เมืองท่องเที่ยว – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 12 Feb 2024 12:49:22 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “แอสเซทไวส์” ลุย “เมืองท่องเที่ยว” เกินครึ่งพอร์ตเปิดใหม่ปี’67 ”ภูเก็ต“ บูมสุดขีด-ต่างชาติทะลักเข้าเกาะ https://positioningmag.com/1462384 Mon, 12 Feb 2024 12:02:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1462384
  • เปิดแผน “แอสเซทไวส์” ปี 2567 เปิดตัวโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่ารวม 25,920 ล้านบาท โดยเกือบ 60% ของมูลค่าการเปิดตัวจะลงทุนใน “เมืองท่องเที่ยว” ที่ “ภูเก็ต” และ “พัทยา”
  • “แคมปัส คอนโด” แบรนด์ Kave ยังไปต่อที่ “รร.บดินทรเดชา” “บางมด” และ “ม.ศิลปากร สนามจันทร์“
  • “กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) นำทีมผู้บริหารแถลงแผนธุรกิจปี 2567 ปีที่ภาวะเศรษฐกิจซึมเซาและภาวะดอกเบี้ยสูงยังเป็นปัจจัยลบรุมเร้าภาคอสังหาริมทรัพย์

    โดยปี 2567 แอสเซทไวส์จะมีการเปิดตัว 12 โครงการ มูลค่ารวม 25,920 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 17,800 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้ 8,700 ล้านบาท

    การเปิดตัวโครงการในปีนี้ถือว่าน้อยลงจากปีก่อน -14% ที่แอสเซทไวส์เปิดตัวไปถึง 15 โครงการ มูลค่ารวม 30,260 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เป้าหมายยอดขายปีนี้ยังปรับเพิ่มขึ้น 8%

     

    เกือบ 60% เทให้ “เมืองท่องเที่ยว”

    แอสเซทไวส์มีพอร์ตที่แข็งแกร่งจากการเปิด “แคมปัส คอนโด” มาโดยตลอด แต่ปีนี้ถือว่าเป็นการบุกน่านน้ำใหม่ใน “เมืองท่องเที่ยว” อย่างเต็มตัว โดยแผน 12 โครงการที่จะเปิดใหม่แบ่งตามหน่วยธุรกิจได้ ดังนี้

    1.กลุ่มคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ารวม 10,820 ล้านบาท
    – Kave Playground ลาดพร้าว-บดินทรเดชา
    – Kave Luminous บางมด (ทำเลใกล้ มจธ.)
    – Kave Genesis ม.ศิลปากร สนามจันทร์
    – Maroon รัชดา 32
    – Atmoz รังสิต
    – Aquarious จอมเทียน-พัทยา (*มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท)

    แอสเซทไวส์ 2567
    Kave Luminous บางมด

    2.กลุ่มโครงการแนวราบ 3 โครงการ มูลค่ารวม 4,100 ล้านบาท
    – Esta Serenity บรมราชชนนี-พุทธมณฑลสาย 7
    – Chann The Riverside บรมราชชนนี-พุทธมณฑลสาย 7
    – The Arbor รามอินทรา-วัชรพล

    Chann The Riverside บรมราชชนนี-พุทธมณฑลสาย 7 แบรนด์ใหม่จากบริษัท ออกแบบในสไตล์บ้านทรงไทยโมเดิร์น

    3.กลุ่มโครงการภูเก็ต 3 โครงการ มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท
    – The Title Heritage บางเทา
    – The Title Serenity ในยาง
    – The Title ราไวย์

    หากรวมเฉพาะโครงการในต่างจังหวัด จะเห็นว่าปีนี้แอสเซทไวส์เปิดตัวในกลุ่มเมืองท่องเที่ยวภูเก็ตและพัทยาถึง 4 โครงการ มูลค่ารวม 15,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 60% ของพอร์ตเปิดตัวใหม่ปี 2567

    “ปี 2567 ของไทย ธุรกิจที่ได้เปรียบที่สุดปีนี้คือ ‘การท่องเที่ยว’ และการท่องเที่ยวคือประตูในการดึงต่างชาติเข้ามาลงทุนซื้ออสังหาฯ หรือซื้อเพื่ออยู่อาศัยในระยะยาว การท่องเที่ยวจะเป็นผลดีต่อภาคอสังหาฯ” กรมเชษฐ์กล่าว โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้ไว้ถึง 40 ล้านคน และคาดจะสร้างรายได้ให้ประเทศถึง 2.5 ล้านล้านบาท

    ทีมผู้บริหารแอสเซทไวส์

    เมื่อปี 2566 แอสเซทไวส์เตรียมพร้อมที่จะบุกเมืองท่องเที่ยวเต็มที่ด้วยการเข้าซื้อหุ้นสัดส่วน 67.61% ใน บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเอ็มเอไอ และบริษัทนี้มีประสบการณ์พัฒนาอสังหาฯ ในจ.ภูเก็ต มานาน 10 ปี ทำให้แอสเซทไวส์สามารถเข้าสู่ตลาดภูเก็ตได้ทันที

    หลังเข้าถือหุ้นใหญ่ในร่มโพธิ์ บริษัทมีการเปิดตัวโครงการ “The Title Legendary บางเทา” มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาทไปเมื่อปลายปีก่อน และสร้างยอดขายได้แล้ว 82%

    “เราไม่ได้ขายราคาสูงมาก อย่างโครงการ The Title Serenity ในยาง จะเปิดราคาเริ่ม 2 ล้านกว่าบาทต่อยูนิตเท่านั้น พูดง่ายๆ คือต่างชาติกำเงินมาแค่ 1 แสนดอลลาร์สหรัฐ สามารถซื้อคอนโดฯ อยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวแบบ ‘world destination’ ได้แล้ว” กรมเชษฐ์กล่าวถึงเหตุผลที่ชาวต่างชาติมากมายสนใจซื้ออสังหาฯ ในภูเก็ต

    ปัจจุบันแอสเซทไวส์มีที่ดินพัฒนาอสังหาฯ ในภูเก็ตพร้อมทำโครงการมูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท มีการพัฒนาแล้ว 4 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือคาดว่าจะทยอยพัฒนาได้อีก 3 ปี แต่บริษัทยังคงมองหาที่ดินที่น่าสนใจอย่างต่อเนื่อง

     

    “แคมปัส คอนโด” ยังไปต่อ – ขยายดักหน้า “โรงเรียน”

    สำหรับโครงการสร้างชื่อของแอสเซทไวส์คือกลุ่ม “แคมปัส คอนโด” ปีนี้ก็ยังมีมาเพิ่มอีก 3 โครงการภายใต้แบรนด์ Kave

    Kave Playground ลาดพร้าว-บดินทรเดชา

    ที่เป็นไฮไลต์คือการเปิด “Kave Playground ลาดพร้าว-บดินทรเดชา” เพราะเป็นการพัฒนาบนที่ดินตรงข้าม “โรงเรียน บดินทรเดชา 1” ในซอยรามคำแหง 43/1 ชิดติดแบบเดินข้ามถนนเข้าโรงเรียนได้เลย เปิดราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาทต่อยูนิต

    ถือว่าเป็นการเปิดตลาดการพัฒนาคอนโดฯ ติดรั้วโรงเรียนดังที่เป็นโรงเรียนรัฐบาล แตกต่างจากปกติที่ดีเวลอปเปอร์มักจะสนใจพัฒนาคอนโดฯ ใกล้โรงเรียนนานาชาติมากกว่าเพราะผู้ปกครองมีกำลังซื้อสูงแน่นอน เช่น Rhythm เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน ที่อยู่ตรงข้ามรร.นานาชาติโชรส์เบอรี่ หรือ KingsQuare Residence ที่อยู่ใกล้รร.นานาชาติ King’s College

    ที่พักอาศัยใกล้โรงเรียนดังมักจะได้รับความสนใจจากผู้ปกครองที่ต้องการให้ลูกอยู่อาศัยใกล้โรงเรียน ได้พักผ่อนเพียงพอ มีเวลาว่างมากขึ้น และปลอดภัยในการเดินทาง การเปิดตลาดของแอสเซทไวส์จึงน่าจับตามองว่าจะได้รับเสียงตอบรับแค่ไหน และจะขยายไปยังโรงเรียนใดอีก

    ]]>
    1462384
    “ฮาบิแทท” จับมือทุนท้องถิ่น “เฮงตระกูล” ขึ้นโครงการพูลวิลล่า “พัทยา” ตอบรับท่องเที่ยวฟื้น https://positioningmag.com/1404578 Tue, 18 Oct 2022 10:12:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1404578 “ฮาบิแทท” ร่วมทุน “เฮงตระกูล” ทุนท้องถิ่นในจังหวัดชลบุรี ขึ้นโครงการ “ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา” วิลล่าระดับกลางบนราคา 8-15 ล้านบาท ตั้งเป้าขายทั้งกลุ่มซื้ออยู่เองและนักลงทุน ตอบรับธุรกิจท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว ฝากความหวังรัฐปลดล็อกต่างชาติซื้อที่ดินได้ ช่วยเร่งยอดขายได้ทันที

    “ชนินทร์ วานิชวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ร่วมกับ “รัฐกิจ เฮงตระกูล” เจ้าของที่ดินที่จะนำมาพัฒนา เปิดเผยถึงความร่วมมือการเปิดโครงการใหม่ “ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา” มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท บนเนื้อที่ดิน 51 ไร่ (รวมสองเฟส) ถือเป็นโครงการพูลวิลล่าขนาดใหญ่ในทำเลห้วยใหญ่ เมืองพัทยา

    โครงการนี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายจับมือกันผ่านการตั้ง บริษัท ฮาบิแทท วิลล่า จำกัด โดยฮาบิแทท กรุ๊ป ลงทุน 70% และฝั่งเฮงตระกูลลงทุน 30% จากนั้นใช้บริษัทนี้จัดซื้อที่ดินของตระกูลเข้ามาในบริษัทเพื่อพัฒนาโครงการ

    ฮาบิแทท เฮงตระกูล พัทยา
    ชนินทร์ วานิชวงศ์ และ รัฐกิจ เฮงตระกูล

    ชนินทร์กล่าวว่า เฟสแรกของโครงการจะเปิดพรีเซลก่อน 65 หลัง เริ่มขายเดือนพฤศจิกายนนี้ ราคาพรีเซล 8-15 ล้านบาท ส่วนเฟสสองคาดว่าจะมีอีกมากกว่า 100 หลัง น่าจะเริ่มเปิดขายได้ไตรมาส 3 ปี 2566 และน่าจะปรับราคาขึ้นได้อีก 5-7% จากเฟสแรก

    ฮาบิแทท กรุ๊ป นั้นถือเป็นนักพัฒนาอสังหาฯ ที่ลงทุน ‘Vacation Home’ มามาก โดยใน 12 โครงการที่บริษัทเคยพัฒนา มี 8 โครงการที่เป็นลักษณะคอนโดมิเนียมหรือบ้านพักตากอากาศ หลายโครงการจะเป็น Branded Residences ใช้แบรนด์โรงแรมในการบริหาร ทำให้ดึงดูดกลุ่มนักลงทุนได้ดี

    ก่อนหน้าที่จะมีโครงการนี้ ฮาบิแทท กรุ๊ปเคยพัฒนาพูลวิลล่ามาแล้ว 2 แห่ง คือ The Ville จอมเทียน เป็นพูลวิลล่า 80 หลัง ราคา 8-13 ล้านบาท และ ครอสทู (X2) พัทยา โอเชียนเฟียร์ พูลวิลล่า 59 หลัง ราคา 10-15 ล้านบาท โครงการนี้เองที่นับว่าสร้างชื่อเสียงให้ฮาบิแทท กรุ๊ป เพราะเมื่อสร้างเสร็จเปิดบริการเป็นโรงแรมในปี 2561 โรงแรมได้รับความนิยมมากในแง่การออกแบบที่มีรสนิยม ทำให้ได้อัตราเข้าพักเฉลี่ยที่ 70% ต่อปี (ก่อนโควิด-19)

     

    พูลวิลล่าโครงการใหญ่ เจาะตลาดกลางบน

    ชนินทร์กล่าวต่อไปว่า จากทั้งสองโครงการก่อนหน้าที่ประสบความสำเร็จ ขายหมดภายใน 2 ปี และการวิจัยตลาดพัทยาพบว่า โครงการรูปแบบพูลวิลล่ามีไม่มากนัก คือมีเพียง 541 ยูนิต และทำยอดขายได้ 73% ถือว่าเป็นตลาดที่มีดีมานด์

    ส่วนกลางโครงการไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา

    ทำให้ปีนี้บริษัทกลับมาลงทุนพูลวิลล่าอีกครั้ง และครั้งนี้มาด้วยโครงการที่ใหญ่กว่าเดิม สามารถเพิ่มสัดส่วนพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ 3 ไร่ไว้รองรับลูกบ้านได้ โดยจะมีทั้งคลับเฮาส์ สระว่ายน้ำ และจ็อกกิ้ง แทร็ค เชื่อว่าจะเป็นจุดขายสำคัญให้กับโครงการ ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา เพราะโครงการพูลวิลล่าอื่นๆ ในพัทยาส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กเพียง 5-15 หลัง ทำให้มักจะไม่มีส่วนกลางหรือมีน้อย

    ส่วนรูปแบบบ้านเป็นพูลวิลล่าทุกหลัง ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ ทุกหลังเช่นกัน เพราะจากการบริหาร The Ville จอมเทียน ทำให้ทราบว่ากลุ่มลูกค้าผู้เช่ามักจะต้องการบ้านหลังใหญ่ บ้านที่มี 4 ห้องนอนขึ้นไปมีโอกาสปล่อยเช่าดีกว่าบ้านขนาด 3 ห้องนอน เพราะผู้เช่ามักจะเดินทางมาเป็นครอบครัวใหญ่ หรือเป็นเพื่อนฝูงมาเที่ยวร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่

    ฮาบิแทท พัทยา
    (บน) แบบบ้านโรสวู้ด (ล่าง) แบบบ้านแคสเซีย

    ส่วนระดับราคา 8-15 ล้านบาทก็เชื่อว่าจะตรงกลุ่มเป้าหมายในพัทยา เป็นราคาระดับกลางบนที่ทำยอดขายได้ดีในพื้นที่

    ชนินทร์กล่าวว่า เป้าหมายลูกค้าน่าจะมีทั้งกลุ่มที่ซื้ออยู่เองเพื่อเป็นบ้านตากอากาศหรือบ้านหลังเกษียณ รวมถึงกลุ่มนักลงทุนปล่อยเช่า คาดผู้ซื้อจะเป็นกลุ่มลูกค้าคนไทย 70% และต่างชาติ 30%

    ทั้งนี้ โครงการนี้ฮาบิแทท กรุ๊ปไม่ได้มีการทำสัญญารับบริหารเหมือนเคย เพราะไม่ได้จดทะเบียนเป็นโรงแรม ลูกค้าที่ต้องการซื้อปล่อยเช่าสามารถดำเนินการเองได้

     

    ปี’66 ผู้เช่าระยะยาวจากต่างประเทศจะกลับมา

    ในด้านการปล่อยเช่าพูลวิลล่าในพัทยา ชนินทร์กล่าวว่าขณะนี้ผู้เช่าส่วนใหญ่ 70% จะเป็นคนไทยซึ่งนิยมมาเที่ยวช่วงสุดสัปดาห์ และ 30% เป็นชาวต่างชาติที่นิยมพักระยะยาว

    อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปี 2566 จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน ผู้เช่าพูลวิลล่าน่าจะเป็นคนไทยกับต่างชาติฝั่งละ 50:50 และต่อไปก็น่าจะมีชาวต่างชาติเช่ามากกว่า เพราะสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวมากขึ้นเรื่อยๆ

    ก่อนหน้าโควิด-19 เมืองพัทยาเป็นจุดหมายสำคัญของผู้เช่าต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน, ตะวันออกกลาง และยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียจะนิยมเช่าบ้าน เพราะต้องการพักระยะยาวหนีหนาว 3-4 เดือนต่อปี

    สำหรับราคาค่าเช่าพูลวิลล่าระดับกลางบนในพัทยาจะอยู่ที่คืนละ 7,000-10,000 บาท ทำให้ถ้าหากลงทุนซื้อบ้านราคา 12 ล้านบาท และสามารถปล่อยเช่าได้อย่างน้อย 60% หรือเฉลี่ยประมาณ 18 คืนต่อเดือน คาดว่าผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนการเช่า (yield) ราว 7% ต่อปี

    ชนินทร์ยังกล่าวถึงมาตรการรัฐที่มีแนวทางจะปลดล็อกให้ต่างชาติซื้อที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยในไทยได้ไม่เกิน 1 ไร่ว่า หากมาตรการนี้เกิดขึ้นจริง เชื่อว่าจะทำให้ยอดขายโครงการบ้านพักตากอากาศดีขึ้นทันที เพราะดีมานด์ต่างชาติมีอยู่เสมอ เฉพาะชาวจีนที่ทำงานในประเทศไทยก็พร้อมที่จะเข้าซื้อจำนวนมาก รวมถึงกลุ่มยุโรปที่ต้องการซื้อบ้านเพื่อเกษียณอายุด้วย

    ฝั่งเฮงตระกูลนั้นยังมีที่ดินเปล่าอยู่ในจ.ชลบุรีอีกราว 20-30 แปลง รวม 300-400 ไร่ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะมีการลงทุนร่วมกันต่อหรือไม่และจะเป็นที่ไหน ขอรอดูผลตอบรับของโครงการนี้ก่อน

    ]]>
    1404578
    จับชีพจร “คอนโดฯ” กำลังจะพ้นจุดต่ำสุด ขณะที่ “บ้านเช่า” เมืองท่องเที่ยวกลับมาบูม! https://positioningmag.com/1385991 Thu, 19 May 2022 11:44:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1385991 รายงานสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ จาก “ดีดีพร็อพเพอร์ตี้” สำรวจรอบ 4 เดือนแรกปี 2565 พบว่า ตลาด “คอนโดฯ” กำลังจะพ้นจุดต่ำสุด ห้ามเลือดราคาที่ตกต่ำลงมาตลอดช่วงโควิด-19 ได้แล้ว ขณะที่ตลาดน่าสนใจอยู่ที่ “บ้านเช่า” ในเมืองท่องเที่ยว ภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ กลับมาบูม ดีมานด์พุ่งจากกระแสนักท่องเที่ยว คนทำงานทางไกล (Work from Anywhere)

    กมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยรายงานสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ สำรวจรอบ 4 เดือนแรก (มกราคม-เมษายน) ปี 2565 ภาพรวมตลาดประเทศไทย พบว่า ดีมานด์ค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 3/64 โดยไตรมาสล่าสุดมีดีมานด์เพิ่มขึ้น +30% YoY แต่ซัพพลายก็ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยไตรมาสล่าสุดซัพพลายปรับเพิ่ม +15% YoY ทำให้ราคาโดยภาพรวมก็ยังคงลดลง -7% YoY

    อย่างไรก็ตาม ถ้าดูแยกย่อยตามประเภทสินค้าแล้ว จะพบว่า “บ้านเดี่ยว” เป็นกลุ่มสินค้าที่มาแรงกว่าตลาด โดยมีดีมานด์สูงมาก และทำให้ราคาปรับขึ้นได้ +8% YoY (ยิ่งในตลาดกรุงเทพฯ บ้านเดี่ยวขึ้นราคาถึง +19% YoY) ส่วนสินค้า “ทาวน์เฮาส์” ก็ขึ้นราคาได้เล็กน้อย +2% YoY

    สินค้าที่ถือว่าตลาดซึมเซาลงไปนั้นคือ “คอนโดฯ” โดยราคาตกลง -6% YoY อย่างไรก็ตาม หากดูจากเส้นกราฟจะเห็นว่าราคาคอนโดฯ ที่ลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 4/62 เริ่มเข้าสู่ระดับทรงตัวแล้ว

    กมลภัทรเชื่อว่า ตลาดคอนโดฯ น่าจะถึงจุดต่ำสุด เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของวิกฤต และน่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นราคาได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ เนื่องจากดีมานด์ที่น่าจะกลับเพิ่มขึ้นแล้ว รวมถึงยังเกิดจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างและพลังงานที่จะบีบให้ผู้ประกอบการจำต้องขึ้นราคา ดังนั้น ผู้ต้องการซื้อคอนโดฯ ควรจะเร่งการตัดสินใจภายในไตรมาส 2 นี้ ก่อนที่ราคาจะทยอยปรับขึ้น

     

    “บ้านเช่า” เมืองท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก

    ไฮไลต์อีกส่วนที่น่าสนใจคือตลาด “บ้านเช่า” และ “คอนโดฯ ให้เช่า” ในหัวเมืองจังหวัดท่องเที่ยว โดยดีดีพร็อพเพอร์ตี้เสนอข้อมูล 3 จังหวัด คือ ภูเก็ต, พัทยา และเชียงใหม่ ภาพรวมพบว่า ดีมานด์การเช่าอสังหาฯ กลับมาพุ่งสูงทุกจังหวัด แต่ด้วยซัพพลายที่เข้าสู่ตลาดมากเช่นกัน ทำให้ราคาอาจจะยังปรับขึ้นไม่ได้ ดังนี้

    • ภูเก็ต – ดีมานด์ +234% YoY ซัพพลาย +21% YoY ราคาเช่า -12% YoY
    • พัทยา – ดีมานด์ +138% YoY ซัพพลาย +233% YoY ราคาเช่า -27% YoY
    • เชียงใหม่ – ดีมานด์ +51% YoY ซัพพลาย +26% YoY ราคาเช่า +0% YoY
    (Photo : Shutterstock)

    กมลภัทรมองว่า ตลาดเช่าเหล่านี้กลับมาเติบโตด้วยกระแสการท่องเที่ยวไทยที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และโลกยุคหลังโควิด-19 มีหลายบริษัทที่อนุญาตให้ทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) ทำให้ทั้งชาวต่างชาติจำนวนมากเลือกมาอาศัยพร้อมท่องเที่ยวในประเทศที่ค่าครองชีพต่ำลง และได้บรรยากาศในการพักผ่อน

    โดยสรุปภาพรวมตลาดอสังหาฯ ไทยครึ่งปีหลัง 2565 ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ประเมินว่าจะเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัว แต่เป็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆ เนื่องจากไทยยังมีปัจจัยลบหลายด้านรุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ยังซบเซา อัตราเงินเฟ้อ ต้นทุนค่าก่อสร้างสูง ต้องจับตาในช่วงครึ่งปีหลังว่า เมื่อไทยปรับเปลี่ยนให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น จะส่งผลให้การเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจผลักดันประเทศได้มากแค่ไหน

    ]]>
    1385991
    “ไทย” ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ประเทศที่คน “มาเลย์-สิงคโปร์-เกาหลี” อยากมาเที่ยวมากที่สุด https://positioningmag.com/1383553 Sat, 30 Apr 2022 05:42:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1383553 Agoda สำรวจการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อมาพักผ่อนในเดือนพฤษภาคม 2565 พบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจากมาเลเซีย สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ค้นหาการมาเที่ยว “ไทย” เป็นอันดับ 1 สะท้อนแรงดึงดูดของไทยหลังจากผ่อนคลายขั้นตอนการเข้าเมือง ไม่ต้องตรวจ RT-PCR ตั้งแต่ 1 พ.ค. นี้

    การสำรวจการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกโดย Agoda พบว่า “ไทย” เป็นจุดหมายอันดับ 1 ที่คนหลายประเทศค้นหามากที่สุด ดังนี้

    • มาเลเซีย – 1) ไทย  2) สิงคโปร์ 3) อังกฤษ
    • สิงคโปร์ – 1) ไทย 2) สิงคโปร์ 3) อินโดนีเซีย
    • เกาหลีใต้ – 1) ไทย 2) สหรัฐอเมริกา 3) เวียดนาม
    • ฟิลิปปินส์ – 1) สิงคโปร์ 2) สหรัฐอเมริกา 3) ไทย
    • อินโดนีเซีย – 1) สิงคโปร์ 2) สหรัฐอเมริกา 3) มาเลเซีย

    จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยอดนิยมในแถบนี้ มีเพียงชาวอินโดนีเซียที่ประเทศไทยไม่สามารถเข้าไปอยู่ใน 3 อันดับแรกสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมได้

    หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต วันที่ 16 พ.ย. 2564

    นอกจากแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในไทยแล้ว การผ่อนคลายวิธีการเข้าเมืองให้ง่ายขึ้นของไทยน่าจะส่งผลให้นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางเข้ามามากขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2565 ประเทศไทยจะลดขั้นตอนสำหรับผู้เดินทางเข้าเมืองที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว เพียงลงทะเบียนข้อมูลใน Thailand Pass และเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องตรวจ RT-PCR เมื่อเดินทางมาถึง มีเพียงข้อแนะนำให้ตรวจ ATK เท่านั้น

     

    คนไทยอยากไป “สิงคโปร์” มากที่สุด

    สำหรับนักท่องเที่ยวไทย หากไม่นับการท่องเที่ยวในประเทศที่ยังครองใจมากที่สุดในระยะนี้ การเดินทางต่างประเทศ 5 อันดับแรกที่คนไทยต้องการไปมากที่สุด ได้แก่

    1. สิงคโปร์
    2. เกาหลีใต้
    3. ญี่ปุ่น
    4. สหรัฐอเมริกา
    5. อังกฤษ
    “เกาหลีใต้” กำลังมาแรงในหมู่คนไทยที่ต้องการเที่ยวต่างประเทศ

    ที่น่าสนใจคือประเทศเกาหลีใต้ซึ่งการสำรวจเมื่อเดือนเมษายนยังอยู่ในอันดับ 6 แต่ล่าสุดพุ่งขึ้นมาเป็นอันดับ 2 หลังจากผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศ ทำให้คนไทยเริ่มค้นหาและวางแผนการท่องเที่ยวกันทันที

     

    “ทะเล” บูมสุดขีด

    ช่วงเดือนพฤษภาคม “ทะเล” ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนไทยนิยม โดยสองอันดับแรกคือพัทยาและหัวหิน ยังคงครองใจคนไทยสูงสุดเมื่อคิดจะไปท่องเที่ยว โดย 10 อันดับแรกเมืองที่คนไทยค้นหามากที่สุด ได้แก่

    1. พัทยา
    2. หัวหิน
    3. ภูเก็ต
    4. กรุงเทพฯ
    5. เขาใหญ่
    6. เชียงใหม่
    7. กระบี่
    8. กาญจนบุรี
    9. ชลบุรี
    10. เกาะช้าง
    ]]>
    1383553
    เจอกันหลัง COVID-19 เปิดลิสต์ “เมืองท่องเที่ยว” ที่คนไทยอยากไปมากที่สุด เมื่อพ้นวิกฤต https://positioningmag.com/1279449 Tue, 19 May 2020 11:52:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1279449 เชื่อว่าหลายคนกำลังเฝ้ารอคอยจะได้ไปท่องเที่ยว จดลิสต์สถานที่ต่าง ๆ เก็บไว้ เมื่อผ่านพ้นวิกฤตการเเพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เเล้วก็หวังจะเดินทางไปเยี่ยมชมให้ได้

    เจาะลึกลงในอันดับ Wish-list หรือรายการที่พักโปรดนับล้านแห่งบนจุดหมายปลายทางกว่า 100,000 แห่ง ที่รวบรวมข้อมูลจากนักท่องเที่ยวที่หวังจะได้ท่องเที่ยวอีกครั้งบนแพลตฟอร์มของ Booking.com ตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเริ่มตั้งแต่เดือน มี.ค. เผยให้เห็นจุดหมายปลายทางและที่พักที่ผู้คนตั้งตาคอยเมื่อสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้อีกครั้ง

    ที่เห็นได้ชัดคือ การท่องเที่ยวในฝันของคนทั่วโลก เปลี่ยนมาเน้นที่การเดินทาง “ภายในประเทศ” มากขึ้น เมื่อเทียบกับ Wish-list ของที่พักในประเทศที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

    แหล่งท่องเที่ยวในเมืองและติดชายหาด อย่างกรุงเทพฯ, หัวหิน, เชียงใหม่, เกาะช้าง และหาดจอมเทียนติดอันดับ Wish-list จุดหมายปลายทางของชาวไทยระหว่างช่วงกักตัว

    โดยคนไทยอยากจะพัก “โรงเเรม” มากที่สุดบน Wish-list สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกเล็กน้อย ขณะที่ 1 ใน 5 นักท่องเที่ยวชาวไทยหรือราว 21% ที่ใช้ Booking.com ต้องการเข้าพักในรีสอร์ต สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ต้องการเข้าพักในรีสอร์ตเพียง 6%

    -หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ Photo : Booking.com

    “อยากไปทะเล” คนไทยเลือกเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น

    จุดหมายปลายยอดนิยมในต่างประเทศ เช่น บาหลี, อันดาลูเซีย, ลอนดอน, ฟลอริดา และปารีส ยังคงเป็นเป้าหมายการเดินทางหลักที่สร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้คนทั่วโลก

    ขณะเดียวกันการท่องเที่ยวภายในประเทศก็ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมีสัดส่วนมากกว่าครึ่ง หรือ 51 % ของ Wish-list ทั่วโลกระหว่างช่วงสถานการณ์ครั้งนี้ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วถึง 1 ใน 3 (หรือ 33 %)
    สำหรับ Wish-list ของประเทศไทย นักท่องเที่ยวนิยมจุดหมายปลายทางในประเทศสูงถึง 72% ในขณะที่ปี 2562 อยู่ที่เพียง 54 %

    โดยตั้งแต่เริ่มเดือน มี.ค. อันดับ Wish-list สำหรับจุดหมายปลายทางยอดนิยมในประเทศของคนไทย ได้แก่ กรุงเทพฯ, หัวหิน, เชียงใหม่, เกาะช้าง และหาดจอมเทียน บ่งชี้ให้เห็นว่าเมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและวัฒนธรรม ตลอดจนเมืองติดชายหาด เป็นสิ่งแรกที่นักท่องเที่ยวชาวไทยจินตนาการถึงเมื่อต้องกักตัวเป็นเวลาหลายสัปดาห์

    Booking.com เผยว่าสิ่งที่อาจทำให้จุดหมายปลายทางเหล่านี้เป็นที่นิยมและดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยคือประสบการณ์ความตื่นเต้นต่างๆ ที่ได้จากจุดหมายปลายทางเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น ตลาดกลางคืน อาหารหลากหลายประเภท ตลอดจนกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ ทั้งการดำน้ำหรือขี่ม้า

    10 อันดับ จุดหมายปลายทางยอดนิยมในประเทศไทย

    1.กรุงเทพฯ
    2.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
    3.เชียงใหม่
    4.เกาะช้าง จ.ตราด
    5.หาดจอมเทียน จ.ชลบุรี
    6.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี
    7.หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต
    8.ชะอำ จ.เพชรบุรี
    9.พัทยาใต้ จ.ชลบุรี
    10.อ่าวนาง จ.กระบี่

    10 อันดับ จุดหมายปลายทางต่างประเทศยอดนิยมสำหรับคนไทย

    1.โตเกียว (ญี่ปุ่น)
    2.โซล (เกาหลีใต้)
    3.โอซาก้า (ญี่ปุ่น)
    4.สิงคโปร์
    5.อูบุด-บาหลี (อินโดนีเซีย)
    6.ลอนดอน (สหราชอาณาจักร)
    7.กัวลาลัมเปอร์ (มาเลเซีย)
    8.ไทเป (ไต้หวัน)
    9.ปารีส (ฝรั่งเศส)
    10.ดานัง (เวียดนาม)

     

    ข้อมูลจาก Booking.com ระบุว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยเฝ้าใฝ่ฝันที่จะเปลี่ยนบรรยากาศและมีโอกาสที่จะเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การพักผ่อนนอกบ้าน โดยประเภทของห้องพักที่ชาวไทยต้องการเข้าพักมากที่สุดคือ โรงแรมรีสอร์ต อพาร์ตเมนต์ เกสต์เฮาส์ และโฮสเทล ตามลำดับ

    โดยโรงแรมมีอัตราส่วนความต้องการเข้าพักสูงถึง 42% ตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มากกว่าค่าเฉลี่ยนทั่วโลกที่ 40% เล็กน้อย

    สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือนักท่องเที่ยวชาวไทยชอบเข้าพักในรีสอร์ตมากกว่าค่าเฉลี่ยนักเดินทางทั่วโลก โดยมีนักท่องเที่ยวทั่วโลกเพียง 6% เลือกรีสอร์ตเป็นพักใน Wish-list ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไทยมากถึง 21% เลือกรีสอร์ตเป็น Wish-list สำหรับ 3 ที่พักได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทยบน Wish-list ได้แก่

    1.The Quarter Ari by UHG
    2.Coral Tree Villa Huahin
    3.The Yana Villas Hua Hin

    ทั้งนี้ ระเบียบวิธีเก็บข้อมูล อ้างอิงจากการเปรียบเทียบข้อมูลใน Booking.com ระหว่างเดือน มี.ค. ถึง เม.ย. 2563 กับเดือนเดียวกันในปี 2562 โดยลูกค้าใน Booking.com เพิ่มที่พักเป็น Wish-list ได้ด้วยการคลิกที่ปุ่ม “หัวใจ” (Heart) ที่มีอยู่บนทุกรายชื่อที่พักบนแพลตฟอร์มของ Booking.com

    COVID-19 ฉุด RevPAR ธุรกิจโรงแรมไทยปีนี้ ลดลง 55-65%

    จากรายงานของ ศูนย์วิจัย EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยในปี 2563 จะหดตัวลง 67% จาก 39.8 ล้านคนในปี 2562 เหลือเพียง 13.1 ล้านคน จากการที่รัฐบาลของหลายประเทศดำเนินมาตรการห้ามประชาชนของตนเองเดินทางออกนอกประเทศ การยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมากของสายการบินทั่วโลก

    ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของ COVID-19 และด้วยสภาวะเศรษฐกิจโลกเข้าสู่สภาวะถดถอย จนส่งผลกระทบต่อรายได้ของชาวต่างชาติและส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว และในที่สุดแล้วอาจจะเลือกเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของตนเองหรือในประเทศละแวกใกล้เคียงภายในภูมิภาคของตนเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

    จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงดังกล่าว ทำให้ EIC คาดว่า ค่าห้องพักเฉลี่ยต่อห้องพักที่ขายได้ (RevPAR) ของธุรกิจโรงแรมไทยจะลดลง 55-65% ในปี 2563 โดยคาดว่าอัตราการเข้าพัก เฉลี่ยทั่วประเทศของปีนี้ จะลดลงประมาณ 35-40% ในขณะที่ค่าห้องพักเฉลี่ยจะลดลง 20-25% ดังนั้นจึงทำให้โรงแรมเกือบทุกแห่งประสบกับสภาวะขาดทุนจากการดำเนินงานและอาจมีโรงแรมบางแห่งจำเป็นต้องปิดกิจการ โดยเฉพาะโรงแรมขนาดกลางเเละเล็กที่มีเงินทุนไม่มากนัก และไม่สามารถทนต่อสภาวะขาดสภาพคล่องติดต่อกันได้ยาวนานหลายเดือน

     

    ]]>
    1279449
    กรุงเทพฯ เบียดปารีส-ลอนดอน ขึ้นแท่น “เมืองยอดนิยม” ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก แชมป์ 4 ปีซ้อน https://positioningmag.com/1245338 Thu, 05 Sep 2019 06:58:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1245338 นับเป็นข่าวน่ายินดีสำหรับประเทศไทย เมื่อผลสำรวจของ “มาสเตอร์การ์ด อิงค์” ประกาศว่า “กรุงเทพฯ” ยังสามารถเบียดเมืองท่องเที่ยวระดับโลก “ปารีสและลอนดอน” นั่งแท่นเมืองยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวทั่วโลกอีกสมัย หลังจากก่อนหน้านี้เริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับยอดชาวต่างชาติขาเข้าที่ลดลง

    ในการจัดอันดับประจำปีโดยมาสเตอร์การ์ด อิงค์ พบว่ากรุงเทพฯ ครองแชมป์เมืองที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนมากที่สุดในโลกเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยปีที่ผ่านมา กรุงเทพฯ ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยว 22.78 ล้านคน และคาดว่าในปีนี้ จะเพิ่มขึ้นอีก 3.3% ขณะที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นั้นมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และอังกฤษ

    ปารีสและลอนดอน รั้งอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ โดยมีนักท่องเที่ยวขาเข้าเมืองละราวๆ 19.1 ล้านคน ตามมาด้วยดูไบ ซึ่งต้อนรับนักท่องเที่ยวประมาณ 15.9 ล้านคน

    ส่วนเมืองอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างเช่น สิงคโปร์และกัวลาลัมเปอร์ รั้งอันดับ 5 และ 6 ตามลำดับ ขณะที่นิวยอร์ก อิสตันบูล โตเกียวและเมืองอัลตัลยาของตุรกี ก็ต่างติดเข้ามาในท็อปเท็นของโลกเช่นกัน ในการจัดอันดับ 200 เมืองน่าเที่ยวของโลกวัดตามจำนวนนักท่องเที่ยวและข้อมูลการใช้จ่ายเงิน

    ในผลสำรวจยังพบด้วยว่านักท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั่วทั้ง 200 เมืองนั้นเพิ่มขึ้นถึง 76% ในช่วง 10 ปีหลังสุด

    แม้ กรุงเทพฯ ยังคงครองบัลลังก์แชมป์เอาไว้ได้อีกสมัย แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยกำลังเผชิญกับสภาวการณ์ที่สวนทางกัน ด้วยนักเดินทางขาเข้าในเดือนพฤษภาคม ลดลง 1.03% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ก่อนที่ในเดือนมิถุนายน จะฟื้นคืนสู่การเติบโต 0.89% เมื่อเทียบกับหนึ่งปีก่อนหน้านี้ ในขณะที่การท่องเที่ยวคิดเป็น 12% ของเศรษฐกิจไทย

    ด้วยการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนค่อนข้างอ่อนแอและอุบัติเหตุเรือล่มเมื่อปีที่แล้ว ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมายังประเทศไทยลดลงพอสมควรในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้

    อย่างไรก็ตามตัวเลขที่ลดลงของนักท่องเที่ยวจีน ถูกชดเชยบางส่วนจากการเดินทางเข้าไทยมากขึ้นของนักท่องเที่ยวอินเดีย

    ไทยคาดหมายว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากอินเดียมาเยือนในปี 2019 ราวๆ 2 ล้านคน มากกว่าที่วางเป้าหมายไว้ก่อนหน้านี้ ในขณะที่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลขยายเวลามาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมการขอตรวจลงตราเพื่อเข้าประเทศละ 2,000 บาท สำหรับนักท่องเที่ยวขาเข้าจาก 18 ประเทศ ในนั้นรวมถึงจีนและอินเดีย.

    Source

    ]]>
    1245338