แมคโดนัลด์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 24 Mar 2025 05:56:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Mixue ผงาดอาเซียน! สร้างปรากฏการณ์ยอดเปิดร้านแซงสตาร์บัคส์-แมคโดนัลด์แล้ว https://positioningmag.com/1515866 Mon, 24 Mar 2025 05:06:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1515866 หลายคนไม่แปลกใจที่ Mixue สามารถคว้าแชมป์เป็นแบรนด์เครือร้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในโลก แซงหน้าทั้งสตาร์บัคส์และแมคโดนัลด์ เพราะเฉพาะแค่ในอินโดนีเซีย Mixue ก็ถูกบันทึกว่ามีสาขามากกว่า 2,600 แห่ง จนชาวโซเชียลแดนอิเหนาพากันล้อเลียนว่า “อาคารร้านค้าไหนว่างอยู่ จะกลายเป็นร้าน Mixue ในไม่ช้า”

รามา ยูเลียนา (Rahma Yuliana) คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวชาวอินโดนีเซียผู้ดำเนินธุรกิจออนไลน์ เล่าผ่านสำนักข่าวเอพี ว่ามักพาลูกสาวไปทานของหวานหลังเลิกเรียนโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่ร้าน Mixue ด้วยชานมบราวน์ชูการ์ที่ราคาเพียง 1.10 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 40 บาท) ซึ่งต่ำกว่าเครื่องดื่มที่คล้ายกันของร้านแบรนด์ชาไต้หวันคู่แข่งประมาณหนึ่งในสาม ส่วนไอศกรีมมีราคาเพียง 50 เซนต์ (17 บาท) จ่ายน้อยกว่าแมคโดนัลด์อย่างเห็นได้ชัด

การเข้าถึงผู้บริโภคแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่อินโดนีเซียหรือประเทศไทย แต่ Mixue Group สามารถทำได้ทั่วอาเซียน นำไปสู่การผงาดของแบรนด์ “Mixue Bingcheng” ทำให้ล่าสุดหุ้นของ Mixue ได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากราคา IPO นับตั้งแต่เริ่มซื้อขายที่ฮ่องกงเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2025

เมืองน้ำแข็ง น้ำผึ้งหิมะ

ชื่อแบรนด์ “Mixue Bingcheng” ในภาษาจีนมีความหมายว่า “เมืองน้ำแข็งน้ำผึ้งหิมะ” ซึ่งตรงกับเมนูของร้านที่ตอบโจทย์ความชอบในรสหวานชื่นใจของผู้บริโภคทั่วภูมิภาค ทั้งไอศกรีม กาแฟ และชานมไข่มุกในราคาที่จับต้องได้

ข้อมูล ณ เดือนกันยายน Mixue Group มีร้านมากกว่า 45,000 สาขาที่จำหน่ายชา ไอศกรีม และกาแฟ Lucky Cup สถิตินี้มากกว่าจำนวนร้านของสตาร์บัคส์และแมคโดนัลด์ โดยรายงานของนักวิเคราะห์อุตสาหกรรมประมาณว่าราว 40,000 สาขานั้นอยู่ในประเทศจีน

เมื่อจำนวนร้านมากขึ้น Mixue ย่อมทำกำไรได้มากขึ้น เนื่องจากบริษัทเป็นแฟรนไชส์ที่บริษัทจัดหาวัตถุดิบสำหรับเครื่องดื่มต่างๆ เช่น Creamy Mango Boba, Mango Oats Jasmine Tea และ Coconut Jelly Milk Tea ซึ่งเป็นผลให้ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ส่งให้หุ้นของ Mixue มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าจากราคา IPO

ข้อมูลของบริษัทวิจัย Momentum Works ที่มีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ ชี้ว่า ณ เดือนธันวาคม 2025 แบรนด์อาหารและเครื่องดื่มจากจีนได้เปิดสาขากว่า 6,100 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอินเดียและเวียดนามมีสัดส่วนประมาณ 2 ใน 3 ขณะที่สิงคโปร์และมาเลเซียมีแบรนด์จีนหลากหลายกว่า เนื่องจากมีประชากรที่พูดภาษาจีนเป็นจำนวนมาก โดยนอกจาก Mixue แล้ว ยังมีแบรนด์ดาวรุ่งอื่นๆ เช่น Haidilao ยักษ์ใหญ่เมนูหม้อไฟ, ร้านอาหาร Fish With You ที่เสิร์ฟปลากับผักดอง, และแบรนด์เครื่องดื่มชื่อดังอย่าง Luckin Coffee, Heytea และ Chagee

ประเด็นนี้ เจียงกัน หลี่ (Jianggan Li) ซีอีโอของ Momentum Works กล่าวว่า ธุรกิจจีนกำลังมองหาการเติบโตใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลังจากเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดบ้านเกิด ซึ่งในอีกด้าน การขยายตัวของผู้ค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่มได้สร้างการรับรู้ ว่าจีนมีสินค้าที่มากกว่าเพียงอิเล็กทรอนิกส์ราคาถูก แถมบริษัทเหล่านี้ยังมีความพร้อมสูง ใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และเชี่ยวชาญในการตลาดออนไลน์

หลี่กล่าวอีกว่าแบรนด์ยักษ์ใหญ่จากตะวันตกบางครั้งใช้เวลานานในการหาพันธมิตรท้องถิ่นและพัฒนาแผนระยะยาว ในขณะที่บริษัทอาหารและเครื่องดื่มจากจีน “มีความใจร้อนมากกว่า”

1 ปีคืนทุน?

สำหรับกรุงเทพฯ สำนักข่าวเอพีพบว่ามีผู้ประกอบการที่คืนทุนภายใน 6 เดือนถึง 1 ปี (ไม่รวมการค้ำประกันสัญญาเช่า) จากการเปิดร้าน Mixue เกิน 10 สาขาโดยยอมรับว่า ร้านในห้างสรรพสินค้าใช้เวลานานในการคืนทุนเนื่องจากเงินมัดจำค่าเช่าที่สูง ต่างจากร้านในสถานที่อื่นซึ่งคืนทุนเร็วกว่า

ซียา ฮั่น (Siya Han) ผู้ประกอบการชาวจีนในกรุงเทพฯ ระบุว่าได้ลงทุนกว่า 1.37 ล้านดอลลาร์ในร้าน Mixue จำนวน 12 สาขา และร้านอื่นๆ อีกประมาณ 10 แห่งเพื่อจำหน่ายอาหารกลุ่มซุปเผ็ด ปลากับผักดอง และสเต๊กไก่ทอดในช่วงเวลาประมาณ 6 ปี โดยบอกว่าการเปิดร้านอาหารจีนอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไปนั้น จะไม่มีทางอยู่รอดได้

ฝั่งกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย “หลิว หลิวจุน” (Liu Liujun) รองประธานเครือร้าน Fish With You ที่เสิร์ฟปลากับผักดองแบบจีน เป็นนักธุรกิจอีกรายที่เล็งเห็นโอกาสในตลาดที่มีประชากรเชื้อสายจีนจำนวนมากและเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในฐานะผู้ดูแลการขยายธุรกิจไปต่างประเทศของบริษัทในภูมิภาคนี้ หลิวชี้ว่าการลงทุน 235,000 ดอลลาร์กับแบรนด์ใน 1 สาขาที่มาเลเซียนั้นมีบางกรณีที่ได้คืนทุนในเวลา 9 เดือน ผลจากความนิยมที่มีลูกค้าต่อแถวยาวเกือบทุกวัน

วิคตอเรีย โควาลัน (Victoria Kovalan) หนึ่งในลูกค้าที่ติดใจแบรนด์จีนกล่าวว่า แบรนด์จีนหน้าใหม่เปิดโอกาสให้ได้ลองอาหารใหม่ได้ง่ายขึ้น การเปิดประสบการณ์รสชาติใหม่ ทำให้เกิดความนิยมในหม้อไฟเสฉวนที่ขึ้นชื่อเรื่องรสเผ็ด ขณะที่เหงียน ทู ฮว่าย (Nguyen Thu Hoài) นักศึกษาชาวเวียดนามในฮานอย เล่าว่าแม้จะสงสัยเกี่ยวกับแบรนด์จีนอย่าง Mixue ในช่วงแรก แต่ก็ได้กลายเป็นลูกค้าประจำ เพราะประทับใจกับราคาที่จับต้องได้และคุณภาพที่ดีกว่าที่คาดไว้

การขยายตัวของแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มจากจีนยังเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่กว้างขึ้น โดยสินค้าจากจีนไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพียงสินค้าราคาถูกอีกต่อไป แต่มีคุณค่าที่แท้จริง จุดนี้ศาสตราจารย์ก็อรดอน แมทธิวส์ (Gordon Mathews) จากภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยจีนแห่งฮ่องกง เชื่อว่าการขยายตัวนี้จะมีผลเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของจีนได้

แมทธิวส์ทิ้งท้ายว่าหากย้อนนึกถึงอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากการขยายตัวทั่วโลกของแมคโดนัลด์ เวลานั้นเขาเคยไปเยี่ยมชมสาขาแรกในกวางโจว ศูนย์กลางเศรษฐกิจทางตอนใต้ของจีนในช่วงทศวรรษ 1990 ที่ซึ่งพนักงานคนหนึ่งถึงกับเอ่ยปากว่า “ผมอยากไปอเมริกา” ดังนั้นหากแบรนด์อาหารจีนระเบิดความนิยมไปทั่วโลก จีนก็อาจมีอิทธิพลแบบนั้นได้ ซึ่งโลกธุรกิจจะยังคงต้องรอดูอย่างใกล้ชิดต่อไป

ที่มา: AP, Designtaxi

]]>
1515866
“แมคโดนัลด์” ทุบสถิติยอดขาย 7.9 พันล้านบาท สูงสุดรอบ 40 ปี https://positioningmag.com/1514626 Thu, 13 Mar 2025 08:06:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1514626 แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีที่ผ่านมายังคงชะลอตัว แต่ยูโรมอนิเตอร์ ระบุว่า ตลาดอาหารจานด่วน (QSR) ในไทย ปี 2567 มีมูลค่า 47,000 ล้านบาท ยังคงเติบโตต่อเนื่อง

แรงขับเคลื่อนหลักมาจาก ตลาดไก่ทอดที่ครองสัดส่วนเกิน 50% มีมูลค่า 27,000 ล้านบาท ตามมาด้วย ตลาดเบอร์เกอร์ มูลค่าราว 11,000 ล้านบาท และตลาดพิซซ่า 9,000 ล้านบาท

ขณะที่ “แมคโดนัลด์” เชนร้านเบอร์เกอร์และไก่ทอดในรายใหญ่ในไทยก็ทุบสถิติรายได้สูงสุดในรอบ 40 ปีเช่นกัน!

“กิตติวรรณ อนุเวชกุล” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แมคไทย จำกัด

“กิตติวรรณ อนุเวชกุล” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แมคไทย จำกัด เปิดเผยว่า 3 ปีที่ผ่านมา แมคโด นัลด์ ทำรายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่องทุกปี ดังนี้

รายได้

ปี 2565 ยอดขาย 5,504 ล้านบาท

ปี 2566 ยอดขาย 7,213 ล้านบาท

ปี 2567 ยอดขาย 7,957 ล้านบาท

กำไรสุทธิ

ปี 2565 กำไร 120 ล้านบาท

ปี 2566 กำไร 315 ล้านบาท

ปี 2567 กำไร 350 ล้านบาท

“ปี 2567 ที่ผ่านมา แมคโดนัลด์ทุบสถิติทำผลประกอบการสูงสุดตั้งแต่เปิดกิจการมา 40 ปี รายได้ 7.9 พันล้านบาท โต 10% และกำไรสุทธิ 350 ล้านบาท โต 11% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) โดยสัดส่วนรายได้หลักมาจากเบอร์เกอร์ 55% และไก่ทอด 20%”

กิตติวรรณ กล่าวว่า ภาพรวมตลาด QSR ในช่วง 2 เดือนแรก ปี 2568 ยังคงคึกคัก แต่ยอมรับว่ามีบางรายอาจจะ  ดรอปลงตามสภาพตลาดที่ยังมีปัจจัยท้าทาย

สำหรับ ปี 2568 แมคโดนัลด์ ขับเคลื่อนการเติบโตผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่

1.Flagship Value Platform เน้นราคาสบายกระเป๋า

โดยโมเดล Value Platform เริ่มทำตั้งแต่ปี 2565 อาทิ ชุด Everyday Value Meals ราคา 99 บาท ทั้งเมนูไก่ทอด เบอร์เกอร์, ชุด Mcsavers 1 + 1 ราคา 55 บาท จับคู่ของว่างกับของหวานด้วยกัน เป็นต้น

“ลูกค้าหันหาความคุ้มค่ามากขึ้น โดยเฉพาะยุคที่กำลังซื้อผู้บริโภคมีจำกัด เราเข้ามาตอบโจทย์นี้ ขณะที่เรามีการจับตลาดทั้งของว่าง ของหวาน เครื่องดื่ม ทำให้ผู้บริโภคเข้ามาหาเราได้ทั้งวัน ส่งผลให้สามารถเพิ่มความถี่ในการรับประทานแมคโดนัลด์ได้เพิ่มขึ้น“

ตัวอย่าง ชุด Mcsavers 1 + 1 ราคา 55 บาท
ตัวอย่าง ชุด Mcsavers 1 + 1 ราคา 55 บาท

2.รุกตลาดไก่ทอด สร้าง Brand Love

ปีที่ผ่านมายอดขายไก่ทอด เติบโต 33% จากกลยุทธ์แฟนด้อมมาร์เก็ตติ้ง ที่ได้ดึง “ต้าห์อู๋-ออฟโรด” ขึ้นพรีเซ็นเตอร์ เจาะ Gen Z ต่อเนื่อง

โดยปีนี้จะเดินหน้าแผนและแคมเปญสำหรับกลุ่ม Gen Z และตั้งเป้ารายได้ไก่ทอดโตขึ้น 15%

3.ครองเบอร์ 1 ตลาดเบอร์เกอร์

ปัจจุบันแมคโดนัลด์ ยังคงเป็นเบอร์ 1 ในตลาดเบอร์เกอร์ต่อเนื่อง 40 ปี และยังคงพัฒนาลอนช์เมนูใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นตลาด อาทิ ซามูไร ดีลักซ์ เบอร์เกอร์ ที่ต่อยอดมาจากเมนูขายดีอย่างซามูไรเบอร์เกอร์

ด้านแผนการลงทุน ปี 2568 แมคโดนัลด์วางงบลงทุนราว 700 ล้านบาท แบ่งเป็น

1.รีโนเวตสาขาเดิมอีก 25 แห่ง

2.ขยายสาขาใหม่ 20 แห่ง ในทำเลศักยภาพ โซน กทม. (60%) และต่างจังหวัด (40%) ภายใต้ 3 คอนเซ็ปต์

  • Geometry โมเดิร์น ทันสมัย สีสันสดใส
  • Essential Ingredients 2.0 ถ่ายทอดแบรนด์บนศิลปะป๊อปอาร์ต
  • CUBE เน้นสื่อสารแบรนด์ผ่านชิ้นงานกราฟิก
แมคโดนัลด์สาขานครธน ตัวอย่างการตกแต่งคอนเซ็ปต์ CUBE

3.ลงทุนด้านเทคโนโลยี (Experience of the Future : EotF) อาทิ เครื่องสั่งอาหารอัตโนมัติ ซึ่งได้ติดตั้งครบทุกสาขาเดิมแล้ว และปีนี้จะขยายติดตั้งสู่สาขาที่เปิดใหม่

“จากกลยุทธ์ดังกล่าว ทำให้ปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% ซึ่งหากคงการเติบโตเช่นนี้เรื่อย ๆ เป้ารายได้ 10,000 ล้านบาท น่าจะทำได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”

]]>
1514626
รู้ตัวแล้วว่าแพงไป! “McDonald’s” วางกลยุทธ์ใหม่ “ปรับราคาลง” ดึงผู้บริโภคกลับเข้าร้าน https://positioningmag.com/1484504 Wed, 31 Jul 2024 06:36:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484504 “McDonald’s” กำลังพิจารณากลยุทธ์ “ปรับราคาลง” ให้สมเป็น “ฟาสต์ฟู้ด” เพื่อดึงผู้บริโภคกลับเข้าร้านอีกครั้ง หลังจากราคาที่สูงขึ้นในระยะหลังทำให้ยอดขายตกลงครั้งแรกนับตั้งแต่ผ่านพ้นการระบาดโควิด-19

สาขาของ McDonald’s ที่เปิดมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี พบว่ามีค่าเฉลี่ยยอดขายตกลง -1% และกำไรลดลง -12% ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สภาวะยอดขายหดตัวเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงโรคระบาดโควิด-19 ในปี 2020 และถึงแม้ร้านจะพยายามจัดโปรโมชันเพื่อดึงลูกค้าแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นผล

“คริส เคมป์ชินสกี้” ประธานกรรมการบริหารของ McDonald’s กล่าวว่า ผลการดำเนินงานที่ย่ำแย่ลงบีบให้บริษัทต้อง “คิดทบทวนอย่างรอบด้าน” เรื่องการตั้งราคาอาหาร

เขากล่าวกับนักลงทุนว่าขณะนี้บริษัทคาดว่าจะมีการลดราคาเพื่อหยุดไม่ให้ยอดขายตกต่ำไปกว่านี้ โปรโมชันต่างๆ จะยังจัดอย่างต่อเนื่อง เช่น ในสหรัฐฯ มีโปรโมชันอาหารเซ็ตละ 5 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ในสหราชอาณาจักรจัดโปรฯ เลือกได้ 3 เมนู ในราคา 3 ปอนด์

McDonald’s เริ่มขึ้นราคาอย่างเห็นได้ชัดในช่วงที่เกิดโรคระบาด โดยเคมป์ชินสกี้ระบุว่าบริษัทจำต้องขึ้นราคาสินค้าเพราะต้นทุนบางอย่าง เช่น วัตถุดิบอาหาร ค่าแรงงาน และค่ากระดาษ ปรับขึ้นสะสมถึง 40% ในบางประเทศในช่วง 2-3 ปีมานี้

อย่างไรก็ตาม การขึ้นราคามากก็ทำให้ลูกค้า ‘เท’ เดินเข้าร้านน้อยลงและมีเสียงวิจารณ์ว่าร้านขึ้นราคามากเกินไป ต่อมาเมื่อเดือนมิถุนายน 2024 นี้เอง หัวเรือใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการในสหรัฐฯ มีการออกจดหมายเปิดผนึกต่อสาธารณะเพื่อตอบโต้กับเสียงวิจารณ์ว่า ‘โซเชียลมีเดียสร้างภาพที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง’ เขาระบุว่าดัชนีราคา “บิ๊กแม็ค” ในสหรัฐฯ ซึ่งตั้งราคาที่ 5.29 เหรียญสหรัฐต่อชิ้น ปรับขึ้นมา 21% เทียบกับปี 2019 ซึ่งก็ใกล้เคียงกับการปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ

แต่ล่าสุดเคมป์ชินสกี้ยอมรับกับนักลงทุนแล้วว่า บริษัทจะต้องทำงานเพื่อกู้ชื่อเสียงการเป็นผู้นำร้านอาหารราคา ‘คุ้มค่า’ กลับมาให้ได้ เขามองว่าการขึ้นราคาตามอัตราเงินเฟ้อทำให้ลูกค้าเริ่มพิจารณาเปลี่ยนอุปนิสัยการซื้อสินค้าใหม่ ซึ่งบริษัทต้องแก้ไขเพื่อให้ลูกค้ากลับมา

“ฌอน ดันลอป” นักวิเคราะห์หุ้นจาก Morningstar มองว่า ยอดขายที่ต่ำลงของบริษัทนี้เกิดจากผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนจากการไปทานอาหารนอกบ้าน เป็นการซื้อของสดไปทำกับข้าวกินเองที่บ้านเพื่อประหยัดงบ เพราะราคาของสดในซูเปอร์มาร์เก็ตเริ่มลดลงมาแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023

McDonald’s วิเคราะห์สภาวะตลาดว่า ลูกค้ากลุ่มรายได้ต่ำเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอขณะนี้ ส่วนผู้ซื้อกลุ่มรายได้สูงกว่าก็ไม่ได้ลดกำลังซื้อลงมาทานอาหารฟาสต์ฟู้ดมากนัก ทำให้ไม่มีกลุ่มลูกค้าทดแทนกลุ่มรายได้ต่ำ สภาวะนี้เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดใน “สหรัฐฯ”

ส่วนในประเทศอื่นๆ ก็มีปัจจัยปัญหาอื่นแตกต่างกันไปด้วย เช่น “จีน” เป็นตลาดที่ McDonald’s ต้องเผชิญการทำสงครามราคาจากคู่แข่ง ขณะที่ “ฝรั่งเศส” เป็นหนึ่งในหลายประเทศที่ร้านถูกบอยคอตจากลูกค้าในข้อหาสนับสนุนอิสราเอลในการทำสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ โดยบริษัทอเมริกันอีกหลายแห่งก็ถูกบอยคอตด้วยข้อหาเดียวกัน เช่น Starbucks

“ผู้บริโภคมีความใส่ใจว่าพวกเขากำลังกินอะไร เมื่อไหร่ และที่ไหนมากขึ้น และผมขอพูดตามตรงว่าเราไม่ได้มองว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจสำคัญๆ ใน 2-3 ไตรมาสจากนี้” เคมป์ชินสกี้ กล่าวต่อนักลงทุน

ที่มา: BBC, CBS

]]>
1484504
“แมคโดนัลด์” กับรายได้นิวไฮในประวัติศาสตร์  7.2 พันล้าน อานิสงส์เปิดร้านในสุวรรณภูมิ https://positioningmag.com/1466066 Tue, 12 Mar 2024 12:24:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466066 แมคโดนัลด์ ประเทศไทย ปิดปี 2566 กวาดรายได้รวม 7,200 ล้านบาท เติบโต 31% ทุบสถิติรายได้สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังจากที่ทำตลาดในไทยมา 38 ปี ได้อานิสงส์ส่วนหนึ่งจากเมนูชุดสุดคุ้ม 99 บาท และการเปิดร้านในสนามบินสุวรรณภูมิได้สำเร็จ ปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 15% และขยายสาขาเพิ่ม 20 แห่ง

ทุบสถิติรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์

ตลาดร้านอาหารมีแนวโน้มกลับมาเติบโตอย่างสดใส หลังจากได้ผ่านพ้นสถานการณ์ COVID-19 มาแล้ว มีการออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านกันมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการร้านอาหารกลับมาทำการตลาด รวมถึงลงทุนในด้านต่างๆ มากขึ้น ทั้งการขยายสาขา และทำโปรโมชั่นต่างๆ 

“แมคโดนัลด์” หนึ่งในผู้เล่นใหญ่ในตลาด QSR หรือร้านอาหารจานด่วน ได้ฝ่ามรสุมช่วง COVID-19 มาอย่างหนักหน่วงไม่แพ้ผู้เล่นรายอื่นในตลาด จากการปรับโจทย์ และปรับทัพองค์กรใหม่ ทำให้มีผลประกอบการดีขึ้นเรื่อยๆ จนในปี 2565 สามารถกลับมาทำกำไรได้ในรอบ 4 ปี อีกทั้งในปี 2566 ยังมียอดขายสูงสุดในประวัติการณ์

ในปี 2566 ที่ผ่านมา แมคโดนัลด์ ประเทศไทยมียอดขาย 7,213 ล้านบาท นับว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ก่อตั้งแมคโดนัลด์ ประเทศไทย มาเป็นระยะเวลากว่า 38 ปี ตั้งแต่ปี 2528 โดยมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 31% จากปี 2565 ที่มียอดขายรวม 5,504 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิก็ถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่เช่นกันอยู่ที่ 315 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 168% จากปีก่อนหน้า

ในด้านของบุคลากร แมคโดนัลด์ได้แต่งตั้ง “กิตติวรรณ อนุเวชสกุล” ขึ้นเป็น CEO หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์เมื่อปี 2565 ซึ่งกิตติวรรณเป็นลูกหม้อเก่าของแมคโดนัลด์มาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี ผู้อยู่เบื้องหลังไอเดียเมนูโลคอลต่างๆ หลังจากกิตติวรรณเข้ารับตำแหน่ง ก็ได้ปรับกลยุทธ์ใหม่ ทั้งในด้านของการสร้างแบรนด์ และขยายสาขา

อีกหนึ่งภารกิจสำคัญของกิตติวรรณหลังจากขึ้นตำแหน่ง CEO แล้วนั้น ก็คือ การพาแมคโดนัลด์เข้าเปิดสาขาที่สนามบินสุวรรณภูมิได้สำเร็จ ได้เปิดให้บริการไปเมื่อต้นปี 2565 หลายคนอาจจะมองว่าแค่การเปิดร้านในสนามบิน ดูไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่จริงๆ แล้วเป็นอะไรที่สุดหินมากๆ เลยทีเดียว

เพราะพื้นที่ในสนามบินจะไม่เหมือนการเปิดร้านที่ศูนย์การค้า ที่ร้านค้าสามารถเลือกพื้นที่ และเช่าพื้นที่ได้ตามปกติ แต่สนามบินจะใช้ระบบประมูล เพื่อแข่งขันสรรหาพื้นที่ ร้านค้าแต่ละแบรนด์จึงต้องประมูลแข่งขันกัน

การที่เปิดสาขาในสนามบินที่มีทราฟฟิกทั้งคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติหมุนเวียนหลายสิบล้านคน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ที่สร้างการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ซึ่งกิตติวรรณบอกว่าการเปิดร้านในสนามบินสุวรรณภูมิเป็นเพียง “ส่วนหนึ่ง” ที่ช่วยสร้างรายได้ให้เติบโต แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนที่มีนัยสำคัญอยู่ไม่น้อย 

ดึงคนรุ่นใหม่ด้วย K-Pop และเมนูสุดคุ้ม

อีกหนึ่งโจทย์สำคัญของแมคโดนัลด์ในยุคนี้ก็คือ การดึงดูดลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น หมัดเด็ดสำคัญคือการจับกระแส K-Pop เป็นโกลบอลแคมเปญในการคอลแลปกับวงบอยแบนด์ และเกิร์ลกรุ้ปจากประเทศเกาหลีใต้ โดยก่อนหน้านี้ได้เคยคอลแลปกับวง BTS มาแล้ว และในปี 2566 ได้คอลแลปกับวง NewJeans ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากพอสมควร

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่เป็นฮีโร่ช่วยสร้างยอดขายให้แมคโดนัลด์นั่นก็คือ “ชุดสุดคุ้ม” หรือเรียกว่า Flagship Value Platform ช่วยตอบโจทย์ความคุ้มค่าให้กับลูกค้า มีชุด EVM (Everyday Value Meals) เป็นตัวชูโรง ในราคา 99 บาท มีทั้งชุดเมนูเบอร์เกอร์ ชุดเมนูไก่ทอดแมค พร้อมเครื่องดื่ม รวมไปถึงชุด McSavers 1+1 ในราคา 55 บาท ให้เลือกจับคู่เมนูของว่าง และของหวาน โดยในปีที่ผ่านมา ชุด EVM มีอัตราการเติบโต 47.8% ในขณะที่ชุด McSavers 1+1 มีอัตราการเติบโต 12%

เหตุผลที่ชุด EVM ประสบความสำเร็จค่อนข้างดี เพราะว่ามีราคาที่จับต้องได้ เป็นราคาที่ไม่เกิน 100 บาท สามารถทานได้ทั้งเบอร์เกอร์ให้เลือกทั้งหมู เนื้อ ไก่ และปลา รวมไปถึงไก่ทอด ซึ่งคนไทยให้การตอบรับกับโปรโมชั่นเมนูที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่าอยู่แล้ว 

ในปี 2566 ได้มีการขยับตัวครั้งใหญ่ของกลุ่ม “เบอร์เกอร์” ด้วยเช่นกัน ได้เปิดตัวแคมเปญ Next Gen Burger ด้วยการปรับสูตรครั้งใหญ่ ตามคอนเซ็ปต์ Hotter, Juicier, Tastier เพื่อเป็นการดันตลาดเบอร์เกอร์มากขึ้น เพราะเบอร์เกอร์มีสัดส่วนรายได้สูงที่สุดของแมคโดนัลด์ที่ 50% รองลงมาคือไก่ทอด 20% และอื่นๆ 30%

ขยายเพิ่มอีก 20 สาขา ผุดโมเดลใหม่อีก 2 แบบ    

ปัจจุบันแมคโดนัลด์มีสาขารวม 230 แห่งทั่วประเทศ โดยที่สามารถแบ่งสัดส่วนรายได้เป็นทานในร้าน 63%, เดลิเวอรี่ 27% และไดรฟ์ทรู 10%  

โดยในนี้ได้ใช้งบลงทุนรวม 600 บาท ในการขยายสาขา และลงทุนด้านไอที คาดว่าจะขยายสาขาเพิ่ม 20 สาขา และรีโนเวตร้านใหม่อีก 25 สาขา ในปี 2566 แมคโดนัลด์ได้เปิดตัวร้านดีไซน์ใหม่ 2 สาขา คือ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ และ บางแค ด้วยคอนเซ็ปต์ Geometry โมเดิร์น ทันสมัย ตกแต่งด้วยลวดลายเฉพาะตัวในสีสันสดใส 

คอนเซ็ปต์ CUBE

ในปีนี้แมคโดนัลด์มีแผนที่จะใช้ดีไซน์ร้านด้วยคอนเซ็ปต์ใหม่อีก 2 คอนเซ็ปต์ ได้แก่ คอนเซ็ปต์ CUBE ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความสุขในการแกะกล่อง Happy Meal มาผสานองค์ประกอบการออกแบบเพื่อเปลี่ยนโฉมความทรงจำในวัยเด็กสู่พื้นที่จริง และคอนเซ็ปต์ Essential Ingredients 2.0 หยิบเอาเอกลักษณ์ของแมคโดนัลด์ ในรูปทรงแบบไดนามิก และสีสันต่างๆ มาถ่ายทอดในรูปแบบของศิลปะป๊อปอาร์ต

คอนเซ็ปต์ Essential Ingredients 2.0

พร้อมกับรับเทรนด์ ESG ด้วยสาขาต้นแบบที่มีการตกแต่งบรรยากาศทั้งภายในและภายนอกร้านด้วยวัสดุรีไซเคิล สร้างบรรยากาศอันร่มรื่นด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียว การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar Rooftop) เพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมจุดให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging) โดยคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบภายในไตรมาส ที่ 2 ของปี 2567

สำหรับปี 2567 แมคโดนัลด์ได้ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 15% พร้อมกับคงความเป็นผู้นำในตลาดเบอร์เกอร์

]]>
1466066
กระทบแบรนด์! ผู้ถือหุ้น “McDonald’s” สหรัฐฯ ร้องตรวจสอบแฟรนไชซีลักลอบใช้ “แรงงานเด็ก” https://positioningmag.com/1435613 Tue, 27 Jun 2023 07:35:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1435613 กลุ่มผู้ถือหุ้นบางส่วนของ McDonald’s” สหรัฐฯ เรียกร้องให้หน่วยงานอิสระเข้าตรวจสอบการบริหารร้านของแฟรนไชซีทั่วประเทศ หลังพบปัญหาการใช้ “แรงงานเด็ก” ในหลายสาขา บางแห่งพบเด็กวัย 10 ขวบทำงานจนถึงเวลาตี 2

สำนักข่าว Washington Post รายงานว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นมากกว่า 30 รายของ “McDonald’s” เข้าชื่อกันเรียกร้องผ่านทางจดหมายที่ส่งถึงคณะกรรมการบริหารบริษัท ให้นำหน่วยงานอิสระจากภายนอกเข้าตรวจสอบการละเมิดกฎหมายการใช้แรงงานเด็กในสาขาแฟรนไชซี

กรณีการใช้ “แรงงานเด็ก” ของแฟรนไชส์ McDonald’s ในสหรัฐฯ นั้น เริ่มตกเป็นข่าวมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2022 โดยเริ่มจากสาขาแฟรนไชส์ในรัฐเคนทักกีที่มีการว่าจ้างแรงงานเด็กอย่างผิดกฎหมายรวมกว่า 300 คน

หลังจากนั้น การตรวจสอบพบว่ามีเยาวชน 101 คนทำงานใน McDonald’s จำนวน 13 สาขาภายในเมืองพิตส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย โดยเด็กวัยต่ำกว่า 16 ปีเหล่านี้ต้องทำงานหน้าเตาทอดที่ไม่มีระบบตะกร้าทอดอัตโนมัติ จนทำให้เด็กได้รับอันตรายจากน้ำมัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในสาขารัฐแคลิฟอร์เนียด้วยเช่นกัน โดยในรัฐดังกล่าวแฟรนไชซีตกลงที่จะจ่ายค่าปรับ 25,000 เหรียญสหรัฐ ชดเชยการไม่ดูแลรักษาความปลอดภัยในที่ทำงาน

รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า บางสาขาของ McDonald’s มีการใช้แรงงานเด็กอายุต่ำถึง 10 ขวบ และเด็กต้องทำงานถึงเวลาตี 2

Photo : Shutterstock

การรวมกลุ่มกันของผู้ถือหุ้นครั้งนี้ เรียกร้องไปที่สำนักงานใหญ่ McDonald’s ว่า เมื่อบริษัทมีนโยบายในระดับโลกว่าด้วยการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านแรงงานเด็ก ดังนั้น บริษัทต้องใช้นโยบายนี้กับผู้รับแฟรนไชส์ของบริษัทด้วย โดยสาขาของ McDonald’s ในสหรัฐฯ ประมาณ 95% เป็นสาขาของแฟรนไชซี การยื่นมือเข้าไปดูแลของบริษัทแม่จึงสำคัญต่อการคงภาพลักษณ์แบรนด์อย่างมาก

สำหรับกฎหมายว่าด้วยแรงงานเด็กของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีกฎระเบียบสำคัญ เช่น ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีเข้าทำงาน, ห้ามเยาวชนทำงานในช่วงเวลาตั้งแต่หลัง 1 ทุ่มจนถึงก่อน 7 โมงเช้า, ห้ามเยาวชนทำงานในวันที่มีเรียนเกิน 3 ชั่วโมง, ห้ามเยาวชนทำงานเกินวันละ 8 ชั่วโมงในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์

ต่อประเด็นเหล่านี้ Tiffanie Boyd รองประธานอาวุโสและประธานเจ้าหน้าที่ด้านบุคลากร McDonald’s กล่าวว่า รายงานเรื่องการใช้แรงงานเด็กถือว่าขัดแย้งกับความคาดหวังสูงสุดที่บริษัทมีต่อแบรนด์ McDonald’s และบริษัทจะเข้าไปจัดการให้มั่นใจได้ว่าแฟรนไชซีของบริษัทมีทรัพยากรเพียงพอที่จะสร้างที่ทำงานที่ปลอดภัยแก่พนักงาน และทำตามกฎหมายแรงงานทั้งหมดอย่างถูกต้อง

ปัญหาการใช้แรงงานเด็กในร้านอาหารนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับร้าน McDonald’s แต่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ตรวจสอบพบว่ามีการลักลอบใช้แรงงานเด็กหลายร้อยคนในหลายมลรัฐมาตั้งแต่ปี 2018 และในปี 2023 รัฐบาลของประธานาธิบดี Joe Biden ประกาศไว้ว่าจะเข้าควบคุมการใช้แรงงานเด็กอย่างเข้มงวดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บางมลรัฐเริ่มออกกฎหมายประจำรัฐเพื่อผ่อนคลายความเข้มงวดในการใช้แรงงานเด็ก เช่น รัฐไอโอวา เพิ่งผ่านกฎหมายเมื่อเดือนก่อน อนุญาตให้เยาวชนสามารถทำงานเป็นระยะเวลายาวนานขึ้นต่อวัน

Source

]]>
1435613
McDonald’s แพ้คดี “แมคนักเก็ต” ไหม้ขาเด็ก 4 ขวบในฟลอริดา ซ้ำรอยคดี “กาแฟร้อน” 20 ปีก่อน https://positioningmag.com/1430648 Tue, 16 May 2023 11:49:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1430648 คณะลูกขุนในฟลอริดาตัดสินคดีแพ่งฟ้องร้อง McDonald’s และแฟรนไชซีให้จำเลยผิดจริง จากเหตุฟ้องร้อง “แมคนักเก็ต” ร้อนอันตราย ไหม้ขาเด็ก 4 ขวบ คดีนี้ถูกมองเทียบกับคดี “กาแฟร้อน” ที่เชนฟาสต์ฟู้ดรายนี้เคยแพ้คดีมาแล้วเมื่อ 20 ปีก่อน

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2023 คณะลูกขุนได้ตัดสินให้ McDonald’s และ Upchurch Foods แฟรนไชซีที่บริหารสาขาที่เกิดเหตุ รับผิดชอบความเสียหาย เพราะไม่ได้แจ้งเตือนหรือให้คำแนะนำอย่างมีเหตุผลต่อเหตุอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจาก “แมคนักเก็ต” ที่จำหน่าย ณ ร้านรูปแบบไดรฟ์ทรู ในย่าน Tamarac รัฐฟลอริดา

อย่างไรก็ตาม เฉพาะ Upchurch Foods เท่านั้นที่ถือว่ากระทำการโดยประมาท คณะลูกขุนตัดสินว่าแมคนักเก็ตไม่ได้สร้างความเสียหายด้วยตัวสินค้าเอง จึงไม่จำเป็นต้องนำแมคนักเก็ตออกจากการจำหน่ายในตลาด

คดีความนี้ถูกฟ้องร้องมาตั้งแต่ปี 2019 โดยข้อกล่าวหามาจาก ฟิลานา โฮล์มส และ ฮัมเบอร์โต คาราบัลโล เอสเตเวส ผู้ปกครองของเด็กหญิงโอลิเวียวัย 4 ขวบ โฮล์มสรายงานว่า เธอได้ซื้อชุดแฮปปี้มีลผ่านช่องทางไดรฟ์ทรู เมื่อได้สินค้าและขับรถออก ปรากฏว่านักเก็ตได้ตกลงบนขาของลูกสาววัย 4 ขวบ

“แมคนักเก็ตไก่ในชุดแฮปปี้มีลนั้นร้อนอันตรายและร้อนอย่างไม่มีเหตุอันควร ทำให้ผิวหนังและเนื้อบริเวณหน้าขาของลูกสาวเธอไหม้ จนบริเวณที่ไหม้เสียรูปและทำให้ลูกสาวหวาดกลัว” เป็นข้อฟ้องร้องที่ปรากฏในคดี

ข้อฟ้องร้องระบุว่า ผู้รับแฟรนไชส์ควรจะทราบว่านักเก็ตนั้นร้อนจน “ไม่เหมาะแก่การหยิบถือโดยมนุษย์” และมีหน้าที่ที่จะต้องงดเว้นการขายก่อน และร้านควรจะฝึกอบรมพนักงานให้ทำเช่นนั้น

ฟิชเชอร์ เรเดวิด บริษัทกฎหมายที่เป็นตัวแทนให้กับฝ่ายโจทก์ กล่าวว่า คดีนี้จะมีการพิจารณาคดีรอบที่สองเพื่อ “พิจารณาความเสียหายและค่าเสียหายอีกครั้ง”

คดีนี้คล้ายกับคดี “กาแฟร้อน” ชื่อดังที่ McDonald’s เคยถูกฟ้องร้องในช่วงทศวรรษ 1990s ในคดีนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งทำกาแฟร้อนหกลงบนตักและเกิดแผลไหม้ระดับสาม คณะลูกขุนเห็นควรว่ากาแฟแก้วนั้นร้อนอย่างไม่สมเหตุสมผล เรเดวิดกล่าวว่าในคดีดังกล่าวคณะลูกขุนตัดสินให้โจทก์ได้รับค่าเสียหาย 3 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 102 ​ล้านบาท) แต่มีการตกลงไกล่เกลี่ยและรับค่าเสียหายต่ำกว่าตัวเลขดังกล่าวในชั้นอุทธรณ์

“แต่นี่ไม่ใช่คดีกาแฟร้อนชื่อดัง นี่คือคดีของโอลิเวีย” บริษัทกฎหมายดังกล่าวออกแถลงการณ์ “เธอเป็นเด็กไร้เดียงสาน่ารักที่ขาเป็นรอยแผลไหม้อย่างรุนแรงโดยไม่ใช่ความผิดของเธอเลย”

ฝั่ง McDonald’s ออกแถลงการณ์ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็น “อุบัติเหตุที่โชคร้าย” แต่ด้วยความเคารพพวกเขา “ไม่เห็นด้วย” กับคำตัดสิน เพราะทาง McDonald’s มองว่าตนไม่สามารถจะควบคุมความเสียหายและการบาดเจ็บในกรณีนี้ได้

“เราเห็นอกเห็นใจครอบครัวนี้ที่ต้องประสบกับอุบัติเหตุอันโชคร้าย พร้อมกันนี้เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด” เบรนท์ อัปเชิร์ช เจ้าของและผู้บริหาร McDonald’s ในพื้นที่นี้กล่าว “นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมร้านอาหารของเราต้องทำตามกฎอันเข้มงวดด้านความปลอดภัยทางอาหาร มีกระบวนการทำงานที่ดีที่สุดในการประกอบอาหารและส่งมอบเมนูอาหารของเรา ซึ่งรวมถึงแมคนักเก็ตไก่ด้วย” โดยระบุด้วยว่า สาขา Tamarac ทำตามระเบียบความปลอดภัยทั้งหมดแล้ว

Source

]]>
1430648
‘แมคโดนัลด์’ พลิกทำกำไรในรอบ 4 ปีด้วย 3 กลยุทธ์หลัก “ทานได้บ่อย นั่งได้ยาว และมีจุดแข็งมากกว่าหนึ่ง” https://positioningmag.com/1425153 Tue, 28 Mar 2023 00:44:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1425153 ถือเป็นแบรนด์ที่อยู่ในตลาด QSR มายาวนานถึง 37 ปีเต็ม แต่ในช่วง 4 ปีหลัง ผลประกอบการของ แมคโดนัลด์ ประเทศไทย (McDonald’s) ก็ไม่สู้ดีนัก โดยประสบปัญหา ขาดทุน มาอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นปี 2022 ที่แบรนด์เปลี่ยน CEO ใหม่เป็น กิตติวรรณ อนุเวชสกุล อดีตลูกหม้อของบริษัทที่ปรับกลยุทธ์แบรนด์จนกลับมา ทำกำไรได้อีกครั้ง

หยุดขาดทุนฟาดกำไร 276%

แม้จะมีการรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2022 ที่ผ่านมา แต่จริง ๆ แล้ว กิตติวรรณ อนุเวชสกุล CEO หญิงคนแรกของ แมคโดนัลด์ ประเทศไทย ก็เข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่ช่วงต้นปี และภายในปีแรก กิตติวรรณ สามารถทำให้แมคโดนัลด์สามารถพลิกกลับมาทำกำไรอีกครั้งในรอบ 4 ปี โดยทำรายได้ 5,500 ล้านบาท เติบโต 40% มีกำไร 120 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 276% และ ในปี 2023 แมคโดนัลด์ตั้งเป้าเติบโต 20%

“เราเห็นสัญญาณว่าตลาดเริ่มดีขึ้นในช่วงกลางปี 2022 ที่ผู้คนออกจากบ้านมากขึ้น และนักท่องเที่ยวก็กลับมา โดยช่วง Q4 เรามีการเติบโตสูงสุดในรอบ 10 ปี แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้เราทำกำไรอีกครั้งคือ ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ทีมงาน มีเป้าหมายที่ชัดเจน พร้อมวิ่งไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร

“กิตติวรรณ อนุเวชสกุล” CEO หญิงคนแรกของ “แมคโดนัลด์” ประเทศไทย

แวลูมีลเพิ่มความถี่ในการทาน

ย้อนไปช่วงเดือนพฤศจิกายน แมคโดนัลด์ได้เปิดตัวแคมเปญ Everyday Value Meal (EVM) ราคา 99 บาท ซึ่งสร้างการเติบโตด้วยมูลค่ากว่า 25 ล้านบาทต่อเดือน หรืออัตราการเติบโต +150%  คิดเป็นสัดส่วนยอดขาย 8.2% ของยอดขายในสินค้าทั้งหมด นอกจากนั้นยังมีโปรโมชันจับคู่ McSaver 55 บาท จับตลาดกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น

จะเห็นว่ากลยุทธ์ EVM ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ทำให้แมคโดนัลด์สามารถสร้างการเติบโตได้ ดังนั้น ในปีนี้จะยังคงเดินหน้าทำแคมเปญดังกล่าว โดยจะมีการเพิ่มเมนู ‘ไก่ทอด’ อีกสิ่งที่จะเน้นในปีนี้ จากเดิมมี 4 เมนู

“เราเห็นว่าผู้บริโภคทานข้าว 1 มื้อเฉลี่ยที่ 100 บาท เราเลยออกแคมเปญ EVM ราคา 99 บาท เมื่อราคาเข้าถึงได้ ลูกค้าก็มาทานได้บ่อยขึ้น เราจึงใช้ราคาเป็นจุดหลักในการดึงดูดใจผู้บริโภค และปีนี้จะมีการเพิ่มเมนู ซึ่งก็จะยิ่งเพิ่มความถี่ เพราะเขาสามารถมาลองเมนูใหม่ได้เรื่อย ๆ”

ดันไก่ทอดเป็นอีกจุดแข็งใหม่

ใครเป็นแฟนแมค น่าจะคุ้นเคยกับ แมคไก่ทอด ดี เพราะเป็นเมนูที่อยู่มานานและน้อยคนจะรู้ว่า กิตติวรรณ ก็คือผู้อยู่เบื้องหลัง และในปีนี้แมคจะทำตลาดไก่ทอดอย่างจริงจังมากขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่มูลค่า 25,000 ล้านบาท กินสัดส่วนมากขึ้นครึ่งหนึ่งของตลาด QSR แม้จะมีการแข่งขันสูงก็ตาม

ปัจจุบัน เมนูประเภทไก่ของแมค (แมคไก่ทอด, แมคนักเก็ต) มีสัดส่วนยอดขายประมาณ 17% โดยแมคตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนกลุ่มนี้เป็น 25-30% อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไก่ทอดจะเป็นโอกาสของแมค แต่ กิตติวรรณ ยืนยันว่า เบอร์เกอร์ยังเป็นสิ่งที่แมคโฟกัส โดยปัจจุบันเบอร์เกอร์มีสัดส่วนยอดขายประมาณ 60% โดยแมคจะเพิ่ม เมนูเบอร์เกอร์ใหม่ ๆ ออกมาทุกไตรมาส เพื่อเพิ่มความหลากหลาย

เบอร์เกอร์ยังเป็นธุรกิจหลัก แต่เราอยากสร้างจุดแข็งเพิ่มขึ้น นำเสนอวาไรตี้เมนูให้ลูกค้ามากขึ้น ซึ่งเราก็มีการพัฒนาแมคไก่ทอดมาโดยตลอดจนเราเชื่อว่าเรามีจุดแข็งพอ”

สาขาโฉมใหม่นั่งสบายได้ยาว ๆ

อีกกลยุทธ์ของแมคคือ การบริการ ที่ถือเป็นอีกกุญแจสำคัญที่สร้างการเติบโตในปีที่ผ่านมา เพราะหลังจากเปิดสาขาใหม่ 4 สาขา และรีโนเวตใหม่ 23 สาขา พบว่า สาขาที่รีโนเวตใหม่ยอดขายเพิ่มขึ้น 20% โดยสาขาใหม่เน้นส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า (Experience of the Future (EOTF)) โดยจะมี Guest Experience Leader (GEL) ช่วยบริการ, มีพนักงานเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะ พร้อมกับใส่เทคโนโลยีเพิ่มความสะดวก เช่น Self Ordering Kiosk (SOK), การชำระเงินแบบแคชเลส, มีปลั๊กไฟ และฟรีไวไฟ ให้บริการ

เรายืนยันว่าร้าน McDonald’s นั่งนานได้ สามารถเข้ามานั่งทานอาหารไปด้วยทำงานไปด้วย อย่างบางสาขาเราก็ทำห้องน้ำอย่างดีต้อนรับลูกค้า เพราะอยากให้เขาเข้ามาได้ประสบการณ์ที่ดี ได้รับความประทับใจสูงสุด”

ปัจจุบัน แมคมีสาขาทั้งหมด 228 สาขา โดยมีแผนเปิดสาขาใหม่ภายในปีนี้อีกประมาณ 10-15 สาขาใช้งบ 300 ล้านบาท เน้น strategic location ที่มีกลุ่มเป้าหมายเข้ามาใช้บริการได้มากๆ ทั้งในและนอกกรุงเทพฯ โดยพิจารณาปริมาณความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก

นอกจากนี้ แมคมีกลยุทธ์ 3D ได้แก่

  • Delivery ซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 40% ของยอดขาย โดยทางแมคจะพยายามอำนวยความสะดวกให้กับไรเดอร์
  • Drive thru ปัจจุบันมี 83 สาขา คิดเป็น 20% ของยอดขาย ซึ่งมีการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไปตั้งแต่ช่วงโควิด
  • Digital คือ แอปพลิเคชันแมคโดนัลด์ ปัจจุบันมีฐานผู้ใช้งานกว่า 3 ล้านคน โดยจะทำหน้าที่เป็น Omnichannel เพื่อจะเชื่อมต่อกับลูกค้ามากขึ้น โดยแอปจะมีการแจกคูปองส่วนลด และสามารถสั่งเดลิเวอรี่ได้

คู่แข่งใหม่มาไม่หวั่น

สำหรับภาพรวมตลาด QSR ในประเทศไทยปี 2022 มีมูลค่าราว 45,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดไก่ทอด 25,000 ล้านบาท, เบอร์เกอร์ 10,000 ล้านบาท และพิซซ่า 8,500 ล้านบาท โดย กิตติวรรณ มองว่าปี 2023 ตลาดยังมีแนวโน้มเติบโต เนื่องจากการมาของนักท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม การมาของแบรนด์เบอร์เกอร์ใหม่อย่าง Shake Shack มองว่าอาจยังไม่ได้มีนัยสำคัญต่อการแข่งขันในตลาดนัก แต่ถือว่าทำให้ตลาดมีสีสันมากขึ้น ขณะที่ แมคโดนัลด์เองยังคงเป็นเบอร์ 1 ของตลาดทั้งในแง่สาขา และยอดขาย มีส่วนแบ่งราว 60%

กิตติวรรณ ทิ้งท้ายว่า แมคโดนัลด์วางตัวเองไว้ให้กลุ่ม Premium Mass มีลูกค้าครอบคลุมทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยรุ่น, วัยทำงาน และกลุ่มครอบครัว แต่ปีนี้บริษัทจะทำตลาดในกลุ่ม Gen Z มากขึ้น

“ความท้าทายคือของการจับกลุ่ม Gen Z คือ ต้องพูดภาษาเดียวกับเขา ราคาต้องโดนใจ ต้องเชื่อมต่อเขากับแบรนด์ให้ได้ ซึ่งสำหรับเราแล้ว ความท้าทายเท่ากับโอกาส ถ้าเราเข้าถึงเขาได้เราจะมีปลาให้จับอีกเยอะมาก”

]]>
1425153
ขายเบอร์เกอร์ไม่พอ! ‘แมคโดนัลด์’ เตรียมขายโดนัท ‘คริสปี้ครีม’ นำร่อง 9 สาขาในอเมริกา https://positioningmag.com/1404730 Tue, 18 Oct 2022 16:04:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1404730 มิติใหม่แห่งการคอลแลบเมื่อ แมคโดนัลด์ (McDonald’s) จะขายโดนัทของ คริสปี้ครีม (Krispy Kreme) เป็นครั้งแรก เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ทำให้เชนฟาสต์ฟู้ดระดับโลก ต้องหาสินค้าใหม่ ๆ มาดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร้านอีกครั้ง  

ตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. แมคโดนัลด์ จะเริ่มขายโดนัท คริสปี้ครีม โดยจะนำร่องที่ 9 สาขาในเมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนตักกี้ สหรัฐอเมริกา โดยการร่วมมือดังกล่าวนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบที่จะช่วยให้บริษัทได้เรียนรู้การร่วมมือคริสปี้ครีมจะส่งผลอย่างไร

โดยลูกค้าของแมคโดนัลด์จะสามารถสั่งซื้อโดนัทรสออริจินัลเคลือบช็อกโกแลต และโดนัทไส้ราสเบอร์รี่ได้ ทั้งแบบเดี่ยวและแบบแพ็ก 6 ชิ้น โดยสินค้าดังกล่าวจะขายเฉพาะแค่ในสาขาเท่านั้น ไม่มีบริการจัดส่ง เนื่องจากแมคโดนัลด์ต้องการเพิ่มสินค้าใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาเข้าร้านมากขึ้น หลังจากที่จำนวนลูกค้าเข้าร้านลดลงเนื่องจากเงินเฟ้อที่พุ่งสูง ทำให้ลูกค้าจับจ่ายน้อยลง

ในช่วงครึ่งปีแรก แมคโดนัลด์ ระบุว่า ผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยในสหรัฐฯ ใช้จ่ายที่ร้านอาหารน้อยลง ในทางกลับกัน Mike Tattersfield ซีอีโอของคริสปี้ครีม กล่าวว่า โดนัทของเขาไม่ได้รับผลกระทบนัก เนื่องจากลูกค้าเต็มใจที่จะเลือกซื้อของที่ราคาไม่แพง เช่น โดนัท

โดยในช่วงไตรมาสสองที่ผ่านมา รายได้ของคริสปี้ครีมในสหรัฐฯ และแคนาดาเติบโตถึง 7.5% อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับลดประมาณการกำไรและรายรับทั้งปีลง โดยอ้างว่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและผลการดำเนินงานที่อ่อนค่าลงจากศูนย์กลางการผลิตในสหรัฐฯ ที่ไม่ได้ส่งไปยังสถานที่อื่น

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เครือเชนอาหารฟาสต์ฟู้ดต้องพึ่งโดนัทเพื่อดึงดูดลูกค้า ในปี 2020 KFC ได้เปิดตัวแซนด์วิช “ไก่ทอดและโดนัท” ทั่วประเทศ หลังจากการทดสอบสินค้าได้รับความสนใจบนโซเชียลมีเดีย

Source

]]>
1404730
“กิตติวรรณ อนุเวชสกุล” CEO หญิงคนแรกของ “แมคโดนัลด์” ประเทศไทย https://positioningmag.com/1396542 Wed, 17 Aug 2022 07:09:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1396542 แมคโดนัลด์ ประเทศไทยได้ประกาศแต่งตั้ง “กิตติวรรณ อนุเวชสกุล” ขึ้นเป็น CEO หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์  กิตติวรรณก็ไม่ใช่คนอื่นไกล แต่เป็นลูกหม้อเก่าที่อยู่กับแมคโดนัลด์มายาวนานกว่า 10 ปี แม้จะมีออกไปหาประสบการณ์ด้านการตลาดที่อื่น รวมถึงการเป็นที่ปรึกษา แต่ก็ได้กลับสู่ครอบครัวแมคโดนัลด์อีกครั้ง

บุกเบิกเมนูโลคอล

กิติวรรณได้เริ่มต้นการทำงานทางด้านการตลาดกับแมคไทยตั้งแต่สมัยยุค “เดช บุลสุข” ผู้ก่อตั้งแมคโดนัลด์ในประเทศไทย ตอนนั้นสำนักงานยังอยู่ที่ตึกอัมรินทร์

ก่อนผันตัวไปเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทโฆษณา แมคแคน เวิร์ลกรุ๊ป (ประเทศไทย) และเป็นที่ปรึกษาทางด้านการตลาด มามากกว่า 7 ปี จากนั้นกลับสู่ครอบครัวแมคไทยอีกครั้งเมื่อปี 2562 ในฐานะที่ปรึกษา จนปัจจุบันได้รับตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหารตั้งแต่ต้นปี 2565

ก่อนหน้าที่จะได้เข้าร่วมงานกับแมคไทย กิตติวรรณเคยร่วมงานกับบริษัทโฆษณาชั้นนำมามากกว่า 15 ปี ซึ่งได้ทำการสร้างแบรนด์ และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จให้กับหลากหลายแบรนด์ และยังได้รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางด้านการตลาด สื่อสาร ประชาสัมพันธ์อีกด้วย

ในตอนที่ทำด้านการตลาด กิตติวรรณเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการออกเมนูโลคอลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส้มตำเชคเกอร์, สลัดเชคเกอร์, เบอร์เกอร์ข้าวเหนียวหมูย่าง รวมถึงเปิดตัวแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ 1711 และแมคคาเฟ่

เปิดร้านในสุวรรณภูมิสำเร็จ

อีกหนึ่งภารกิจสำคัญของกิตติวรรณหลังจากขึ้นตำแหน่ง CEO แล้วนั้น ก็คือ การพาแมคโดนัลด์เข้าสนามบินสุวรรณภูมิได้สำเร็จ หลายคนอาจจะมองว่าแค่การเปิดร้านในสนามบิน ดูไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่จริงๆ แล้วเป็นอะไรที่สุดหินมากๆ เลยทีเดียว

พื้นที่ในสนามบินจะไม่เหมือนการเปิดร้านที่ศูนย์การค้า ที่ร้านค้าสามารถเลือกพื้นที่ และเช่าพื้นที่ได้ตามปกติ แต่สนามบินจะใช้ระบบประมูล เพื่อแข่งขันสรรหาพื้นที่ ร้านค้าแต่ละแบรนด์จึงต้องประมูลแข่งขันกัน

แมคโดนัลด์อยู่ในประเทศไทยมา 37 ปี มีร้านอยู่แค่ที่สนามบินดอนเมือง แต่ไม่เคยมีสาขาที่สนามบินสุวรรณภูมิมาก่อน ในปีนี้ถือเป็นมูฟเมนต์ครั้งใหญ่ ที่สามารถเข้าไปเปิดร้านที่สนามบินนานาชาติได้ อีกทั้งยังเป็นการเปิดพร้อมกันรวดเดียว 3 จุด ในเวลาใกล้ๆ กันตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

ได้แก่ สุวรรณภูมิ อินเตอร์ แอร์ไซด์ (คอนคอร์ส D/E) เปิดเมษายน, สุวรรณภูมิ แลนด์ไซด์ (อาคารผู้โดยสารชั้น 3) เปิดเดือนมิถุนายน และสุวรรณภูมิ อินเตอร์ แอร์ไซด์ (คอนคอร์ส F) เปิดเดือนกรกฎาคม

กิตติวรรณ บอกว่า โลเคชั่นสนามบินสุวรรณภูมิมีความสำคัญอย่างมาก เพราะรองรับทั้งคนไทยและต่างชาติ ในช่วงก่อสถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยมีการเดินทางมหาศาลมากถึง 40 ล้านคน ปีนี้เริ่มมีการเปิดประเทศ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยว 6 ล้านคน แมคโดนัลด์อยากมีร้านตอบโจทย์คนไทย และต่างชาติอยู่แล้ว แต่ที่เพิ่งได้เข้าเพราะมีการประมูลกัน 

ที่สาขาสนามบินสุวรรณภูมิ ใช้โมเดล EotF-Experience of the Future เน้นการให้บริการของพนักงาน มีการไปเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะ เป็นการสร้างความแตกต่างจาก QSR เจ้าอื่นที่เน้นบริการตัวเอง แต่ก็มีเครื่องสั่งอาหารด้วยตนเอง (Self-Ordering Kiosk) สำหรับลูกค้าที่อยากสั่งอาหารเองด้วย

Back to Basic โฟกัสที่เบอร์เกอร์!

ตลาดประเทศไทยขึ้นชื่อว่าเป็นตลาดปราบเซียนสำหรับหลายๆ ธุรกิจ ในธุรกิจอาหารเองก็มีความท้าทายอยู่ไม่น้อย หนึ่งในกลยุทธ์หลักของร้านอาหารส่วนใหญ่ก็คือ “เมนูโลคอล” เพราะคนไทยยังชื่นชอบการทานข้าว และอาหารรสชาติจัดจ้าน จะเห็นได้ว่า QSR เกือบทุกรายจำเป็นต้องมีเมนูข้าว รวมไปถึงเมนูแซ่บๆ ต่างๆ ด้วย

ถึงแม้ว่ากิตติวรรณจะเป็นผู้บุกเบิกเมนูโลคอลในไทย พวกเมนูข้าวต่างๆ หรือเมนูที่นอกเหนือจากเบอร์เกอร์ แต่ในทิศทางหลังจากนี้จะหันกลับมาโฟกัสที่ “ธุรกิจหลัก” ก็คือ เบอร์เกอร์มากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งเมนูอื่นๆ เพียงแต่จะให้น้ำหนักกับเบอร์เกอร์เป็นหลักเท่านั้นเอง

กิตติวรรณบอกว่า โดยปกติแล้วสัดส่วนรายได้หลักของแมคโดนัลด์ 60% เบอร์เกอร์ เมนูอื่นๆ ยังจำเป็นต้องมีเพื่อสร้างสีสันและความหลากหลาย แต่จะเน้นที่คุณภาพของเบอร์เกอร์ รวมถึงการจัดเซตโปรโมชันให้หลากหลาย มีความคุ้มค่า เช่น เซต 99 บาท มีเบอร์เกอร์ยอดนิยม 4 แบบ เฟรนช์ฟรายส์ และโค้ก

ปัจจุบันแมคโดนัลด์มีสาขารวมทั้งสิ้น 226 สาขา ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาได้เปิดสาขาใหม่ 4 สาขา ในครึ่งปีหลังจะเปิดอีกราวๆ 2-3 สาขา ผลักดันช่องทางไดรฟ์ทรู และเดลิเวอรี่มากขึ้น เนื่องจากเป็นช่องทางที่มีการเติบโตสูง สาขาใหม่ๆ จะเน้นที่ไดรฟ์ทรูเป็นหลัก

ในปี 2564 เป็นช่วงสถานการณ์ COVID-19 แมคโดนัลด์ ประเทศไทยสามารถสร้างการเติบโตของเดลิเวอรี่ และไดรฟ์ทรูได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเดลิเวอรี่เติบโตขึ้น 232% และไดร์ฟทรูเติบโตขึ้น 34% นับจากปี 2562

สำหรับในปีนี้แมคโดนัลด์ตั้งเป้าเติบโตขึ้น 20% พร้อมกับสร้างแบรนด์ให้เป็น QSR ที่ลูกค้าชื่นชอบที่สุดให้ได้ นั่นคือความท้าทายของ CEO หญิงคนแรกของแมคโดนัลด์ ประเทศไทย

]]>
1396542
วิกฤตขาดเเคลนมันฝรั่ง ลามถึงมาเลเซีย ‘แมคโดนัลด์’ จำกัดขาย ‘เฟรนช์ฟรายส์’ ชั่วคราว https://positioningmag.com/1372109 Fri, 28 Jan 2022 07:10:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1372109 วิกฤตขาดเเคลนมันฝรั่งลามมาถึงมาเลเซีย หลังเชนฟาสต์ฟู้ดเจ้าใหญ่อย่างแมคโดนัลด์ประกาศงดขายเฟรนช์ฟรายส์ไซซ์ใหญ่ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนเเปลง

แมคโดนัลด์ (McDonald’s) ยืนยันกับสำนักข่าว AFP ว่าตอนนี้สาขาต่างๆ ในมาเลเซียหลายร้อยแห่ง กำลังประสบปัญหาด้านซัพพลาย ทำให้ไม่สามารถเสิร์ฟเมนูเฟรนช์ฟรายส์ไซซ์ใหญ่ มาตั้งแต่วันจันทร์ (24 .. 65)

โดยบริษัทกำลังเฝ้าระวังเรื่องซัพพลายอย่างใกล้ชิด เเละจะนำเมนูเฟรนช์ฟรายส์ขนาดใหญ่มาวางขายอีกครั้งให้เร็วที่สุด

ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ต้องสะดุดครั้งใหญ่เมื่อเผชิญกับการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนา ทำให้เกิดการขาดแคลนในสินค้าต่างๆ ตั้งแต่อาหารไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ช่วงต้นเดือนนี้ แมคโดนัลด์ไต้หวัน เเจ้งต่อลูกค้าว่าจากการขนส่งซัพพลายที่ไม่เสถียรเป็นเหตุให้บางสาขาไม่มีเมนูแฮชบราวน์เพราะต้องนำเข้าจากสหรัฐฯ

ด้านแมคโดนัลด์ในญี่ปุ่น ต้องงดขายเฟรนช์ฟรายส์ไซซ์ขนาดใหญ่และขนาดกลางถึง 2 ครั้ง ตั้งแต่เดือน ธ..ที่ผ่านมา จากเหตุโควิด-19 ระบาดหนักและน้ำท่วมในแคนาดาที่ส่งผลมันฝรั่งนำเข้าขาดแคลน เเละจำเป็นต้องขนส่งวัตถุดิบจากแหล่งอื่นเข้ามาแทน 

 

ที่มา : CNA 

]]>
1372109