วยบทพิสูจน์การเติบโตเพิ่มยอดขายเฉลี่ยให้แบรนด์เพิ่มขึ้นถึง 10% ภายในระยะเวลา 6 เดือนแรกของการเข้าร่วมโปรแกรม

16 แบรนด์ระดับโลก ปักหมุดไทย ลุยเปิดสาขาแรกต่อเนื่อง 

สำหรับในปี 2567 แบรนด์ระดับโลกที่เชื่อมั่นเลือกเปิดสาขาแรกรวมถึงแฟล็กชิปสโตร์กับศูนย์การค้าเซ็นทรัล ล้วนได้รับความนิยมเกิดเป็นกระแสไวรัลไปทั่วประเทศ อาทิ

กลุ่มอาหาร และเครื่องดื่ม

  • HIKINIKU TO COME  ร้านแฮมเบิร์กสุดฮิตจากญี่ปุ่น สร้างกระแสถล่มทลายในไทย
  • KATSU MIDORI ร้านซูชิสายพานเจ้าดังจากญี่ปุ่น
  • TONKATSU AOKI ร้านทงคัตสึเจ้าดังจากญี่ปุ่นที่คนต่อคิวกว่า 2 ชั่วโมง
  • KAZAMA YAKINIKU เนื้อย่างสุดพรีเมี่ยมจากญี่ปุ่น
  • BHC CHICKEN แบรนด์ไก่ทอดเกาหลีสร้างปรากฏการณ์การคิวยาว ยอดขายทะลุเป้ากว่า 300%
  • PIZZA MARU พิซซ่าชื่อดังส่งตรงจากเกาหลี ครั้งแรกในประเทศไทย
  • CHICHA SAN CHEN แฟล็กชิปสโตร์ร้านแรกที่เดียวในไทย กับชาระดับพรีเมียมจากไต้หวัน เป็นแบรนด์ชาแบรนด์เดียวในโลกที่ได้รับรางวัลสูงสุดจาก ITI เทียบเท่ากับรางวัล “มิชลิน 3 ดาว” 6 ปีซ้อน
  • KUMO KUMO CHEESE ร้านชีสเค้กสไตล์ญี่ปุ่นเจ้าดังจากประเทศจีน

กลุ่มแฟชั่น และไลฟ์สไตล์

  • BEYOND THE VINES กระเป๋าแบรนด์ดังจากสิงคโปร์ แฟล็กชิปสโตร์แห่งแรกและใหญ่ที่สุด
  • RITUALS แบรนด์เครื่องหอมชื่อดังจาก Amsterdam
  • WILSON แบรนด์อุปกรณ์เทนนิสระดับโลก กับคอนเซ็ปต์ 360 Store รูปแบบใหม่แห่งแรกในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • APM MONACO แบรนด์เครื่องประดับหรูจากโมนาโก
  • CASETIFY แบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่เชี่ยวชาญด้านเคสโทรศัพท์และอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ปรับแต่งได้จากฮ่องกง
  • NATIONAL GEOGRAPHIC แบรนด์ร้านเสื้อผ้าและอุปกรณ์ท่องเที่ยวแห่งแรกในประเทศไทย
  • AERIE แบรนด์ชื่อดังจากอเมริกาที่ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้หญิง
  • BOUNCETOPIA สวนสนุกเป่าลมยักษ์อันดับ 1 จากสิงคโปร์แห่งแรกในไทย ใหญ่สุดในเอเชีย เป็นต้น

ทั้งนี้ ในปีนี้ยังมีแบรนด์ระดับโลกที่เลือกกลับมาเปิดใหม่ในไทยอีกครั้งกับเรา อาทิ AESOP แบรนด์สกินแคร์ชั้นนำระดับโลกจากประเทศออสเตรเลียเปิดตัวแฟล็กชิปสโตร์ในคอนเซปต์ใหม่ และ GENKI SUSHI ซูชิสายพานจากญี่ปุ่น ใช้ Kousoku Train รถไฟความเร็วสูงเพื่อเสิร์ฟซูชิถึงโต๊ะ

ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นข้อการันตียืนยันความสำเร็จของการเป็นเบอร์หนึ่งของศูนย์การค้าไทย เป็นจุดหมายปลายทางของแบรนด์ดังระดับโลกที่เลือกศูนย์การค้าเซ็นทรัลเป็นหมุดหมายในการเปิดสาขาแรก รวมไปถึงแบรนด์ไทยชั้นนำก็เลือกเซ็นทรัลพัฒนาในการขยายธุรกิจ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ทั่วประเทศ

นอกจากนี้เซ็นทรัลพัฒนายังพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้ติดสปีดในการเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น ด้วยบทบาท Big Brother ภายใต้โครงการ LEAD by Central Pattana มีแบรนด์ดังที่มีแพชชั่นอันแรงกล้าเข้าร่วมอย่าง GENTLEWOMAN, RAVIPA, WITH IT, URTHE, YUEDPAO, โรงชาชงดี ปัจจุบันสามารถสยายปีกได้ในสเกลที่ใหญ่ขึ้น โดยโครงการนี้ได้สร้างความสำเร็จกว่า 200 แบรนด์

เซ็นทรัลพัฒนาไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะโครงการใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเขย่าวงการค้าปลีกสร้างอิมแพ็คระดับประเทศ เตรียมจับตามอง “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” บิ๊กโปรเจ็คต์ที่ร่วมพัฒนากับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) โดยในส่วนของ Central Park Office จะเปิดให้บริการใน Q3 ปี 2568 และศูนย์การค้า Central Park จะเปิดให้บริการใน Q4 ปี 2568 และเซ็นทรัล กระบี่ ที่คาดว่าจะเปิดใน Q4 ปี 2568 เรียกได้ว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนระดับประเทศได้แน่นอน ดึงดูดคลื่นนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลเข้ามาพร้อมเม็ดเงินหมุนเวียนจากทั่วโลก

]]>
1503268
“Central Pattana Residence” วางเป้ารายได้ปี’67 โต 20% จุดขาย “ชีวิตติดห้างฯ” จูงใจเศรษฐีภูธร https://positioningmag.com/1480046 Thu, 27 Jun 2024 08:39:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1480046 ยอดขายโตฉ่ำแบบไม่หวั่นเศรษฐกิจ! “Central Pattana Residence” วางเป้ารายได้ปี 2567 เติบโต 20% จุดขาย “ชีวิตติดห้างฯ” ได้ผลดี จูงใจเศรษฐีต่างจังหวัดซื้อให้กับลูกหลานลงทุนเป็นทรัพย์สิน ลูกค้าโอนเงินสด 60% ของยอดขาย

“วัลยา จิราธิวัฒน์” กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เปิดเผยความสำเร็จ 8 ปีที่ผ่านมาของ “Central Pattana Residence” ว่ามีการลงทุนเปิดตัวโครงการสะสม 43 โครงการใน 20 จังหวัด และได้ผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้ปัจจุบันหน่วยธุรกิจที่อยู่อาศัยถือเป็นหน่วยธุรกิจที่ทำรายได้เป็นอันดับ 2 ให้ CPN และสามารถหมุนเวียนกระแสเงินสด (cashflow) ภายในหน่วยธุรกิจเองได้แล้ว

“ธุรกิจนี้โตเร็วกว่าที่คาดและยืนด้วยตนเองได้เร็วมาก แต่เราก็จะยังอยู่ในระบบนิเวศเดียวกันต่อไป และถ้าปีต่อๆ ไป CPN มีมิกซ์ยูสที่เป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ เราก็พร้อมที่จะลงทุนให้ Central Pattana Residence เพิ่มอีก” วัลยากล่าว

Central Pattana Residence
8 ปี Central Pattana Residence เปิดตัวไปทั้งหมด 43 โครงการ

ด้าน “กรี เดชชัย” President, Residential Business บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า เมื่อปี 2566 บริษัททำรายได้รวม 5,900 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2567 นี้บริษัทตั้งเป้าทั้งยอดขายและรายได้ไว้ที่ 7,000 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อนหน้า

แผนการเปิดโครงการในปีนี้มีทั้งหมด 10 โครงการ มูลค่ารวม 13,430 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านและคอนโดมิเนียม ดังนี้

  • บ้านเดี่ยว 3 โครงการ ได้แก่
    – บ้านนิรดา เอกชัย-วงแหวน
    – บ้านนิรติ ศรีวารี-บางนา
    – บ้านนิรติ นครปฐม
  • คอนโดมิเนียม “ESCENT” 7 โครงการใน 7 ทำเล ได้แก่ นครสวรรค์, นครปฐม, เซ็นทรัล บางนา, นครศรีธรรมราช, ภูเก็ต, หาดใหญ่ (เฟส 2) และอุบลราชธานี (เฟส 2)
Escent บางนา
Escent บางนา ทำเลหลังศูนย์ฯ เซ็นทรัล บางนา (ระยะห่าง 300 เมตร)

โดยโครงการที่เปิดจองล่าสุดคือ “ESCENT บางนา” ด้านหลังเซ็นทรัล บางนา ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท จำนวนห้องชุด 285 ยูนิต พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 24 ตร.ม. พร้อมบริการชัตเติลบัสรับส่งเซ็นทรัล บางนา และรถไฟฟ้าสายสีเหลืองสถานีศรีเอี่ยม

 

ดึงลูกค้ากลุ่มเศรษฐีรีเจ็กต์เรตต่ำกว่าตลาด

กรีกล่าวต่อว่า สำหรับโครงการ ESCENT นครสวรรค์ และ นครปฐม ที่เปิดขายตั้งแต่ต้นปี 2567 ปัจจุบันขายเกือบหมดทั้งโครงการแล้ว มูลค่ารวม 2 โครงการกว่า 1,000 ล้านบาท

เหตุที่ทำยอดขายได้เร็วเพราะจุดขายที่แข็งแรง เป็นคอนโดมิเนียมติดศูนย์การค้า ลูกค้าจะได้พริวิลเลจจาก CPN และโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

กลุ่มลูกค้าหลักที่ซื้อมักจะเป็นคหบดีเศรษฐีในต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดที่ตั้งของโครงการหรือจังหวัดข้างเคียงที่มักจะมาใช้บริการศูนย์การค้าอยู่แล้ว

ส่วนใหญ่ลูกค้า 60% ซื้อไว้ให้กับลูกหลานเข้ามาอยู่อาศัย 30% ซื้อเก็บไว้เป็นทรัพย์สินและใช้อยู่อาศัยเป็นครั้งคราว เช่น เสาร์-อาทิตย์มาพักผ่อนเดินเล่นในห้างฯ และใช้บริการฟิตเนส สระว่ายน้ำ อีก 10% เป็นกลุ่มลงทุนเพื่อปล่อยเช่า

กรีกล่าวด้วยว่า ด้วยโปรไฟล์ลูกค้าของ Central Pattana Residence มีเงินเย็นทำให้มักจะโอนกรรมสิทธิ์ด้วยเงินสด 60% ไม่ต้องกู้สินเชื่อบ้าน ทำให้ภาพรวมอัตราถูกปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคาร (reject rate) จะอยู่ที่ 20% เท่านั้น เทียบกับค่าเฉลี่ยตลาดถูกปฏิเสธกันเกิน 50%

Central Pattana Residence
“วัลยา จิราธิวัฒน์” กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา และ “กรี เดชชัย” President, Residential Business บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวที่รัฐบาลกำลังศึกษาแนวคิดการขยายสัดส่วนผู้ซื้อชาวต่างชาติในคอนโดมิเนียมเป็น 75% ทางแม่ทัพใหญ่ “วัลยา” ตอบว่า เรื่องนี้ให้ขึ้นอยู่กับภาครัฐและ CPN พร้อมจะปฏิบัติตามข้อกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม Central Pattana Residence เน้นยอดขายจากคนไทยเป็นหลัก ที่ผ่านมามีการขายคอนโดฯ ให้ชาวต่างชาติน้อยมาก แม้แต่โครงการที่ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวอย่าง “Phyll ภูเก็ต” คอนโดฯ ใกล้เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า ก็มียอดขายให้ชาวต่างชาติเพียง 20% ของโครงการ และเมื่อลูกบ้านเข้าพักอาศัยจริงก็มีชาวต่างชาติเข้าอยู่ (รวมผู้เช่า) เพียง 35% ของโครงการเท่านั้น

CPN ยังประกาศจัดงานอีเวนต์ IMAGINING BETTER LIVING ยกทัพ บ้าน คอนโด และทาวน์โฮม พร้อมอยู่กว่า 20 โครงการจากทั่วทุกภาคทั่วไทยมาไว้ในงานเดียว พร้อมรับข้อเสนอและโปรโมชั่นจัดเต็มที่สุดในรอบปี ข้อเสนอที่ดีที่สุด รับส่วนลดสูงสุด 10 ล้านบาท* Upgrade The 1 Exclusive* (1 สิทธิ / การจองเท่านั้น* และโอนกรรมสิทธิ์ภายในสิงหาคม 2567) รับคะแนน The1 เท่ากับมูลค่าการซื้อโครงการ* (25 บาท รับ 1 คะแนน เฉพาะโครงการพร้อมอยู่ และโอนกรรมสิทธิ์ภายในกรกฎาคม 2567 เท่านั้น) และดอกเบี้ยพิเศษ* เฉพาะงานนี้ 27-30 มิถุนายนนี้ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ บริเวณชั้น 1 เซ็นทรัล คอร์ต

]]>
1480046
“เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า” ขยายพื้นที่ช้อป “แบรนด์เนม” อีก 4 เท่า! ขึ้นแท่นแหล่งรวม “ลักชัวรี” เทียบชั้นสิงคโปร์ https://positioningmag.com/1477665 Wed, 12 Jun 2024 02:43:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477665
  • ครบรอบ 6 ปี “เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า” วางเป้าขยายพื้นที่ร้านค้า “ลักชัวรี” เพิ่มอีก 4 เท่า เพิ่มแบรนด์ลักชัวรีในศูนย์ฯ เป็น 30 แบรนด์ภายในปี 2569 เทียบชั้น “สิงคโปร์-ฮ่องกง” แหล่งช้อปแบรนด์เนมชั้นนำในภูมิภาค
  • แรงหนุนการเติบโตเกิดจาก “ภูเก็ต” กลายเป็นแหล่งพักผ่อนตากอากาศระดับโลกของมหาเศรษฐี ทำให้มีความต้องการช้อปปิ้งแบรนด์เนมมากขึ้น
  • ศูนย์การค้าเครือ “เซ็นทรัลพัฒนา” (CPN) เข้ามาลงทุนบนเกาะภูเก็ตครั้งแรกเมื่อปี 2547 เปิดตัว “เซ็นทรัล ภูเก็ต เฟสติวัล” เสนอไลฟ์สไตล์คนเมืองให้กับชาวภูเก็ต ก่อนที่จะขยายพื้นที่ฝั่งตรงข้ามเมื่อปี 2561 เปิดตัวศูนย์การค้า “เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า” เน้นกลุ่มเป้าหมายใหม่ไลฟ์สไตล์ “ลักชัวรี” รวบรวมช็อป “แบรนด์เนม” มาไว้บนเกาะภูเก็ตเป็นครั้งแรก

    “6 ปีก่อนกับตอนนี้ถือว่าต่างกันมาก เมื่อ 6 ปีก่อนที่เราไปเชิญร้านค้าแบรนด์เนมมาลง เขาก็สงสัยว่ามันจะไปได้หรือ” ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าว “แต่ CPN เรามีวิสัยทัศน์ว่าภูเก็ตสามารถพัฒนาไปเทียบชั้นกับรีเวียร่าในประเทศฝรั่งเศสหรือฮาวายของสหรัฐฯ คือเป็นแหล่งท่องเที่ยวตากอากาศชายทะเลระดับไฮเอนด์ รองรับเศรษฐีระดับโลกได้เลย”

    “วิไลพร ปิติมานะอารี” ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มงานปฏิบัติการสาขาภูเก็ต บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา และ “ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา” กรรมการผู้จัดการ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา

    ด้าน “วิไลพร ปิติมานะอารี” ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มงานปฏิบัติการสาขาภูเก็ต บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา เสริมว่า ในปีแรกที่ เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า เปิดตัว มีแบรนด์เนมที่กล้าลงทุนพร้อมกับ CPN เพียง 7 แบรนด์ แบรนด์แรกที่มาเปิดช็อปคือ “Hermès”

    แต่ผ่านมา 6 ปีขณะนี้มีแบรนด์เนมเข้าศูนย์ฯ แล้วทั้งหมด 14 แบรนด์ และหลายแบรนด์ต้องการขยายพื้นที่ร้าน สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้เช่าต่อการเติบโตของภูเก็ตและการทำงานของศูนย์ฯ

    14 แบรนด์ลักชัวรีในศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า

     

    ดึงเพิ่มเป็น 30 แบรนด์ ขยายพื้นที่ 4 เท่า

    วิไลพรกล่าวต่อว่า ปัจจุบันพื้นที่ร้านค้าระดับลักชัวรีหรือ “Luxury Zone” มีทั้งหมด 2,000 ตารางเมตร แต่ศูนย์ฯ ตั้งเป้าจะขยายเป็น 4,000 ตารางเมตรภายในสิ้นปี 2567 และเพิ่มเป็น 8,000 ตารางเมตรภายในปี 2569 หรือขยายเพิ่มขึ้น 4 เท่า

    แน่นอนว่าจำนวนแบรนด์จะเพิ่มจาก 14 แบรนด์เป็น 30 แบรนด์ ประเดิมเดือนสิงหาคมนี้ต้อนรับการมาของ “PRADA” ส่วนแบรนด์อื่นๆ อยู่ระหว่างเจรจา แต่แย้มว่าจะมีแบรนด์หรูหมวด “เครื่องประดับ” เข้ามาแน่นอนเพราะปัจจุบันยังเป็นหมวดที่ขาดไปในศูนย์ฯ

    เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า

    การขยายพื้นที่ร้านลักชัวรีของเซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้าจะมีการ ‘relocate’ ปรับการวางร้านค้าในศูนย์ฯ​ โดยขยับแบรนด์ที่เป็นกลุ่ม ‘Accessible Luxury’ เช่น COACH, Kate Spade ขึ้นไปที่ชั้น 2 ทั้งหมด เพื่อทำให้ชั้น 1 เป็นพื้นของสินค้าระดับลักชัวรีเท่านั้น รวมถึงจะมีการปรับขยายพื้นที่เช่าในศูนย์ฯ ให้ใหญ่ขึ้นด้วย

     

    70% เป็น “ต่างชาติ” บินมาพักผ่อนพร้อมช้อปปิ้ง

    วิไลพรกล่าวถึงทราฟฟิกของเซ็นทรัล ภูเก็ตรวม 2 ฝั่งมีลูกค้าใช้บริการ 80,000-100,000 คนต่อวัน เฉพาะฝั่งฟลอเรสต้ามีทราฟฟิกถึงวันละ 50,000 คน

    เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า

    ฝั่งฟลอเรสต้าจะเน้นกลุ่มลูกค้าต่างชาติมากกว่า โดย 70% ของยอดขายมาจากต่างชาติที่บินมาพักผ่อนและที่อาศัยอยู่ประจำ (expat) สัญชาติหลัก ได้แก่ รัสเซีย ตะวันออกกลาง จีน ยุโรป อเมริกัน

    ส่วนอีก 30% เป็นคนไทย ครึ่งหนึ่งคือคนภูเก็ตเอง และอีกครึ่งหนึ่งคือคนกรุงเทพฯ ที่มีธุรกิจในภูเก็ตหรือมีบ้านพักตากอากาศทำให้บินมาพักบ่อยครั้ง

    ถ้าถามว่าทำไมต้องมาช้อปแบรนด์เนมถึงภูเก็ต? นอกจากเป็นกิจกรรมระหว่างพักผ่อนของเศรษฐีแล้ว ทางเซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้ายังมีการเสริมบริการที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดกลุ่ม “วีไอพี” ให้เลือกช้อปกันศูนย์ฯ มากกว่าบินไปกรุงเทพฯ หรือไปประเทศอื่น เช่น มีพนักงาน “Personal Assistant” คอยบริการถือถุงช้อปปิ้ง ช่วยจองสินค้าที่ต้องการไว้ให้ก่อน มีเลาจน์ไว้บริการ ทำให้ได้ประสบการณ์ที่ดี

    ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าวีไอพีของ เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า มีประมาณ 2,300 คน มีทั้งลูกค้าที่ได้รับเชิญจากการคัดเลือกโปรไฟล์ และลูกค้าที่เป็น “Top Spender” บางรายมียอดซื้อหลักล้านบาทต่อปี

    เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า
    บรรยากาศใน เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า เดือนมิถุนายน 2567 อยู่ระหว่าง relocate ร้านเพื่อให้ชั้น 1 เปลี่ยนเป็น Luxury Zone ทั้งหมด

     

    สัญญาณ “ภูเก็ต” เป็นแหล่งรวม “เศรษฐี” ทั่วโลก

    ตั้งแต่หลังโควิด-19 สงบลง “ภูเก็ต” กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เนื้อหอมยิ่งกว่าที่เคย วิไลพรกล่าวว่าภูเก็ตทำรายได้จากการท่องเที่ยวไป 3.8 แสนล้านบาทเมื่อปี 2566 และตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 4.5 แสนล้านบาทในปี 2567 ถือเป็นแหล่งทำเงินด้านการท่องเที่ยวอันดับ 2 ของไทยรองจากกรุงเทพฯ

    ในแง่อสังหาริมทรัพย์คือตัวชี้วัดว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามานั้นเน้น “คุณภาพ” มากกว่า “ปริมาณ” เพราะระยะหลังภูเก็ตยิ่งเต็มไปด้วย “พูลวิลล่า” ราคาระดับร้อยล้านบาทต่อหลัง สนามกอล์ฟระดับโลก โรงเรียนนานาชาติ ท่าจอดเรือยอชต์ ฯลฯ ที่มีขึ้นเพื่อรองรับกำลังซื้อของมหาเศรษฐี

    ดร.ณัฐกิตติ์มองว่า เสน่ห์ของภูเก็ตจะทำให้เอาชนะแหล่งช้อปปิ้งแบรนด์เนมอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ได้เพราะภูเก็ตครบครันกว่าในแง่ความเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีทั้งธรรมชาติ ไนต์ไลฟ์ สนามกอล์ฟ อาหาร บริการแบบไทย การมีศูนย์การค้าที่รวมแบรนด์เนมไว้ให้จึงช่วยเติมประสบการณ์ได้เหนือกว่า

    หากมองภาพรวมตลาดสินค้าลักชัวรีทั้งประเทศไทย ปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 1.6 แสนล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 5.62% จนถึงปี 2571 ซึ่งจะทำให้ไทยแซงหน้าสิงคโปร์ในกลุ่มตลาดสินค้าลักชัวรีได้

    ]]>
    1477665
    “Central Park Offices” แห่ง “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ใช้จุดขาย “ออฟฟิศติดห้างฯ” ลงแข่งศึกอาคารสำนักงาน https://positioningmag.com/1475693 Wed, 29 May 2024 08:47:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1475693 “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ทยอยเปิดรายละเอียดแต่ละตึกภายในโครงการมิกซ์ยูสทำเลทองหัวมุมสีลมพระราม 4 โดยตึกสุดท้ายที่เปิดข้อมูลภายในคือ “Central Park Offices” อาคารสำนักงานที่จะใช้จุดขายด้านความเชี่ยวชาญการทำ “ออฟฟิศติดห้างฯ” ของ CPN เป็นจุดดึงดูด คาดมียอดจองทำสัญญา 20-40% ภายในสิ้นปีนี้ ก่อนตึกสร้างเสร็จราวไตรมาส 3/2568

    บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เริ่มเปิดข้อมูลตึก “Central Park Offices” อาคารสำนักงานภายในโครงการมิกซ์ยูส “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มูลค่าโครงการ 46,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 23 ไร่ หัวมุมแยกถ.สีลม ตัด ถ.พระราม 4 หลังจากเปิดให้ผู้เช่าที่สนใจเข้าชมสำนักงานขายและทำสัญญาจองได้แล้ว

    Central Park Offices ก่อสร้างเป็นออฟฟิศสูง 43 ชั้น พื้นที่อาคาร 130,000 ตร.ม. (*เฉพาะพื้นที่เช่า 60,000 ตร.ม.) หากมองจากแปลนโครงการรวม จะเป็นตึกสีเงินด้านขวามือของภาพ

    ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค

    อาคารนี้มุ่งเป้าตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน โดยตั้งเป้าการก่อสร้างให้ได้มาตรฐาน LEED Gold, WELL Platinum และ Wired Score Gold มีองค์ประกอบด้านต่างๆ ในอาคาร เช่น ใช้กระจกลดการสะท้อนแสง ระบบกรองและควบคุมคุณภาพอากาศ ระบบควบคุมการใช้พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) ซึ่งทั้งหมดนี้จะสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทผู้เช่ายุคใหม่ที่ใส่ใจด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้ตึกออฟฟิศที่เป็นอาคารเขียวจะได้เปรียบมากกว่าในการเจรจาหาผู้เช่า

    ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกของออฟฟิศ เนื่องจากออฟฟิศนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการมิกซ์ยูสทำให้จะได้ประโยชน์จากการเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศของโครงการ

    Central Park Offices

     

    ผลงาน “CPN” รับประกันไลฟ์สไตล์ “ออฟฟิศติดห้างฯ”

    จุดขายเด่นๆ ของอาคาร Central Park Offices คือ “ทำเล” และ “ไลฟ์สไตล์”

    เพราะทำเลโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค อยู่ในจุดที่เชื่อมต่อได้ทั้งสถานี BTS ศาลาแดง และสถานี MRT สีลม สะดวกกับมนุษย์ออฟฟิศที่ใช้ขนส่งมวลชนทั้งสองเส้นทาง

    Central Park Offices
    ภาพจำลอง Rooftop Bar บนชั้น 43

    ขณะที่ไลฟ์สไตล์ก็ไม่ต้องกังวล เพราะอาคารสำนักงานนี้เชื่อมต่อกับโซนศูนย์การค้า “Central Park” ของโครงการ รวมถึงจะมี “Rooftop Bar” เปิดบนชั้น 43 ของตัวอาคารเอง ทำให้มีร้านอาหารและร้านค้าไว้รองรับ

    ส่วนพื้นที่กลางแจ้งก็มีพร้อมเช่นกัน เพราะดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค สร้างสวนขนาด 7 ไร่ไว้บนรูฟท็อปของอาคารศูนย์การค้า มีลู่วิ่งยาว 750 เมตร และฝั่งตรงข้ามโครงการเป็นสวนลุมพินี สามารถใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ เดินวิ่งออกกำลังกายได้

    Central Park Offices
    ออฟฟิศเห็นวิวสวนลุมพินี

    พนักงานจึงไม่ต้องกังวลเรื่องกิน ดื่ม ช้อป พบปะสังสรรค์ ออกกำลังกาย สามารถใช้ชีวิตเบ็ดเสร็จในโครงการนี้ได้เลยตั้งแต่เช้าถึงดึก

    ไลฟ์สไตล์แบบมีออฟฟิศอยู่ติดห้างฯ แบบนี้ถือเป็นเอกลักษณ์การพัฒนาโครงการของ CPN โดย “นภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์” Chief Finance, Accounting and Risk Management Officer บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ระบุว่า CPN มีการพัฒนาหรือบริหารอาคารสำนักงานรวม 10 แห่งในพอร์ต คิดเป็นพื้นที่เช่ารวมกว่า 350,000 ตร.ม. สร้างรายได้ปีละกว่า 3,000 ล้านบาทจากการบริหารออฟฟิศให้เช่า

    ภาพจำลองล็อบบี้โถงอาคาร Central Park Offices

    CPN ยังมีประสบการณ์ยาวนานในการบริหารตึกออฟฟิศที่เชื่อมต่อโดยตรงเป็นเนื้อเดียวกับพื้นที่รีเทล เริ่มตั้งแต่แห่งแรกที่ “เซ็นทรัล ทาวเวอร์ ลาดพร้าว” และทุกแห่งที่ CPN บริหารล้วนเป็นออฟฟิศที่เชื่อมต่อกับรีเทลทั้งหมด

    ปัจจุบันอาคารสำนักงานทุกแห่งของ CPN มีอัตราการเช่าเฉลี่ยกว่า 90% และผลงานที่โดดเด่นที่สุดคือ “centralwOrld Offices” ซึ่งเชื่อมต่อกับเซ็นทรัลเวิลด์ มีอัตราการเช่ามากกว่า 95% มาตลอดเกือบ 20 ปีที่เปิดบริการ รวมถึงมีผู้เช่าสัดส่วนกว่า 75% ที่เป็นบริษัทข้ามชาติ สะท้อนให้เห็นว่าการบริหารจัดการของบริษัทได้รับความเชื่อถือจากผู้เช่าต่างชาติ

     

    คาดมีผู้เช่าจองพื้นที่ 20-40% ในสิ้นปีนี้

    นภารัตน์กล่าวต่อว่า ด้านราคาค่าเช่ายังไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าหลายราย แต่ราคาจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับอาคารสำนักงานเกรดเอในทำเลใกล้เคียงกัน และราคามากกว่า 1,000 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือนแน่นอน เพราะเป็นพื้นที่เช่าในไพรม์โลเคชั่น

    ทีมผู้บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา : (ซ้าย) “คุณายุทธ เดชอุดม” Head of Business Development Strategy และ (ขวา) “นภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์” Chief Finance, Accounting and Risk Management Officer

    โดย CPN คาดว่าภายในสิ้นปีนี้น่าจะได้ยอดจองเข้ามา 20-40% ยังไม่เร่งมากนักเพราะอาคารจะสร้างเสร็จช่วงไตรมาส 3/2568 ทำให้การปิดการขายส่วนใหญ่น่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า

    ด้าน “คุณายุทธ เดชอุดม” Head of Business Development Strategy บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า แม้ขณะนี้กรุงเทพฯ มีประเด็นซัพพลายออฟฟิศในภาพรวมกำลังล้นตลาด แต่อาคารสำนักงานเกรดเอในทำเลใจกลางเมืองที่มีคุณภาพระดับสากล (world class) ไม่ได้มีมากนัก

    ด้วยความสัมพันธ์กับคู่ค้าที่มีมานานของ CPN บวกกับเอกลักษณ์เรื่องการให้ไลฟ์สไตล์ที่มาพร้อมกันทั้งโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค คุณายุทธเชื่อว่าจะทำให้ Central Park Offices แข่งขันในตลาดได้ไม่ยาก

    ]]>
    1475693
    ส่องโมเดล “ถนนหอการค้าไทย” จาก “เพอร์เฟค” ตัดถนนเปลี่ยนทำเล ดึง 8 อสังหาฯ ชื่อดังร่วมสร้างเมืองใหม่ https://positioningmag.com/1475036 Fri, 24 May 2024 12:17:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1475036 “เพอร์เฟค” โชว์เคสโมเดลธุรกิจบน “ถนนหอการค้าไทย” ถนนส่วนบุคคลความยาว 4 กิโลเมตรที่บริษัทลงทุนตัดและดูแลเองเพื่อ “พลิกทำเล” จากที่ดินตาบอดสู่ย่านที่อยู่อาศัย 1,300 ไร่ พร้อมดึงอสังหาฯ ชื่อดังรวม 8 ค่ายซื้อที่ดินจับมือลงทุนสร้างเมืองใหม่ไปด้วยกัน

    “ถนนหอการค้าไทย” จ.นนทบุรี เป็นถนนใหม่ที่เพิ่งตัดเสร็จเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ถนนเส้นนี้มีความยาว 4 กิโลเมตร เชื่อมต่อจากฝั่งถนนชัยพฤกษ์ ทะลุไปออกถนนทางหลวง 345 และเป็นถนนขนาดใหญ่ 6 เลนพร้อมเกาะกลางปลูกต้นไม้ตกแต่ง

    ปัจจุบันสองข้างทางถนนเรียงรายด้วยหมู่บ้านสารพัดแบรนด์ เพราะเจ้าของถนนและที่ดินรอบข้างคือ “บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” เป็นผู้เก็บสะสมที่ดิน ลงทุนตัดถนนเอง และดูแลบำรุงรักษาถนน เพื่อพลิกทำเลมาเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย

    ถนนหอการค้าไทย
    แผนที่ที่ดิน 1,300 ไร่ของเพอร์เฟคและพันธมิตรที่มาร่วมลงทุนซื้อที่ดิน-พัฒนาโครงการ

    “วงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต” กรรมการผู้จัดการ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดเผยว่า บริษัทเริ่มเข้ามาทยอยซื้อที่ดินในย่านนี้มาเกิน 10 ปีแล้ว หลังจากเล็งทำเลแล้วมองว่าที่ดินย่านถนนรัตนาธิเบศร์และถนนแจ้งวัฒนะกำลังจะ ‘เต็ม’ ในไม่ช้า ทำให้เชื่อว่าความเจริญจะขยายข้ามแม่น้ำมาทางสะพานพระราม 4 เข้าสู่ถนนชัยพฤกษ์

    ทำให้เพอร์เฟคซุ่มลงทุนซื้อที่ดินตาบอดที่ลึกเข้าไปจากถนนชัยพฤกษ์ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นทุ่งนา เมื่อเก็บที่ดินได้รวมกว่า 1,300 ไร่ บริษัทจึงทุ่มทุน 400 ล้านบาทเพื่อตัด “ถนนหอการค้าไทย” พลิกทำเลจากที่ดินตาบอดให้กลายเป็นทำเลที่เข้าออกถนนใหญ่ได้ถึง 2 ทาง โดยถนนนี้สร้างเสร็จปี 2557 และเป็นจุดเริ่มต้นในการชักชวนเพื่อนร่วมวงการมาลงทุน

     

    ช่วยกันลงทุนเพื่อให้ทำเล ‘เกิด’ เร็ว

    สไตล์การลงทุนของเพอร์เฟคมักจะชอบเก็บที่ดินแปลงใหญ่และแบ่งขายให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เจ้าอื่น ไม่ได้ลงทุนเองทั้งหมด แปลงนี้ก็เช่นกัน ปัจจุบันมีอสังหาฯ ทั้งหมด 8 ค่ายที่มาลงทุนหรือจับจองที่ดินอยู่บนถนนหอการค้าไทย ได้แก่ เพอร์เฟค, ฮ่องกงแลนด์, เอสซี แอสเสทฯ, แสนสิริ, พฤกษา, เอพี, พราว เรียล เอสเตท และเซ็นทรัลพัฒนา

    พื้นที่นี้มีการพัฒนาโครงการไปแล้ว 920 ไร่ รวมทุกค่าย 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกันกว่า 30,000 ล้านบาท และทางเพอร์เฟคมีการประเมินว่าถ้าทุกค่ายพัฒนาที่ดินในมือจนครบ 1,300 ไร่ จะมีมูลค่าโครงการบนพื้นที่นี้รวมกว่า 50,000 ล้านบาท และจะทำให้มีครอบครัวเข้ามาอาศัยในบริเวณนี้กว่า 4,600 หลังคาเรือน!

    ถนนหอการค้าไทย
    จำแนกที่ดินในพื้นที่ถนนหอการค้าไทย

    วงศกรณ์อธิบายว่า ที่ตัดสินใจปล่อยขายให้อสังหาฯ เจ้าอื่นด้วย เพราะการมีหลายบริษัทมาพัฒนาโครงการพร้อมกัน จะทำให้ทำเล ‘เกิด’ เร็วกว่ามีบริษัทเดียว ด้วยการช่วยกันโปรโมตทำการตลาดจะทำให้คนรู้จักถนนหอการค้าไทยเร็วขึ้น และลูกค้าก็จะมีทางเลือกมากขึ้น มีบ้านหลายแบบ หลายราคา

    ถนนเส้นนี้มีบ้านที่ยังอยู่ระหว่างขายให้เลือกหลายโครงการ เช่น โครงการ “แกรนด์ พลีโน่ แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์” ของค่ายเอพี ซึ่งเป็นบ้านแฝดที่เพิ่งเปิดตัว ราคาเริ่ม 6.09 ล้านบาท ขยับขึ้นมาเป็นบ้านเดี่ยว “เดอะ ปาล์ม แจ้งวัฒนะ-ชัยพฤกษ์” ของค่ายพฤกษา ราคาเริ่ม 8.99 ล้านบาท หรือจะเป็น “บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์” ของค่ายเอสซี แอสเสทฯ ราคาเริ่ม 9.99 ล้านบาท รวมถึงมีระดับคฤหาสน์ในโครงการ “เลค เลเจนด์ แจ้งวัฒนะ” โครงการร่วมทุนของเพอร์เฟคกับฮ่องกงแลนด์ ที่ทำราคาสูงสุดหลังละ 130 ล้านบาท

    ส่วนพันธมิตรใหม่ที่เพิ่งเข้ามาอย่าง “พราว เรียล เอสเตท” และ “เซ็นทรัลพัฒนา” จะเข้ามาพัฒนาโครงการแนวราบเช่นกัน แต่ยังอยู่ระหว่างออกแบบว่าจะเป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทใดในระดับราคาไหน

     

    “SISB” เพิ่มให้เมืองครบเครื่อง หวังหาพาร์ทเนอร์ทำ “คอมมูนิตี้ มอลล์”

    นอกจากการดึงที่อยู่อาศัยหลากหลายแบรนด์แล้ว ชุมชนบนถนนหอการค้าไทยยังมีการดึง “โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ (SISB) นนทบุรี” เข้ามาอยู่บนถนนเส้นนี้ด้วย ซึ่งทำให้มีตัวเลือกด้านการศึกษาให้กับบุตรหลาน

    ถนนหอการค้าไทย
    ถนนหอการค้าไทย

    ส่วนพื้นที่รีเทลนั้น บริเวณรอบๆ ถนนหอการค้าไทยมีการเปิดศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ปี 2557 ไม่ว่าจะเป็น “เดอะ คริสตัล พีทีที ชัยพฤกษ์” “โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์” หรือ “โลตัส นอร์ธ ราชพฤกษ์”

    แต่ภายบนถนนหอการค้าไทยเองยังไม่มีคอมมูนิตี้ มอลล์ จะมีเฉพาะโลตัสและอาคารพาณิชย์ ซึ่งทางวงศกรณ์กล่าวว่าบริษัทยังมีพื้นที่ที่กันไว้สำหรับพัฒนาคอมมูนิตี้ มอลล์ได้ อยู่ระหว่างเจรจาหาพันธมิตรที่สนใจลงทุน

    สรุปรวมที่ดินบนถนนหอการค้าไทยยังเหลือแปลงที่ดินว่างอีก 386 ไร่จาก 1,300 ไร่ (*ไม่รวมแปลงของ ม.หอการค้าไทยที่มี 215 ไร่) ทั้งหมดนี้กระจายอยู่ในมือพันธมิตรทั้ง 8 บริษัท โดยวงศกรณ์คาดว่าน่าจะใช้เวลาอีก 5 ปีกว่าที่จะพัฒนาหมด และจะทำให้ชุมชนนี้สมบูรณ์และคึกคักยิ่งกว่าวันนี้

    ]]>
    1475036
    ช้อปปิ้งแบบล้ำๆ “เซ็นทรัลพัฒนา” แท็กทีม Samsung Galaxy AI บริการแปลภาษาแก่นักท่องเที่ยวกว่า 16 ภาษา ยกระดับประสบการณ์แบบไร้ขีดจำกัด https://positioningmag.com/1472500 Wed, 08 May 2024 09:47:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472500

    เซ็นทรัลพัฒนา ผู้ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นในการพัฒนาโครงการรวมถึงบริการ ที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีมากยิ่งขึ้น โดยล่าสุดได้เพิ่มบริการแปลภาษาแบบล้ำๆ ให้แก่นักท่องเที่ยว ช่วยให้การช้อปปิ้งฟินมากขึ้นไปอีก

    บริการนี้ได้จับมือร่วมกับ “ซัมซุง” และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญ AI Interpreter For Tourist Service Enhancement and Seamless Shopping Experience ให้บริการ “Samsung Galaxy AI Interpreter Service” ดึงฟีเจอร์สุดล้ำ Samsung Galaxy AI ที่สามารถแปลภาษาสุดอัจฉริยะได้กว่า 16 ภาษา ประกอบด้วย อังกฤษ, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, ฮินดี, อิตาเลียน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, โปแลนด์, โปรตุเกส, สเปน, เวียดนาม, ไทย, ภาษาอาหรับ, บาฮาซา อินโดนีเซีย และรัสเซีย

    เปิดจุดให้บริการร่วมกับร้านค้าภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัล และจุด Touch Point ที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่าง Comma And, Good Goods, Hug Craft และ Klook Lounge รวมถึงภายในศูนย์การค้าเครือเซ็นทรัลพัฒนา ซึ่งเป็น Tourist Destination ทั้ง 15 สาขาทั่วประเทศ เช่น เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลวิลเลจ เซ็นทรัลภูเก็ต เซ็นทรัลพัทยา เซ็นทรัลเชียงใหม่ และเซ็นทรัลสมุย เป็นต้น

    ประเทศไทยเป็นหนึ่งในเดสติเนชั่นที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต่างมาเช็คอิน และดื่มด่ำกับบรรยากาศที่มีครบทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม และการช้อปปิ้ง โดยสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยล่าสุด เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 มีนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่มกราคมรวมกว่า 11.2 ล้านคน ซึ่งในต้นเดือนพฤษภาคมนี้จะมีช่วงการเดินทางท่องเที่ยว Long Holiday ที่สำคัญของกลุ่มนักท่องเที่ยว Short Haul อย่างช่วงวัน Labor Day ของชาวจีนหยุดรวม 5 วัน และ Golden Week ของชาวญี่ปุ่นหยุดยาวรวมกว่า 10 วัน ทำให้เป็นช่วงที่เหมาะสมในการยกระดับการบริการในศูนย์การค้า เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มมากขึ้นในเดือนนี้

    ปัจจุบันศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัลพัฒนาได้มีโอกาสต้อนรับและให้บริการนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มาจากหลายหลายเชื้อชาติและภาษา ผ่านแคมเปญการตลาดของศูนย์การค้าฯ และแคมเปญที่ร่วมจัดทำกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ซึ่งบริการ “Samsung Galaxy AI Interpreter Service” ฟีเจอร์แปลภาษาอัจฉริยะเรียลไทม์ ถือเป็นการยกระดับให้บริการที่สำคัญสำหรับธุรกิจศูนย์การค้า

    บริการ “Samsung Galaxy AI Interpreter Service” ภายใต้แคมเปญ AI Interpreter For Tourist Service Enhancement and Seamless Shopping Experience ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติรับบริการได้อย่างง่ายดาย เพียงพูดภาษาของตนเองผ่าน Samsung Galaxy AI จากนั้น AI จะทำหน้าที่แปลภาษาเป็นภาษาที่เลือกไว้ได้ทันที

    ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยทลายกำแพงภาษาและอุปสรรคในการสื่อสารกับพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความสามารถในการแปลถึง 16 ภาษา

    จุดให้บริการ “Samsung Galaxy AI Interpreter Service” ภายในศูนย์การค้าจะมีให้บริการ ณ จุดเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์, เคาน์เตอร์ Tourist Information, และ Exclusive Lounge ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ได้ที่ศูนย์การค้ากลุ่ม Tourist Mall ในเครือเซ็นทรัลพัฒนาทั้ง 15 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล วิลเลจ, เซ็นทรัล พระราม 9, เซ็นทรัล อยุธยา, เซ็นทรัล ศรีราชา, เซ็นทรัล มารีนา, เซ็นทรัล พัทยา, เซ็นทรัล จันทบุรี, เซ็นทรัล เชียงใหม่, เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต, เซ็นทรัล เชียงราย, เซ็นทรัล อุดรธานี, เซ็นทรัล ภูเก็ต, เซ็นทรัล สมุย, เซ็นทรัล หาดใหญ่, Comma And และ Klook Lounge เซ็นทรัลเวิลด์, Good Goods และ Hug Craft ทุกสาขา

    ]]>
    1472500
    เมื่อ MUJI สยายปีกสู่ภาคใต้ เปิดสาขาแรกที่ “เซ็นทรัล หาดใหญ่” ตอกย้ำ Lifestyle Destination ตัวจริง https://positioningmag.com/1469477 Tue, 09 Apr 2024 11:38:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469477

    หาดใหญ่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของภาคใต้ เรียกได้ว่าเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจก็ไม่มีผิด แถมยังเป็นอีกหนึ่งจุดยุทธศาสตร์ที่ทางเซ็นทรัลพัฒนา เลือกเปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัล หาดใหญ่ และประเดิมปี 2567 เซ็นทรัล หาดใหญ่ได้ฤกษ์เปิด MUJI สาขาแรกของภาคใต้ เป็นการตอกย้ำภาพการเป็น Lifestyle Destination ตัวจริงเสียงจริง

    MUJI เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลกจากประเทศญี่ปุ่น มีสินค้าให้เลือกหลากหลายทั้งกลุ่มเสื้อผ้า ของใช้ในบ้าน ของตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องสำอาง และอื่นๆ อีกมากมาย หลายคนติดใจ และชื่นชอบ MUJI ด้วยความที่เป็นแบรนด์ที่สินค้ามีดีไซน์ที่เรียบง่าย และอัดแน่นไปด้วยฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันจริงๆ

    ก่อนหน้านี้ MUJI เลือกที่ขยายสาขาในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ แต่เปิดต้นปี 2567 MUJI ได้เปิดสาขาใหม่ล่าสุดเรียกว่าเป็นสาขาแรกในโซนภาคใต้เลยก็ว่าได้ ได้เปิดสาขาที่ 35 ในประเทศไทย ปักหมุดที่ “เซ็นทรัล หาดใหญ่” ศูนย์การค้าแห่งเดียวในจังหวัดสงขลาที่ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง และตลาดท้องถิ่น รองรับความต้องการของนักช้อปทั้งในอำเภอหาดใหญ่ ตัวเมืองจังหวัดสงขลา และจังหวัดใกล้เคียง

    ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

    “จังหวัดสงขลามีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภาคใต้ โดยสถิติล่าสุด ระบุว่า มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด หรือ GPP คิดเป็น 243 ล้านบาท รายได้ต่อหัวของจังหวัดประมาณ 145,000 บาท/คน/ปี (จากประชากรปัจจุบัน 1.43 ล้านคน) ถือเป็นเมืองเศรษฐกิจอันดับ 14 ของประเทศและเป็นอันดับ 1 ของภาคใต้  ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการค้าชายแดนไทย-มาเลเซียในสัดส่วนสูงที่สุดของประเทศ เปรียบเสมือนศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคใต้ การเปิด MUJI แห่งแรกในภาคใต้ที่เซ็นทรัล หาดใหญ่ในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำศักยภาพของเซ็นทรัล หาดใหญ่ในการเป็นแลนด์มาร์คสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียอีกด้วย”

    MUJI เซ็นทรัล หาดใหญ่ ออกแบบและตกแต่งภายใต้แนวคิดดั้งเดิมของ MUJI คือเรียบง่าย เป็นธรรมชาติ ผสมผสานกลิ่นอายของวัฒนธรรมญี่ปุ่นด้วยบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกอบอุ่น แบ่งสัดส่วนของประเภทสินค้าอย่างเป็นระเบียบ และครบครันไปด้วยสินค้า MUJI มากมายให้เลือกสรรกว่า 3,000 รายการ

    เริ่มด้วย โซนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ที่อยากให้ชาวใต้ได้ลองเครื่องแต่งกายสไตล์เบสิกสไตล์ MUJI ที่มิกซ์แอนด์แมทช์ได้กับไอเท็มตัวโปรด มาพร้อมไฮไลท์ คอลเลคชัน Spring/Summer 2024 ในสไตล์และสีสันที่หลากหลาย พร้อมกันนี้ยังมีเครื่องประดับต่างๆ เช่น กระเป๋า รองเท้า ถุงเท้า หมวก ให้เลือกช้อปอีกมากมาย ถัดมากับ โซนเครื่องใช้ในบ้านและเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน เอาใจคนรักบ้าน รวบรวมสินค้าจำเป็นสำหรับห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่นอุปกรณ์ทำความสะอาด กล่องและอุปกรณ์เอนกประสงค์จัดระเบียบบ้านทุกรูปแบบ พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านที่โดดเด่นด้วยดีไซน์เรียบง่ายและปราณีต พร้อมฟังก์ชันตามมาตรฐานประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์เครื่องเขียนและสำนักงาน ตอบโจทย์นักเรียน นักศึกษา และพนักงานออฟฟิศ ราคาเริ่มต้นหลักสิบ

    และเอาใจคนรักการท่องเที่ยวกับ MUJI to GO อุปกรณ์สำหรับการเดินทาง รวบรวมอุปกรณ์จำเป็น ที่มอบความสะดวกสบายให้กับการเดินทางในทุกๆ รูปแบบ ต่อด้วยโซน Health & Beauty ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า ผิวกาย และเส้นผม รวมไปถึงอุปกรณ์แต่งหน้า, เครื่องสำอาง และเครื่องหอมอโรม่าหลากหลายกลิ่น ที่โดดเด่นด้วยส่วนผสมที่สกัดจากธรรมชาติ และปราศจากสารเคมี พร้อมกันนี้ยังมี โซนขนมและอาหารสำเร็จรูปจาก MUJI แบบจัดเต็ม เช่น เค้กบามคูเฮน, ชอคโกแลตเคลือบสตรอวเบอร์รี, ขนมปังโดรายากิ, ปลาแฮร์ริงอบแห้ง และขนมญี่ปุ่นรสชาติอร่อยอีกมากมาย

    ที่สำคัญ ห้ามพลาดไฮไลท์! เอาใจคาเฟ่ ฮอปเปอร์กับ MUJI Coffee Corner บริการเครื่องดื่มกาแฟ และอีกมากมาย ราคาเริ่มต้นเพียง 60 บาท พร้อมเสิร์ฟขนมเค้กและของหวานสไตล์ญี่ปุ่น เริ่มต้น 49 บาทเช่น พุดดิ้งรสนม (ราคา 49 บาท), มินิ ทีรามิสุ (ราคา 69 บาท), ขนมฟุวะ ฟุวะ (ราคา 69 บาท), มินิ ชีสเค้ก (ราคา 69 บาท) และอีกมากมาย พร้อมกันนี้ ยังมีจำหน่ายไอศกรีมแบบถ้วย 9 รสชาติ ราคา 49 บาท ให้ชาวหาดใหญ่ได้สัมผัสรสชาติความอร่อยอย่างจุใจ

    นอกจาก MUJI แล้วภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัล หาดใหญ่ ยังพร้อมเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตด้วยพันธมิตรร้านค้าและแบรนด์ชั้นนำ ที่ยกทัพมามอบประสบการณ์การช้อปปิ้งหลากหลายครบทุกมิติอาทิ MLB, GENTLE WOMAN, CHARLES & KEITH, LYN, LEVI’S, MC JEANS, YUEDPAO, ADIDAS ORIGINAL, THE NORTH FACE, CROCS และอีกมากมาย

    ร่วมสัมผัสประสบการณ์ไลฟ์สไตล์เต็มรูปแบบจาก MUJI ครั้งแรกในภาคใต้ ที่ร้าน MUJI CENTRAL HATYAI ชั้น 1 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตที่หลากหลายได้ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล หาดใหญ่ไลฟ์สไตล์ช้อปปิ้งเดสติเนชั่นใจกลางแหล่งท่องเที่ยวแห่งแรกและแห่งเดียวในจังหวัดสงขลา

    ]]>
    1469477
    “เซ็นทรัลพัฒนา” เตรียมงบอีก 121,000 ล้านบาท ลงทุนต่อเนื่องใน 5 ปี ผุดมิกซ์ยูสอีก 5 โครงการ พลิกโฉมรีเทลสู่ระดับ The World’s New Magnitude https://positioningmag.com/1468189 Fri, 29 Mar 2024 09:22:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1468189

    แรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่จริงๆ สำหรับ “เซ็นทรัลพัฒนา” เบอร์หนึ่งผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในไทย ได้ประกาศแผนการลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี ด้วยงบลงทุน 121,000 ล้านบาท เตรียมผุดโครงการมิกซ์ยูสอีก 5 โครงการ ทำให้ในปีหน้าเซ็นทรัลพัฒนาจะมีโครงการมิกซ์ยูสรวม 25 โครงการ พร้อมพลิกโฉมรีเทลครั้งยิ่งใหญ่เป็นโครงการระดับ The World’s New Magnitude เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในฟันเฟืองใหญ่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศก็ว่าได้

    ทุ่ม 121,000 ล้านบาท สร้างเมือง สร้างย่าน สร้างเศรษฐกิจ

    ในยุคปัจจุบันนี้ จะใช้คำว่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียวคงไม่พอที่จะอธิบายคำจำกัดความของ “เซ็นทรัลพัฒนา” เพราะทุกวันนี้ได้มุ่งมั่นพัฒนาอย่างไร้ขีดจำกัด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการอัดงบลงทุนอย่างต่อเนื่อง และไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการเพื่อขับเคลื่อนประเทศ

    ล่าสุดเซ็นทรัลพัฒนาได้ประกาศทุ่มงบลงทุน 121,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี (ตั้งแต่ พ.ศ. 2567-2571) โดยต่อยอดความสำเร็จจากโมเดลธุรกิจ The Ecosystem for All เชื่อมโยงทุกธุรกิจทั้ง Retail-Residence-Hotel-Office เดินหน้าแผนพัฒนาโครงการ สร้างย่าน สร้างเมืองหลัก-เมืองรอง  ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวทั่วประเทศ ทั้งสร้างโครงการใหม่ และยกระดับโครงการปัจจุบันแบบเต็มรูปแบบ

    นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า

    “ในช่วงปีที่ผ่านมา เราวางรากฐานและสร้างความสำเร็จให้ The Ecosystem for All ซึ่งเป็นโมเดลที่มี Retail-Led เป็นหัวใจสำคัญในการ Synergy ทุกธุรกิจ ปีนี้เรายังคงมุ่งมั่นสร้างความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น พร้อมยืนหยัดเป็นแรงขับเคลื่อนผลักดันเศรษฐกิจประเทศ โดยตลอด 7 ปีที่ผ่านมา (2560-2566) ลงทุนต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 15,000-22,000 ล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จสร้าง New High ด้านผลประกอบการประจำปี 2566 มีรายได้ 46,790 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 26% รวมถึงด้านทราฟฟิกศูนย์การค้าและยอดขายร้านค้าที่ดีกว่าเป้าหมาย สามารถมอบเงินปันผลสูงที่สุด อีกทั้งการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPNREIT ทำรายได้เพิ่มขึ้น 16% และให้อัตราผลตอบแทน (Yield) 10% อีกด้วย”

    โดยที่ในปี 2567 นี้ จะมีโครงการที่เปิดให้บริการใหม่ทั้งสิ้น 13 โครงการ ได้แก่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครสวรรค์ มูลค่า 5,800 ล้านบาท และเซ็นทรัล นครปฐม มูลค่า 8,200 ล้านบาท, โครงการที่อยู่อาศัย 10 โครงการ และโรงแรมแห่งใหม่ที่ระยอง จับมือกับ International Chain ระดับโลก ทำให้ในภายในปี 2567 จะมีโครงการศูนย์การค้า 42 โครงการ, คอมมูนิตี้ มอลล์ 17 โครงการ, ที่อยู่อาศัย 43 โครงการ, โรงแรม 10 โครงการ, และออฟฟิศ 10 โครงการ และปี 2568 เตรียมเปิด “เซ็นทรัล กระบี่” มูลค่า 4,500 ล้านบาท เติมเต็ม Retail Lifestyle ให้เมืองท่องเที่ยวระดับโลก

    Asset Enhancement อัดงบ 23,000 ล้านบาท รีโนเวท 6 โครงการ

    นอกจากการลงทุนโครงการใหม่แล้ว เซ็นทรัลพัฒนายังให้ความสำคัญกับโครงการศูนย์การค้า ที่เป็นหัวใจของแต่ละย่าน ให้สามารถเติบโตไปพร้อมกับวิถีชีวิตของผู้คน ไลฟ์สไตล์ และกำลังซื้อที่สูงขึ้น โดยเตรียมแผนที่จะปรับโฉม 6 โครงการ เทียบเท่าการพัฒนาศูนย์การค้าใหม่เลยทีเดียว

    ในการปรับศูนย์การค้าครั้งนี้จะเป็นการปรับแบบ turnaround ทั้งหมด 6 ศูนย์การค้า ปักหมุดรอบทิศกรุงเทพฯ-ปริมณฑล คือ “เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า” เติมเต็มไลฟสไตล์โซนปิ่นเกล้า รองรับกำลังซื้อที่สูงขึ้น, “เซ็นทรัล บางนา” District Transformation จับกลุ่มลูกค้า Top Tier ย่านบางนา, “เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ” สร้าง Concept Mall ใหม่ตอบโจทย์ Eco Art Lifestyle และ “เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์” Build New Lifestyle Landmark ยิ่งใหญ่ ครบครันที่สุดในย่านสำหรับเมื่องท่องเที่ยวใหญ่ เตรียมปรับโฉม “เซ็นทรัล พัทยา” รองรับกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก และ “เซ็นทรัล มารีน่า” ปรับเป็นรูปแบบ Outlet เพราะมองเห็นโอกาสจากพฤติกรรมการช้อปของนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่ง

    ปั้น 5 มิกซ์ยูส พลิกโฉมรีเทลสู่ The World’s New Magnitude 

    ในช่วงหลายปีมานี้ ยุทธศาสตร์ของเซ็นทรัลพัฒนาเน้นพัฒนาโครงการใหม่ในโมเดล “มิกซ์ยูส” เป็นหลัก โดยสร้างอาณาจักรที่รวมทั้งศูนย์การค้า โรงแรม ที่อยู่อาศัย และอาคารสำนักงานไว้ในที่เดียว เพื่อเป็นการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้อย่างครบวงจร

    ปัจจุบันเซ็นทรัลพัฒนามีโครงการมิกซ์ยูสรวม 20 โครงการ ปีที่ผ่านมาได้ขยายเพิ่มที่อุบลราชธานี, อยุธยา, ชลบุรี, ศรีราชา, หาดใหญ่ และในอนาคตเตรียมขยายทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ อาทิ นครสวรรค์, นครปฐม, นครศรีธรรมราช, สุราษฎร์ธานี และจะเตรียมเปิดในปี 2568 ที่จังหวัดกระบี่ เป็นต้น

    ซึ่งจะทำให้ปี 2568 จะมีโครงการมิกซ์ยูสเป็น 25 โครงการ โดยวิสัยทัศน์ในการสร้าง The Ecosystem for All ที่มี Retail-Led Synergy ช่วยสนับสนุนให้ทุกธุรกิจเชื่อมโยงกันและเติบโตแข็งแกร่ง

    ทุกองค์ประกอบในมิกซ์ยูสของเรา เป็น Best of the Best ในแต่ละธุรกิจทั้งศูนย์การค้า, โรงแรม, ที่อยู่อาศัย, ออฟฟิศ และอื่นๆ โดยที่การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ จะยิ่งช่วยสร้าง Impact ในวงกว้างได้ สร้างเงินสะพัด ยกระดับคุณภาพชีวิต ช่วยกระจายรายได้ในจังหวัด

    โครงการมิกซ์ยูสอีก 5 โครงการนี้จะเป็นโมเดลเดียวกับเมืองใหญ่ทั่วโลก มีพื้นที่รวมกันกว่า 2.2 ล้าน ตร.ม. และทั้งหมดนี้ อยู่บน Super Prime Locations รอบกรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนถนนใหญ่ และเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า แต่ละโครงการจะเป็น Flagship ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในอนาคต และจะเป็น Landmark ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เริ่มโครงการแรก ‘ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค’ พบโรงแรมดุสิตธานีโฉมใหม่เดือน ก.ย. ปีนี้ และในส่วนอาคารสำนักงานและศูนย์การค้า Central Park เปิดกลางปี 68

    เติบโตไปพร้อมกับทุกฝ่ายด้วย Holistic Partnership

    จุดแข็งของเซ็นทรัลพัฒนา นอกจากการพัฒนาโครงการแล้ว อีกหนึ่งจุดแข็งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการดูแลพันธมิตรร้านค้า และการเข้าถึงแพลตฟอร์ม The 1 ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นระบบ CRM ขนาดใหญ่ที่สุดในไทยด้วยฐานสมาชิกกว่า 20 ล้านราย สั่งสมประสบการณ์กว่า 20 ปี

    เซ็นทรัลพัฒนาได้เปิดตัวโปรแกรม The 1 BIZ – Marketing Intelligence Solutions เป็นการดึงจุดแข็งของ Ecosystem เป็นตัวช่วยปั้นธุรกิจคู่ค้า เพื่อช่วยยกระดับการเข้าถึงลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น เพิ่มโอกาสให้ธุรกิจเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

    The 1 BIZ  จะเป็น The Most Powerful CRM Tool ยุคใหม่พร้อมใช้งานสำหรับแบรนด์ทุกระดับ ช่วยแบรนด์ประหยัดต้นทุนและเวลาในการทำ CRM โดยมี Database มากที่สุดในประเทศไทย และมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี มีครบทุกพฤติกรรมจับจ่ายใช้สอยแบบ 360 องศา จากฐานข้อมูล The 1 ช่วยให้แบรนด์สร้างโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดด, รักษาลูกค้า Loyalty, ดึงดูดลูกค้าใหม่, และเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจ

    สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ร้านค้าจะได้รับก็คือ ได้อินไซต์ข้อมูลของลูกค้าที่สามารถนำไปต่อยอดทางธุรกิจได้ เป็นข้อมูลเชิงลึกถึงพฤติกรรมการซื้อ (Purchasing Behavior) ที่เกิดขึ้นจริง ถ้าร้านค้าพัฒนาระบบ CRM ของตัวเอง ก็จะเห็นข้อมูลแค่ร้านค้าของตนเองแค่อย่างเดียว แต่ The 1 BIZ ช่วยให้ร้านค้าเห็นพฤติกรรมของผู้บริโภคได้แบบ 360 องศา

    นอกจากนี้ เซ็นทรัลพัฒนายังมีการดูแลทำงานใกล้ชิดกับคู่ค้าในทุกมิติ ด้วย Retail Expertise เข้าใจตลาด ทั่วประเทศ ช่วยคู่ค้าตัดสินใจเลือกเจาะตลาดได้ถูกต้องตามจุดแข็งของแบรนด์ และยังเชี่ยวชาญในการวาง Masterplan ของศูนย์การค้า มีการ Zoning อย่างมีกลยุทธ์ทำให้ traffic เข้าถึงร้านต่างๆได้อย่างทั่วถึง

    บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ขับเคลื่อนสู่อนาคตภายใต้เจตจำนงค์ของแบรนด์ Imagining better futures for all ด้วยการสร้างและพัฒนาพื้นที่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชน รวมถึงสิ่งแวดล้อมให้เติบโตควบคู่ไปกับการเดินหน้าทางเศรษฐกิจและขับเคลื่อนประเทศไทย ปัจจุบัน บริษัทฯ มีการจ้างงานกว่า 120,000 คนทั่วประเทศ และทุกการขยายโครงการใหม่จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นหลายพันคนโดยเฉลี่ยมากกว่า 80% เป็นคนท้องถิ่นของเมืองนั้นๆ ด้านแผนงานความยั่งยืนยังคงเดินหน้าตามเป้าหมาย NET Zero 2050 ร่วมกับทุกฝ่ายใน The Ecosystem for All

     

    ]]>
    1468189
    “เซ็นทรัลพัฒนา” ยกระดับการเป็น Place Maker ขยายบทบาทสู่ Holistic Partnership เปิดโปรแกรม The 1 BIZ ให้ผู้เช่าเชื่อมต่อ The 1 แพลตฟอร์ม CRM ที่มีฐานสมาชิกลูกค้าใหญ่สุดในไทย 20 ล้านรายได้ทันที https://positioningmag.com/1466398 Fri, 15 Mar 2024 12:48:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466398

    ขึ้นชื่อว่า “เซ็นทรัลพัฒนา” ย่อมไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่เดิมที่เป็นผู้นำในฐานะ Retail Developer อันดับ 1 ในไทย แต่ตอนนี้ได้ยกระดับมากกว่าการเป็น Place Maker ไปอีกขั้นกับการขยายบทบาทสู่ Holistic Partnership จับมือช่วยปั้นธุรกิจให้กับผู้เช่าพื้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลในทุกมิติ ด้วยการคลอดโปรแกรม The 1 BIZ ที่มีการจับมือร่วมกับ The 1 แพลตฟอร์มที่มีฐานลูกค้าใหญ่ที่สุดในไทย ในการสร้าง CRM แพลตฟอร์มพร้อมใช้ ให้ร้านค้าผู้เช่าพื้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล สามารถเข้าถึงฐานสมาชิกลูกค้ากว่า 20 ล้านรายของ The 1 ที่ใช้เวลาสะสมมานานกว่า 20 ปี ได้ทันที เพื่อช่วยยกระดับการเข้าถึงลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น เพิ่มโอกาสให้ธุรกิจเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

    ซึ่งแต่เดิม The 1 เป็นโปรแกรม CRM ที่รองรับธุรกิจในเครือของกลุ่มเซ็นทรัลเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, โรบินสัน, เพาเวอร์บาย, B2S, ไทวัสดุ และอื่นๆ

    แต่วันนี้บทบาทของเซ็นทรัลพัฒนาพร้อมเปิดตัวโปรแกรม The 1 BIZ ที่ได้ขยายความพิเศษของ The 1 สู่กลุ่มร้านค้าผู้เช่าของศูนย์การค้าเซ็นทรัล เรียกได้ว่าปกติเซ็นทรัลพัฒนาเป็นผู้พัฒนาในด้านฮาร์ดแวร์ สร้างตึก พัฒนาโครงการ แต่ตอนนี้ได้ขยายการพัฒนาในด้านซอฟท์แวร์ที่พร้อมสนับสนุนผู้เช่าที่เป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญ ช่วยทำให้อีโคซิสเท็มแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ

    โปรแกรม The 1 BIZ ได้เริ่มเปิดตัวมาได้ประมาณ 3 ปีกว่าแล้ว ความพิเศษก็คือร้านค้าสามารถเชื่อมต่อกับ CRM แพลตฟอร์มพร้อมใช้ ที่มีฐานลูกค้าใหญ่ที่สุดกว่า 20 ล้านคนได้ทันที โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาพัฒนาเอง ไม่ต้องเสียเวลาเก็บข้อมูลใหม่ ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้า เพิ่มฐานลูกค้า เพิ่มยอดขาย รวมถึงการเข้าถึงลูกค้าได้ถูกช่องทาง เพื่อใช้งบทางการตลาดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งผ่าน Social Media และ Own Channel ของเซ็นทรัลเอง อย่าง The 1 Application

    สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ร้านค้าจะได้รับก็คือ ได้อินไซต์ข้อมูลของลูกค้าที่สามารถนำไปต่อยอดทางธุรกิจได้ เป็นข้อมูลเชิงลึกถึงพฤติกรรมการซื้อ (Purchasing Behavior) ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่ความสนใจของลูกค้าแบบผิวเผิน รวมถึงได้ข้อมูลเชิงกว้างกว่า ถ้าร้านค้าพัฒนาระบบ CRM ของตัวเอง ก็จะเห็นข้อมูลแค่ร้านค้าของตนเองแค่อย่างเดียว แต่ The 1 BIZ ช่วยให้ร้านค้าเห็นพฤติกรรมของผู้บริโภคได้แบบ 360 องศา จากพันธมิตรร้านค้ากว่า 800 แบรนด์ ครบคลุมทุกอุตสาหกรรมกว่า 10 ล้าน SKUs

    โดยข้อมูลที่ได้มานั้น จะนำมาวิเคราะห์อย่างแม่นยำผ่าน Data Analyst ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างถูกต้อง แม่นยำที่สุด ตั้งแต่วิเคราะห์ปัญหาทางธุรกิจได้อย่างถูกจุด เพื่อเข้าถึงโอกาสของลูกค้า สามารถเพิ่มยอดขายจากการเข้าใจลูกค้าแบบ 360 องศา เพิ่มโอกาสในการเพิ่ม Basket size ลูกค้าได้จากการเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ครบแบบครบทุกมิติ รวมถึงเห็นโอกาสในการเข้าหาลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ

    นายอิศเรศ จิราธิวัฒน์ Head of Fashion and Luxury Partner Management บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า

    “สิ่งที่เซ็นทรัลพัฒนาทำได้สะท้อน Brand Purpose ที่ชัดเจน ซึ่งเราทำอย่างต่อเนื่องด้วยบทบาทของ Place Maker ตอนนี้ เราไม่ได้การปรับตัวทางธุรกิจตามเทรนด์เท่านั้น เพราะเราต้องตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคอยู่ตลอด ดังนั้นการเติบโตของเซ็นทรัลพัฒนา เรามองในภาพ Beyond Retail และมองไปถึงอีโคซิสเท็มทั้งระบบ เราไม่ได้สร้างแค่ศูนย์การค้าอีกต่อไป แต่ได้ขยายจุดแข็งที่เราเก่งในด้านค้าปลีกไปพัฒนาอสังหาฯ อื่นๆ ทั้งที่อยู่อาศัย, โรงแรม และออฟฟิศด้วย

    แต่อีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย เป็นหัวใจของทั้งเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป ที่เชื่อมทุกอย่างในระบบ นั่นก็คือ The 1 วันนี้เซ็นทรัลพัฒนาได้พูดถึงครบทุกมิติทั้ง B2C และ B2B การให้ผู้เช่าเข้าถึงโปรแกรม The 1 ได้ จะช่วยสร้างการเติบโตแบบติดสปีดได้อีก”

    นายอิศเรศ กล่าวเสริมอีกว่า “โปรแกรม The 1 BIZ จะช่วยตอบโจทย์ทั้งในแง่ของลูกค้า และผู้ประกอบการได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ  ในมุมลูกค้านั้น การสะสมแต้ม การแลกแต้มจะได้สิทธิประโยชน์ ได้ส่วนลดเพิ่มขึ้น จากพันธมิตรร้านค้าที่เพิ่มขึ้น พร้อมสนุกกับประสบการณ์ใหม่ๆ ในมุมของร้านค้า The 1 เป็นแพลตฟอร์มที่สตรองมาก และพร้อมใช้งานได้ทันที เรียกได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ Ready to Use และช่วยให้ธุรกิจ Ready to Scale สามารถเข้าถึงลูกค้า 20 ล้านคนได้ทันที พร้อมกับข้อมูลในมือที่นำไปต่อยอดวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ” 

    ร้านค้าผู้เช่าภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัลทุกร้าน สามารถเข้าร่วมโปรแกรมได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม ร้านแฟชั่น ร้านไอที และอื่นๆ อีกมากมาย หลังจากที่นำร่องโปรแกรม The 1 BIZ มาแล้ว มีบทพิสูจน์ความสำเร็จที่ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้ร้านค้าผู้เช่ามากมาย

    – จำนวนลูกค้าที่มาสะสม-แลกคะแนน The 1 ที่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นถึง 382% ต่อปี

    – ยอดขายของร้านเค้าที่เข้าร่วมโครงการ เติบโตมากกว่าถึง 10% (เทียบกับร้านที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการ)

    – ลูกค้าเข้ามาใช้จ่ายในร้านค้าที่ร่วมโครงการเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า (ในช่วงเวลาที่มีแคมเปญ)

    – จำนวนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นถึง 300% ใน 3 ปี

    ความสำเร็จของเซ็นทรัลพัฒนาในวันนี้ สู่การขยายบทบาทสู่ Holistic Partnership เป็นอีกก้าวของการทำธุรกิจค้าปลีกที่เข้าไปทำงานร่วมกันกับพาร์ทเนอร์ในทุกขั้นตอนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ผู้พัฒนา และให้เช่าพื้นที่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งการันตีได้เลยว่าเซ็นทรัลพัฒนาจะช่วยสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจไม่ว่าจะหน้าบ้าน หรือระบบหลังบ้านที่พร้อมซัพพอร์ตทุกโอกาส ซึ่งทำให้ทั้งอีโคซิทเท็มเติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน

    ]]>
    1466398
    ยืนหนึ่งยั่งยืนระดับโลก “เซ็นทรัลพัฒนา” คว้าที่ 1 DJSI World 2023 คะแนนสูงสุดจาก 299 บริษัทอสังหาฯ ทั่วโลก https://positioningmag.com/1463292 Wed, 21 Feb 2024 04:00:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463292

    ตัวจริง! บริษัทฯ ไทยสร้างชื่อระดับโลก สำหรับ “เซ็นทรัลพัฒนา” ผู้นำเบอร์หนึ่งอสังหาริมทรัพย์ไทย และผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ ได้ตอกย้ำความแข็งแกร่งขึ้นแท่นเบอร์ 1 องค์กรยั่งยืนระดับโลก โดยได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) สูงสุดเป็นอันดับ 1 ระดับโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Management& Development) จากการประกาศผล Sustainability Yearbook 2024 โดยS&P Global

    นับว่าเซ็นทรัลพัฒนาติดอันดับเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีโลก (DJSI World) ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 และกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (DJSI Emerging Markets) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10และเป็นสมาชิกของ S&P Global Sustainability Yearbook ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6


    เบอร์หนึ่งยั่งยืนระดับโลก…ความภูมิใจของทุกคน

    นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า

    “เซ็นทรัลพัฒนา เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีมูลค่าองค์กรสูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยการได้รับคัดเลือกให้อยู่ในดัชนีความยั่งยืนดาวน์โจนส์ DJSI มาอย่างต่อเนื่อง นับเป็นความภาคภูมิใจของเซ็นทรัลพัฒนาทั้งในฐานะที่เป็นตัวแทนของบริษัทคนไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ รวมถึงสะท้อนนโยบายและแนวทางของประเทศไทย ที่ต้องการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกในการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนในทุกๆ ด้าน

    “การได้รับรางวัลผู้นำอันดับหนึ่ง DJSI World 2023 ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นี้ นับเป็นรางวัลของประเทศ…ของทุกคน จากผลลัพธ์ความมุ่งมั่นของพนักงาน และความร่วมมือกับพันธมิตร ทั้งผู้เช่า คู่ค้า และซัพพลายเออร์ จึงขอขอบคุณทุกความพยายามที่ร่วมกันเสริมสร้างผลการดำเนินงานขององค์กรในด้าน ESG อย่างต่อเนื่อง”

    ดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) เป็นดัชนีที่คัดเลือก “หุ้นยั่งยืนระดับโลก” เป็นดัชนีหลักทรัพย์ของบริษัทชั้นนำระดับโลกที่มีความโดดเด่นในการทำธุรกิจ และคำนึงถึงประเด็นเรื่องความยั่งยืนเป็นหลัก โดยผ่านการประเมินความยั่งยืนรายปี จัดอันดับโดย S&P Global ตามตัวชี้วัดด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมตามแนวทางการพัฒนาธุรกิจที่ยั่งยืน ซึ่งผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลกให้การยอมรับและใช้เป็นข้อมูลในการลงทุนที่มีผู้ลงทุนสถาบันและกองทุนต่างๆ ทั่วโลกให้ความสนใจลงทุนคิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2023 มีบริษัททั่วโลกเข้าร่วมการประเมิน 9,400 แห่ง

    การได้รับจัดอันดับเป็นเบอร์ 1 ของโลกก็ไม่ได้มาง่ายๆ เซ็นทรัลพัฒนา ได้ดำเนินธุรกิจที่ด้วยกลยุทธ์หลักที่สำคัญ คือการสร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่ง โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง หรือ Customer-Centric เพื่อตอบโจทย์ความต้องการทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า และให้ความสำคัญกับพันธมิตรทุกฝ่ายร่วมมือกันเป็น Partner Champions ให้คู่ค้าเติบโตไปด้วยกัน ทำให้เซ็นทรัลพัฒนาก้าวสู่อันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ผ่านความสำเร็จของเป้าหมาย 3 ด้าน ดังนี้

    1. Planet : Journey to NET Zero 2050

    ด้วยความมุ่งมั่นดำเนินตามเป้าหมายปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็น ‘ศูนย์’ เพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เซ็นทรัลพัฒนาจึงพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามแนวทางอาคารประหยัดพลังงาน หรือ Green Building ทำให้ที่ผ่านมาได้รับรางวัล Thailand Energy Awards แล้วจำนวน 45รางวัล รางวัล MEA Energy Awards 17 รางวัล รางวัลระดับอาเซียน Asean Energy Awards 13รางวัล และได้รับการรับรองประกาศนียบัตรLeadership in Energy & Environmental Design (LEED) อีก 3 อาคาร ซึ่งล่าสุดได้รับการรับรองLEED ระดับ ‘Gold’ ที่ centralwOrld Offices ด้วยกระบวนการออกแบบบูรณาการ ซึ่งผสมผสานเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ประกอบกับมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้า ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน และจัดการขยะ

    ส่งผลให้มีการลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์โดยรวมได้ 19.3% เมื่อเทียบกับปี 2019นอกจากนี้ ยังขยายการติดตั้ง Solar Rooftop บนอาคารศูนย์การค้ารวม 26 แห่ง จัดตั้งจุดรีไซเคิลถาวรและหมุนเวียน15 แห่ง ให้ชุมชนมีโอกาสได้ร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อม จัดการขยะตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดขยะฝังกลบได้กว่า 31,000 ตัน รวมถึง ติดตั้ง EV Charging Station ในศูนย์การค้า 40 แห่ง 19 จังหวัดทั่วประเทศ รวมกว่า 400 ช่องจอด โดยเซ็นทรัลพัฒนายังคงมุ่งมั่นพัฒนามาตรการประหยัดพลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่อิงหลักวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง Science Based Targets initiativeหรือ SBTi

    1. People : ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชนทั่วประเทศ (Local Wealth)

    สร้างศูนย์กลางของชุมชนในการสร้างความมั่งคั่งและมั่นคงทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ด้วยการสนับสนุนพื้นที่ขายสินค้าให้ชุมชน เกษตรกร SMEs เช่น โครงการหลวง ตลาดจริงใจฟาร์เมอร์มาร์เก็ต สินค้า OTOP สร้างรายได้รวมมูลค่า 411 ล้านบาท และ สนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ด้านสาธารณสุข กีฬา ศิลปวัฒนธรรม ศูนย์บริการหนังสือเดินทาง หน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ และศูนย์รับบริจาคโลหิตถาวรระดับจังหวัด รวม 15 ล้านซีซีรวมกว่า1,650 กิจกรรมของศูนย์การค้า พร้อมสนับสนุนท้องถิ่นผ่านการจัดซื้อ จัดจ้างอีกกว่า 5,300 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ผนึกกำลังสร้าง ‘Sustainable Tourism Ecosystem’ ผ่านแคมเปญ “GO LOCAL, LOVE LOCAL” ผลักดันการท่องเที่ยวของไทยทั่วประเทศ เพื่อกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น

    1. Place : Synergy for new solutionsผนึกกำลังพันธมิตรคู่ค้า และร้านค้าเพื่อยกระดับการใช้ชีวิตแบบครบวงจร

    Retail-led Mixed-use development อำนวยความสะดวกสบาย และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมให้ผู้คนในระดับภูมิภาคของประเทศ โดยให้บริการสาธารณะแก่ชุมชนรวมกว่า 4 ล้านคนในปีที่ผ่านมา ด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบบนพื้นฐานการกำกับดูแลที่ดีมีจรรยาบรรณ ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน เคารพสิทธิมนุษยชน และให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างจริงจัง มีมาตรการจัดการความเสี่ยง มาตรการความปลอดภัย การรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากนี้ ยังวางแผนลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี ด้วยมูลค่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 120,000 ล้านบาท ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อยกระดับความเจริญแก่ชุมชนท้องถิ่น ด้วยความมุ่งมั่นสร้างคุณค่าสู่สังคมผ่านกระบวนการทางธุรกิจ เพิ่มโอกาสในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ชุมชนในระยะยาว นำไปสู่การยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีและพัฒนาความยั่งยืนให้แก่ผู้คนในประเทศอย่างแท้จริง

    #CentralPattana #Imaginingbetterfuturesforall #centralwOrld #เซ็นทรัลพัฒนา #เซ็นทรัลเวิลด์

    ]]>
    1463292