แสนสิริ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 05 Aug 2025 08:02:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 อสังหาภูเก็ตฮอต ‘อิสราเอล-บังกลาเทศ’ หันซื้อลงทุนปล่อยเช่า แสนสิริเผย 5 ปี โหม 29 โครงการใหม่ 3.3 หมื่นล้าน https://positioningmag.com/1532363 Tue, 05 Aug 2025 05:15:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1532363 ภูมิชาย มัธยมภพภิญโญ กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจพัฒนาโครงการภาคใต้ บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ “ภูเก็ต” เผชิญวิกฤต อาทิ สึนามิ โควิด แต่ก็พบ New    S-Curve ใหม่ตลอด ดังนั้นประเด็นภูมิรัฐศาสตร์โลกแม้มีความท้าทาย หากมองลึก ๆ ก็นับเป็นโอกาสเช่นกัน

ภูเก็ต คนทะลักเกาะกว่า 2 ล้านคน ราคาที่ดินดีด 700% ใน 20 ปี

ปัจจุบันภูเก็ต มีผู้อยู่อาศัยในเกาะเกิน 2 ล้านคน แบ่งเป็น ประชากรดั้งเดิม 4.6 แสนคน ประชากรแฝง (กลุ่มคนทำงานและนักท่องเที่ยวระยะยาวเกิน 1 เดือนขึ้นไป) 6-8 แสนคน และ นักท่องเที่ยวระยะสั้น 1.2-1.5 ล้านคน/ปี

ปัจจัยเหล่านี้ส่งเสริมตลาดที่อยู่อาศัยในภูเก็ตให้เฟื่องฟู สะท้อนจากผู้เล่นในตลาดที่เข้ามาโหมตลาดภูเก็ตมากขึ้น ส่งผลให้ราคาที่ดินโอเวอร์ขึ้นไปถึง 700% ในรอบ 20 ปี

ภูมิชาย มัธยมภพภิญโญ กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจพัฒนาโครงการภาคใต้ บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน)
ภูมิชาย มัธยมภพภิญโญ กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจพัฒนาโครงการภาคใต้ บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน)

อย่างไรก็ดี ต่อจากนี้ไปอีก 2 ปี ตลาดอสังหาภูเก็ต จะกลายเป็นตลาดของผู้เล่นตัวจริง ที่ทำราคาได้เหมาะสมในทำเลที่ถูกต้อง เพราะภาพรวมจะเข้าสู่ภาวะจริงมากขึ้น ไม่ใช่เหมือนใน 2 ปีก่อนหน้านี้ ที่ทำโปรดักส์อะไรลงมา แล้วจะขายได้ทั้งหมด

อย่างบางทำเล เราเริ่มพบภาวะซัพพลายล้น เช่น บางเทา เชิงทะเล ที่มี 7-8 พันยูนิต ทำให้อัตราดูดซับช้าลง แม้จะยังมีดีมานด์ในตลาดก็ตาม

อิสราเอล บังกลาเทศ ยูเครน นักลงทุนหน้าใหม่ในภูเก็ต ส่วน LGBTQIA+ เลือกไทยเป็นบ้านเซฟโซน

ภูมิชาย กล่าวต่อไปว่า เราพบอินไซด์น่าสนใจว่า กลุ่มชาวต่างชาติย้ายมาปักหลักภูเก็ตมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Digital Nomad ที่เริ่มขยายครอบครัว ย้ายมาจากสิงคโปร์และฮ่องกง เนื่องจากค่าครองชีพในไทยถูกกว่า รวมถึงกลุ่ม retirement ที่ซื้อที่อยู่ในไทยเป็นบ้านหลังที่สอง

โดยช่วง 2-3 ปีนี้ แสนสิริพบ New Demands จากชาติใหม่ ๆ โดยเฉพาะ อิสราเอล เริ่มเข้ามาซื้อคอนโดเพื่อการลงทุนในภูเก็ต โดยปี 2568 นี้มีการซื้อจากแสนสิริราว ๆ 40-50 ยูนิต ในราคา 3-6 ล้านบาท จากปีก่อนมีมาซื้อประปรายไม่กี่ยูนิตเท่านั้น

“แรก ๆ เราคิดว่าเขาซื้ออสังหาจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เพราะนักลงทุนอยู่ทั้งประเทศเขา และบางทีก็มาไทยบ้าง โดยคนกลุ่มนี้ซื้ออสังหาผ่านเอเจนต์และบางรายไม่เคยมาดูห้องตัวจริงด้วย แต่เขาก็ซื้อเพราะมั่นใจแสนสิริ ทีละ 1-2 ยูนิต”

ภูเก็ต ป่าตอง
ป่าตอง ภูเก็ต ภาพจาก Shutterstock

ขณะเดียวกัน ก็พบว่านักลงทุนจากหลายที่ทั่วโลก เริ่มกระจายพอร์ตการลงทุน อย่างชาวบังกลาเทศที่เป็นนักธุรกิจในอเมริกา จากเดิมเคยซื้ออสังหาเพื่อการลงทุนในดูไบ แต่เมื่อราคาอสังหาดูไบราคาเริ่มขึ้นสูง จนให้ยีลด์ได้ไม่ดีนัก จึงซื้อคอนโดในภูเก็ตแทน ซึ่งมีราคาเริ่มต้นเพียง 2-5 ล้านบาท/ยูนิต ต่างจากดูไบที่มีราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท/ยูนิต

นอกจากนี้ ก็มีชาติอื่น ๆ เข้ามาซื้อมากขึ้น อาทิ คาซัคสถาน ยูเครน อินเดีย

และที่น่าสนใจ คือ กลุ่ม LGBTQIAN+ ในต่างประเทศวางแผนตั้งถิ่นฐานหรือลงทุนที่ภูเก็ต เพราะประเทศไทยมีความชัดเจนเรื่องกฎหมายที่ให้ความคุ้มครอง และมีความเปิดกว้าง

ปล่อยเช่าคอนโดฮอต อัตราเข้าพัก 80%

สมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพ เพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า จากการทำบริการ Plus Concierge หาผู้เช่า และบริหารจัดการอสังหาให้นักลงทุน    พบว่า มีอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) 80% ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มผู้เช่ามี 2 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่

  • กลุ่มคนไทยที่ในทำงานภูเก็ต และกลุ่มต่างชาติ Digital Nomad นิยมโซนในเมือง
  • นักท่องเที่ยวระยะยาว มากกว่า 1-3 เดือนขึ้นไป นิยมโซนรอบเมือง เช่น โซนเชิงทะเล เป็นต้น
สมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด
สมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

โดยยีลด์ค่าเช่าที่อยู่อาศัยในภูเก็ตมีระดับสูงเฉลี่ยประมาณ 1 ดิจิตปลาย ๆ ซึ่งหากเทียบกับอสังหาที่พลัสพร็อพเพอร์ตี้มีการปล่อยเช่าให้ลูกค้าจะคิดอัตราผลตอบแทน (Rental Yield) ได้ดังนี้

1.ดีคอนโด ภูเก็ต

  • ราคาทรัพย์ประมาณ 2 ล้านบาท
  • ค่าเช่า 12,000-15,000 บาท/เดือน
  • Yield: 7.2% – 9.0%

2.เดอะเบส ภูเก็ต

  • ราคาทรัพย์ 3 ล้านบาทกลาง ๆ
  • ค่าเช่า 18,000 – 20,000 บาท/เดือน
  • Yield: 6.17% – 6.86%

3.บ้านสราญสิริ ภูเก็ต

  • ราคาทรัพย์ 9 ล้านบาท
  • ค่าเช่า 75,000 – 80,000 บาท/เดือน
  • Yield: 10.0% – 10.67%

“จากความร้อนแรงของภูเก็ต ทำให้ราคาเช่าบางทีอาจเด้งขึ้นสูง เช่น พูลวิลล่าบางแห่ง ราคา 30 ล้านบาท สัญญา 1 ปี ปล่อยเช่า 2.5 แสนบาท/เดือน แต่หากรอปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่น จะได้ค่าเช่า 8-9 แสนบาท/3 เดือน“

แสนสิริ จ่อเปิดเพิ่ม 29 โครงการ มูลค่า 3.3 หมื่นล้านบาท ใน 5 ปี

สำหรับปี 2568 แสนสิริ เปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก 3 แห่งในภูเก็ต มูลค่ารวมราว 2,500-3,000 ล้านบาท ได้แก่

  • เดอะเบส เชิงทะเล ราคาเริ่มต้น 3.65 ล้านบาท/ยูนิต
  • เศรษฐศิริ เกาะแก้ว ราคา 13-20 ล้านบาท/ยูนิต
  • ดีคอนโด กระทู้ ราคาเริ่มต้น 2 ล้านบาท/ยูนิต

โดยตั้งเป้ายอดขายในภูเก็ตปีนี้ ประมาณ 5,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมีโครงการแอคทีฟอยู่ 8 โครงการ เหลือประมาณ 200-300 ยูนิตเท่านั้น

แสนสิริ แผนลุยภูเก็ต 5 ปี ปี 2568-2572

ส่วนแผนระยะยาวในอีก 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2568 – 2572) เตรียมเปิดตัวรวม 29 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 33,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • แนวราบ 16 โครงการ มูลค่า 12,000 ล้านบาท
  • คอนโดมิเนียม 13 โครงการ มูลค่า 21,000 ล้านบาท

จากปัจจุบันแสนสิริเปิดตัวโครงการในภูเก็ตไปมากกว่า 26 โครงการ

]]>
1532363
แสนสิริ เปิด 3 มุมน่าห่วงอสังหาปี 68 สินเชื่อบ้าน-ภาษีทรัมป์-ฟื้นเชื่อมั่นแผ่นดินไหว https://positioningmag.com/1517978 Wed, 09 Apr 2025 09:47:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1517978 ภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ จะได้มาตรการช่วยเหลือ 2 เรื่อง ได้แก่

  • ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองลงเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท
  • การผ่อนคลาย LTV

“มาตรการรัฐดังกล่าว คงไม่น่าจะส่งผลให้ตลาดอสังหากลับมาพลิกฟื้นได้มากนัก เนื่องจากบังคับใช้ช้าเกินไป เป็นมาตรการแบบ Reactive ไม่ใช่ Proactive เพราะตลาดอสังหาเริ่มเห็นสัญญาณเชิงลบมา 1 ปีแล้ว ห่วงโซอุปทานต่างๆ ได้รับผลกระทบและบอบช้ำไปแล้ว แต่ต้องขอขอบคุณในความพยายามทำให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น เพราะมาช้ายังดีกว่าไม่มา”

อย่างไรก็ดี ภูมิภักดิ์ มองปี 2568 มี 3 ปัจจัยน่าห่วง ดังนี้

1.การปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยชะลอตัว

ปัญหาปัจจุบันของภาคอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่กำลังซื้อ ซึ่งติดกับดักหนี้ครัวเรือนอยู่ กล่าวคือ ถ้า GDP ไม่เติบโต กำลังซื้อก็จะไม่กลับมา จึงคาดการณ์ว่ามาตรการที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้ช่วยให้ประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นมากนัก

แล้วประชาชนจะมีกำลังซื้อได้อย่างไร คำตอบคือ “ธนาคารต้องปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น” เศรษฐกิจจะไม่เติบโตถ้าสินเชื่อไม่เติบโต

แม้เรากังวลเรื่องหนี้ครัวเรือน ซึ่งหนี้สินจากที่อยู่อาศัยมีสัดส่วนที่มากที่สุด แต่มีสัดส่วนเป็นหนี้เสีย (NPL) น้อยที่สุด

ดังนั้น ถ้ามีการเพิ่มเป้าหมายให้แต่ละธนาคารปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้ได้เพิ่มอีก 10% ในปีนี้ จะเป็นมาตรการที่ดีมาก ที่ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่หดตัวไปมากกว่านี้

“ที่สำคัญต้องทำควบคู่ไปกับการลดดอกเบี้ย” ซึ่งก่อนหน้านี้ทาง ธปท. ก็ได้มีการประกาศลดดอกเบี้ยมาครั้งหนึ่งแล้วในตอนต้นปี แต่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่างๆ ก็ยังลดลงไม่มาก

2.มาตรการทรัมป์ ในการตั้งกำแพงภาษีสินค้าส่งออกของไทยสูง 36%

มาตรการดังกล่าว ส่งผลกระทบในแง่ลบโดยตรงกับ GDP ของประเทศไทยทันที เนื่องจาก 70% ของ GDP เรามาจากการส่งออก และประเทศสหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของไทย

สิ่งที่ตามคือ กำลังซื้อของคนในประเทศจะยิ่งลดลงไปอีก ซึ่งจะกระทบกับธุรกิจทุกภาคส่วนไม่ใช่แค่ภาคอสังหาริมทรัพย์

และถ้าดูองค์ประกอบหลักๆ ของ GDP ไทย ซึ่งประกอบด้วย

  • ดุลการค้าระหว่างประเทศ (ส่งออก-นำเข้า)
  • การใช้จ่ายของรัฐบาล
  • การลงทุน
  • การบริโภคในประเทศ

การส่งออกและการบริโภคในประเทศจะต้องลดลงแน่นอน ส่วนการใช้จ่ายของรัฐบาลก็ยังติดขัดในเรื่องการเบิกจ่ายและการขยายการใช้จ่ายไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจากกรอบหนี้สาธารณะที่ 70% ซึ่งทำให้ไม่สามารถใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้นนัก

ดังนั้น ทางรอดทางเดียวของประเทศไทยตอนนี้ก็คือ “การลงทุนจากต่างชาติ” ซึ่งก็ต้องมีการปรับกฎระเบียบต่างๆ ให้เอื้อกับการที่เค้าจะมาลงทุนให้มากขึ้น และก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก 1-2 ปี กว่าเม็ดเงินจะเข้ามาและมีการจ้างงานเกิดขึ้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเศรษฐกิจไทยกว่าจะไปถึงตรงนั้นจะเป็นอย่างไร

แต่อย่างน้อยเมื่อมีชาวต่างชาติมาลงทุนมากขึ้น ความต้องการที่อยู่อาศัยก็จะมีมากขึ้น ซึ่งตรงนี้น่าจะช่วยผลักดันให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีปัจจัยบวกเสริมบ้าง แต่ถ้าไม่มีการขยายระยะเวลาการเช่าให้นานขึ้น ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยเสียโอกาสในการที่จะมีเม็ดเงินใหม่ๆ เข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่เรายากลำบาก

3.ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว

ปัจจุบันเหตุการณ์ผ่านมาร่วม 10 วันแล้ว สิ่งที่เราต้องคำนึงเป็นอันดับแรกคือ ความสูญเสียและความรู้สึกของผู้ที่ได้รับผลกระทบ กล่าวคือจะต้องกลับไปเยียวยาและช่วยเหลือให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชนก็ตาม

ทั้งนี้ ตลาดคอนโด ในช่วงนี้มีผลกระทบเต็มๆ จากความเชื่อมั่น และความพร้อมของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องให้ Priority กับการดูแลลูกค้าก่อนการขาย

ส่วนความต้องการโครงการแนวราบ อย่าง บ้านและทาวน์เฮ้าส์กลับมีเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ทำให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีโครงการแนวราบใน Portfolio ของตัวเองได้รับปัจจัยบวกจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดนี้

ซึ่งก็ทำให้ภาพตลาดโดยรวมยังไม่ได้ถึงกับไม่ดีมากนัก ถ้าไม่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวเกิดขึ้นอีก ประชาชนเริ่มหายตื่นตระหนก และโครงการมีการซ่อมแซมความเสียหายต่างๆ เรียบร้อยแล้ว สถานการณ์น่าจะกลับสู่ภาวะปกติ และความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดก็จะกลับมา

โดยส่วนตัวมองว่าผลกระทบนี้เป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากโครงการคอนโดต่างๆ ได้ผ่านบททดสอบครั้งใหญ่ที่สุดมาแล้ว ว่าโครงสร้างอาคารแข็งแรงและปลอดภัยต่อการอยู่อาศัย

ประเทศต่างๆ ที่เขาประสบปัญหาแผ่นดินไหว เช่น ญี่ปุ่น หรือ ไต้หวัน เขาก็มีการปรับตัวและยังอยู่อาศัยในอาคารสูงได้ สำหรับประเทศไทย คิดว่าเมื่อเวลาผ่านไป เราก็คงจะปรับตัวได้เช่นกัน

]]>
1517978
แสนสิริ รุกธุรกิจ ”รับสร้างบ้าน“ เปิดน่านน้ำรายได้ใหม่ https://positioningmag.com/1514686 Thu, 13 Mar 2025 12:27:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1514686 ถ้าพูดถึง “แสนสิริ” เราจะนึกถึงผู้พัฒนาโครงการบ้านจัดสรร หรือกระทั่งคอนโด เจาะกลุ่มกำลังซื้อระดับบน

ทว่าปี 2568 แสนสิริ ได้ประกาศลุย Business Model ใหม่ เจาะตลาดรับสร้างบ้านที่มีมูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตระดับ Double Digit (ตัวเลขสองหลัก) ทุกปี และจะกลายเป็นอีกหนึ่งน่านน้ำรายได้ให้กับแสนสิริ

วิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริ เตรียมเปิดตัว ต้นแบบ Crafted By Sansiri เป็นบริการรับสร้างบ้าน จากดีมานด์ต้องการปลูกบ้านบนที่ดินตนเองขยายตัวต่อเนื่อง

“ลูกค้าที่มีที่ดินอยู่แล้ว สามารถเข้ามาดูแบบบ้านของแสนสิริ แล้วนำไปสร้างบ้านได้ทันที”

ทั้งนี้ ข้อได้เปรียบของแสนสิริ คือ มีความพร้อมด้านบุคลากร และแรงงาน รวมไปถึงมีโรงงานพรีคาสต์ ที่มีกำลังผลิตมากพอที่จะซัพพลายวัสดุมาใช้ในธุรกิจรับสร้างบ้านได้

วิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

ตลอดจน ธุรกิจรับสร้างบ้าน บริษัทฯ แทบไม่มีต้นทุนที่ต้องแบกรับเอง ไม่ว่าจะเป็นค่าที่ดิน ซึ่งเป็นที่ดินของลูกค้าอยู่แล้ว รวมถึงค่าก่อสร้าง ลูกค้าก็แบ่งชำระเป็นงวด ๆ เช่น จ่ายล่วงหน้า 15% ตามขั้นตอน

ต่างจากการลงทุนพัฒนาโครงการเอง ที่ต้องแบกรับต้นทุนหลายส่วน อาทิ ต้นทุนที่ดิน ค่าก่อสร้าง

”เมื่อมองในแง่กำไรสุทธิของธุรกิจรับสร้างบ้านก็สูงถึง 20%”

เศรษฐสิริ กรุงเทพ-ปทุมธานี 2

สำหรับปี 2568 แสนสิริวางแผนเปิดตัว 29 โครงการใหม่ มูลค่า 52,000 ล้านบาท เน้นตลาดระดับบน รวมถึงขยายโครงการไปยังเมืองท่องเที่ยวและหัวเมืองใหญ่ ได้แก่ ภูเก็ต พัทยา ชลบุรี และขอนแก่น

โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากหุ้นกู้ 60% สินเชื่อโครงการ (Project Finance) 25% และเงินกู้ระยะสั้น 15%

“ปีนี้แสนสิริ ตั้งเป้ารายได้ 40,000 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 39,000 ล้านบาท ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังต้องเฝ้าระวัง”

]]>
1514686
แสนสิริ ปี 68 บาลานซ์เสี่ยง รุกขยาย JV เน้นเปิดโครงการระดับบน หนีกำลังซื้อหด https://positioningmag.com/1509557 Wed, 05 Feb 2025 08:17:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1509557 นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ กล่าวว่า ปี 2567 แสนสิริ ยังเติบโตแม้เศรษฐกิจเปราะบาง โดยทำยอดขาย 50,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% (YoY) และมียอดโอนกรรมสิทธิ์ (รวมโครงการ JV) 43,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% (YoY)

อย่างไรก็ตาม ปี 2568 ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมีความท้าทายสูง และอยู่ในจุดต่ำ แต่การฟื้นตัวมองเป็น 2 รูปแบบ คือ U-Shape หดตัวนานฟื้นตัวช้า และกรณีแย่สุดอาจเป็น L-Shape คือ หดตัวยาวนานขึ้นไปอีก

ทำให้แผนปี 2568 แสนสิริเปิดตัวโครงการใหม่ 29 โครงการ ลดลง 32% (YoY) มูลค่า 52,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% (YoY) แบ่งเป็น

  • คอนโด 15 โครงการ มูลค่า 20,400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 40% เน้นทำเลหายาก เช่น คอนโดย่านนางลิ้นจี่, Via สุขุมวิท 34, PTY คอนโดติดหาดพัทยา
  • บ้าน 14 โครงการ มูลค่า 31,600 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 60% เน้นบ้านลักซูรี อาทิ โครงการ นาราสิริ บุราสิริ เป็นต้น

ทั้งนี้ การเปิดตัวโครงการใหม่ปีนี้ เน้นกลุ่มระดับราคากลาง-บน และลดสัดส่วนกลุ่ม Affortdable ลง ดังนี้

  • บ้านระดับบน (Premium) สัดส่วน 57% (จากเดิม 35%)
  • บ้านระดับกลาง (Medium) สัดส่วน 25% (จากเดิม 43%)
  • บ้านระดับราคาเข้าถึงง่าย (Affortdable) สัดส่วน 18% (จากเดิม 22%)

“ยอดรีเจกต์เรตของแสนสิริมีประมาณ 11% ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Affortdable ที่กำลังซื้อชะลอตัวลง และถ้าวันใดกลุ่มนี้ฟื้นตัว อาจกลับมาลุยตลาดอีกครั้ง“

อีกกลยุทธ์ที่แสนสิริโฟกัส คือ การขยายการลงทุนผ่านพาร์ตเนอร์ เพื่อบาลานซ์ความเสี่ยงด้านการเงินในแง่ลดการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน

  • ปี 2567 มีโครงการร่วมทุน (JV) ประมาณ 6 โครงการ มูลค่า 8,600 ล้านบาท กับ 2 พาร์ตเนอร์ คือ โตคิว คอร์ปอเรชั่น และ เอ็กซ์สปริง แอสเสท เมเนจเมนต์
  • ปี 2568 จะขยาย JV เป็น 7 โครงการ มูลค่า 19,500 ล้านบาท ร่วมกับ 3 พาร์ตเนอร์ คือ โตคิว คอร์ปอเรชั่น, เอ็กซ์สปริง แอสเสท เมเนจเมนต์ และรายล่าสุด มิตซุย ฟูโดซัง

ส่วนสัดส่วนการร่วมทุนของแต่ละเจ้าไม่เท่ากัน อาทิ

  • โตคิวฯ ถือหุ้น 30-35% และแสนสิริ 65-70%
  • เอ็กซ์สปริง แอสเสทฯ ถือหุ้น 30-40% และแสนสิริ 60-70%
  • มิตซุย ฟูโดซัง ถือหุ้น 45% และแสนสิริ 55%

“ปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขาย 53,000 ล้านบาท เติบโต 6% (YoY) และมียอดโอนกรรมสิทธิ์ 46,000 ล้านบาท เติบโต 5% (YoY)”

]]>
1509557
แสนสิริ x มิตซุย ฟุโดซัง ร่วมทุน 6 พันล้าน ทำบ้านหรูหลังละ 14-120 ล้านบาท https://positioningmag.com/1501980 Wed, 04 Dec 2024 03:49:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501980 แสนสิริ ประกาศ JV มิตซุย ฟุโดซัง บิ๊กอสังหาญี่ปุ่น ลุยบ้านลักซูรี 2 โครงการ มูลค่า 6 พันล้านบาท คาดเปิดตัวปี 2568

แสนสิริ (SIRI) ประกาศความร่วมมือกับทุนญี่ปุ่น บริษัท มิตซุย ฟุโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) จำกัด จัดตั้งบริษัทร่วมทุน (JV) เพื่อร่วมพัฒนา 2 โครงการแนวราบ ระดับลักซูรี ได้แก่

1. บุราสิริ จตุโชติ ขนาด 49 – 3 – 9.1 ไร่ มูลค่าโครงการ 2,080 ล้านบาท ราคาเริ่ม 14 – 25 ล้านบาท

2. นาราสิริ บางนา กม.10 ขนาด 38 – 2 – 96.2 ไร่ มูลค่าโครงการ 4,100 ล้านบาท ราคาเริ่ม 55 – 120 ล้านบาท

โดยคาดว่าทั้งสองโครงการ จะเปิดตัวในปี 2568 ซึ่งแผนความร่วมมือครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของแสนสิริ ที่ขยายโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ๆ

ล่าสุด ได้ประกาศผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือน (สิ้นสุด ก.ย. 67) มีรายได้รวมมาเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอสังหาฯ อยู่ที่ 28,877 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,009 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเปิดตัวอีก 15 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาท

]]>
1501980
ส่องรายได้ – กำไร บิ๊กอสังหาฯ 9 เดือนแรกปี 2567 “แสนสิริ-เอพี-ศุภาลัย” รั้งท็อป 3 ผลงานดีสุด https://positioningmag.com/1498940 Thu, 14 Nov 2024 06:05:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498940 ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่นิ่งนอนใจ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในรัฐบาลมีผลให้นโยบายและมาตรการต่าง ๆ ที่มีแผนจะอนุมัติหรือว่าประกาศใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้าต้องชะลอและเลื่อนออกไปจนถึงช่วงปลายของไตรมาส 3 ที่ผ่านมา แต่ด้วยกำลังซื้อบางส่วนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีอยู่ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์จากรัฐบาลที่ประกาศใช้มาก่อนหน้านี้ รวมถึงการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้ประกอบการหลาย ๆ รายผ่านกิจกรรมทางการตลาดที่หลากหลาย ส่งผลให้รายได้และผลกำไรเติบโตต่อเนื่อง และมากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ (Property DNA) กล่าวว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีรายได้รวมมากที่สุดในช่วง 9 เดือน ที่ผ่านมาของปี 2567 คือ กลุ่มแสนสิริ มีรายได้เป็นอันดับ 1 จำนวน 28,877 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการขายบ้านในโครงการจัดสรร โดยเฉพาะกลุ่มบ้านลักชัวรี่ที่มีราคาแพง ส่วนคอนโดมิเนียมมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการในต่างจังหวัดในสัดส่วนที่มากกว่ากรุงเทพฯ

อันดับ 2 คือ กลุ่มเอพี (ไทยแลนด์) ที่มีรายได้รวม 27,676 ล้านบาท สัดส่วนของรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบมากกว่าคอนโดฯ เช่นกัน และ กลุ่มศุภาลัยตามมาเป็นอันดับที่ 3 ด้วยรายได้กว่า 22,792 ล้านบาท

ส่วนผู้ประกอบการอีก 2 รายที่มีรายได้รวม 9 เดือนแรก มากกว่า 10,000 ล้านบาท คือ กลุ่มเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น และเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 14,454 ล้านบาท และ 13,534 ล้านบาท ตามลำดับ

ในส่วนของกำไรสุทธิอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก โดยเฉพาะในกลุ่ม 3 อันดับแรก ที่มีกำไรสุทธิอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน โดย ศุภาลัย มีกำไรมากเป็นอันดับ 1 จำนวน 4,201 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 6% เนื่องจากโครงการเปิดขายใหม่บางโครงการได้รับการตอบรับสูงมาก ตามมาด้วย กลุ่มแสนสิริ ที่มีกำไร 4,009 ล้านบาท และ เอพี (ไทยแลนด์) กำไรสุทธิ 3,727 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามทั้ง แสนสิริ และ เอพีฯ อาจจะมีกำไรลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ก็ยังมากเป็นอันดับที่ 2 และ 3 ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่ ประกาศผลประกอบการออกมาแล้วก็มีผลกำไรที่น่าสนใจ เพราะมีกำไรมากกว่า 1,000 ล้านบาท ทุกราย ซึ่งถือว่าเป็นผลประกอบการที่ดีเมื่อเทียบกับปัญหาต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4/2567 นี้อาจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือปัจจัยบวกที่จะมีผลกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของกำลังซื้อมากนัก เพราะสิ่งที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยต้องการในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง แต่เป็นเรื่องของการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ เพราะปัจจุบันสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยค่อนข้างมาก และไม่ค่อยมีการผ่อนปรนหรือประนีประนอมแบบก่อนหน้านี้ ขณะที่ผู้ประกอบการพยายามตรึงราคาขายไม่ให้สูงเกินไป และมีการลดราคาลงด้วยในบางครั้ง หรือมีมาตรการทางการตลาดอื่น ๆ ที่ส่งเสริมช่วยเหลือผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริง ๆ

ดังนั้นปีนี้อาจจะเป็นปีที่ไม่ได้เห็นการสร้างรายได้หรือกำไรที่ไม่โดดเด่นมากนัก แต่ก็ประเมินว่าจนถึงสิ้นปีจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สร้างรายได้และกำไรได้มากกว่าปีที่ผ่านมา และอาจจะมีผู้ประกอบการบางรายที่ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้เมื่อตอนต้นปี    

]]>
1498940
ส่องโมเดล “ถนนหอการค้าไทย” จาก “เพอร์เฟค” ตัดถนนเปลี่ยนทำเล ดึง 8 อสังหาฯ ชื่อดังร่วมสร้างเมืองใหม่ https://positioningmag.com/1475036 Fri, 24 May 2024 12:17:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1475036 “เพอร์เฟค” โชว์เคสโมเดลธุรกิจบน “ถนนหอการค้าไทย” ถนนส่วนบุคคลความยาว 4 กิโลเมตรที่บริษัทลงทุนตัดและดูแลเองเพื่อ “พลิกทำเล” จากที่ดินตาบอดสู่ย่านที่อยู่อาศัย 1,300 ไร่ พร้อมดึงอสังหาฯ ชื่อดังรวม 8 ค่ายซื้อที่ดินจับมือลงทุนสร้างเมืองใหม่ไปด้วยกัน

“ถนนหอการค้าไทย” จ.นนทบุรี เป็นถนนใหม่ที่เพิ่งตัดเสร็จเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ถนนเส้นนี้มีความยาว 4 กิโลเมตร เชื่อมต่อจากฝั่งถนนชัยพฤกษ์ ทะลุไปออกถนนทางหลวง 345 และเป็นถนนขนาดใหญ่ 6 เลนพร้อมเกาะกลางปลูกต้นไม้ตกแต่ง

ปัจจุบันสองข้างทางถนนเรียงรายด้วยหมู่บ้านสารพัดแบรนด์ เพราะเจ้าของถนนและที่ดินรอบข้างคือ “บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” เป็นผู้เก็บสะสมที่ดิน ลงทุนตัดถนนเอง และดูแลบำรุงรักษาถนน เพื่อพลิกทำเลมาเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย

ถนนหอการค้าไทย
แผนที่ที่ดิน 1,300 ไร่ของเพอร์เฟคและพันธมิตรที่มาร่วมลงทุนซื้อที่ดิน-พัฒนาโครงการ

“วงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต” กรรมการผู้จัดการ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดเผยว่า บริษัทเริ่มเข้ามาทยอยซื้อที่ดินในย่านนี้มาเกิน 10 ปีแล้ว หลังจากเล็งทำเลแล้วมองว่าที่ดินย่านถนนรัตนาธิเบศร์และถนนแจ้งวัฒนะกำลังจะ ‘เต็ม’ ในไม่ช้า ทำให้เชื่อว่าความเจริญจะขยายข้ามแม่น้ำมาทางสะพานพระราม 4 เข้าสู่ถนนชัยพฤกษ์

ทำให้เพอร์เฟคซุ่มลงทุนซื้อที่ดินตาบอดที่ลึกเข้าไปจากถนนชัยพฤกษ์ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นทุ่งนา เมื่อเก็บที่ดินได้รวมกว่า 1,300 ไร่ บริษัทจึงทุ่มทุน 400 ล้านบาทเพื่อตัด “ถนนหอการค้าไทย” พลิกทำเลจากที่ดินตาบอดให้กลายเป็นทำเลที่เข้าออกถนนใหญ่ได้ถึง 2 ทาง โดยถนนนี้สร้างเสร็จปี 2557 และเป็นจุดเริ่มต้นในการชักชวนเพื่อนร่วมวงการมาลงทุน

 

ช่วยกันลงทุนเพื่อให้ทำเล ‘เกิด’ เร็ว

สไตล์การลงทุนของเพอร์เฟคมักจะชอบเก็บที่ดินแปลงใหญ่และแบ่งขายให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เจ้าอื่น ไม่ได้ลงทุนเองทั้งหมด แปลงนี้ก็เช่นกัน ปัจจุบันมีอสังหาฯ ทั้งหมด 8 ค่ายที่มาลงทุนหรือจับจองที่ดินอยู่บนถนนหอการค้าไทย ได้แก่ เพอร์เฟค, ฮ่องกงแลนด์, เอสซี แอสเสทฯ, แสนสิริ, พฤกษา, เอพี, พราว เรียล เอสเตท และเซ็นทรัลพัฒนา

พื้นที่นี้มีการพัฒนาโครงการไปแล้ว 920 ไร่ รวมทุกค่าย 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกันกว่า 30,000 ล้านบาท และทางเพอร์เฟคมีการประเมินว่าถ้าทุกค่ายพัฒนาที่ดินในมือจนครบ 1,300 ไร่ จะมีมูลค่าโครงการบนพื้นที่นี้รวมกว่า 50,000 ล้านบาท และจะทำให้มีครอบครัวเข้ามาอาศัยในบริเวณนี้กว่า 4,600 หลังคาเรือน!

ถนนหอการค้าไทย
จำแนกที่ดินในพื้นที่ถนนหอการค้าไทย

วงศกรณ์อธิบายว่า ที่ตัดสินใจปล่อยขายให้อสังหาฯ เจ้าอื่นด้วย เพราะการมีหลายบริษัทมาพัฒนาโครงการพร้อมกัน จะทำให้ทำเล ‘เกิด’ เร็วกว่ามีบริษัทเดียว ด้วยการช่วยกันโปรโมตทำการตลาดจะทำให้คนรู้จักถนนหอการค้าไทยเร็วขึ้น และลูกค้าก็จะมีทางเลือกมากขึ้น มีบ้านหลายแบบ หลายราคา

ถนนเส้นนี้มีบ้านที่ยังอยู่ระหว่างขายให้เลือกหลายโครงการ เช่น โครงการ “แกรนด์ พลีโน่ แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์” ของค่ายเอพี ซึ่งเป็นบ้านแฝดที่เพิ่งเปิดตัว ราคาเริ่ม 6.09 ล้านบาท ขยับขึ้นมาเป็นบ้านเดี่ยว “เดอะ ปาล์ม แจ้งวัฒนะ-ชัยพฤกษ์” ของค่ายพฤกษา ราคาเริ่ม 8.99 ล้านบาท หรือจะเป็น “บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์” ของค่ายเอสซี แอสเสทฯ ราคาเริ่ม 9.99 ล้านบาท รวมถึงมีระดับคฤหาสน์ในโครงการ “เลค เลเจนด์ แจ้งวัฒนะ” โครงการร่วมทุนของเพอร์เฟคกับฮ่องกงแลนด์ ที่ทำราคาสูงสุดหลังละ 130 ล้านบาท

ส่วนพันธมิตรใหม่ที่เพิ่งเข้ามาอย่าง “พราว เรียล เอสเตท” และ “เซ็นทรัลพัฒนา” จะเข้ามาพัฒนาโครงการแนวราบเช่นกัน แต่ยังอยู่ระหว่างออกแบบว่าจะเป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทใดในระดับราคาไหน

 

“SISB” เพิ่มให้เมืองครบเครื่อง หวังหาพาร์ทเนอร์ทำ “คอมมูนิตี้ มอลล์”

นอกจากการดึงที่อยู่อาศัยหลากหลายแบรนด์แล้ว ชุมชนบนถนนหอการค้าไทยยังมีการดึง “โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ (SISB) นนทบุรี” เข้ามาอยู่บนถนนเส้นนี้ด้วย ซึ่งทำให้มีตัวเลือกด้านการศึกษาให้กับบุตรหลาน

ถนนหอการค้าไทย
ถนนหอการค้าไทย

ส่วนพื้นที่รีเทลนั้น บริเวณรอบๆ ถนนหอการค้าไทยมีการเปิดศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ปี 2557 ไม่ว่าจะเป็น “เดอะ คริสตัล พีทีที ชัยพฤกษ์” “โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์” หรือ “โลตัส นอร์ธ ราชพฤกษ์”

แต่ภายบนถนนหอการค้าไทยเองยังไม่มีคอมมูนิตี้ มอลล์ จะมีเฉพาะโลตัสและอาคารพาณิชย์ ซึ่งทางวงศกรณ์กล่าวว่าบริษัทยังมีพื้นที่ที่กันไว้สำหรับพัฒนาคอมมูนิตี้ มอลล์ได้ อยู่ระหว่างเจรจาหาพันธมิตรที่สนใจลงทุน

สรุปรวมที่ดินบนถนนหอการค้าไทยยังเหลือแปลงที่ดินว่างอีก 386 ไร่จาก 1,300 ไร่ (*ไม่รวมแปลงของ ม.หอการค้าไทยที่มี 215 ไร่) ทั้งหมดนี้กระจายอยู่ในมือพันธมิตรทั้ง 8 บริษัท โดยวงศกรณ์คาดว่าน่าจะใช้เวลาอีก 5 ปีกว่าที่จะพัฒนาหมด และจะทำให้ชุมชนนี้สมบูรณ์และคึกคักยิ่งกว่าวันนี้

]]>
1475036
เปิดคอนเซ็ปต์ 4 แบรนด์ใหม่ “แสนสิริ” ปี 2567 “ณริณศิริ” “Else” “Mabel” “Pynn” https://positioningmag.com/1460482 Fri, 26 Jan 2024 08:51:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1460482 “แสนสิริ” ถือเป็นบริษัทอสังหาฯ ที่ชอบการแตกแบรนด์ใหม่อยู่เรื่อยๆ ตามโอกาสที่เข้ามา รวมถึงปี 2567 นี้ที่ประกาศออกมาแล้วว่าจะมี 4 แบรนด์ใหม่ แบ่งเป็นกลุ่มแนวราบ 3 แบรนด์ และคอนโดมิเนียม 1 แบรนด์

Positioning มีโอกาสพูดคุยรายละเอียดกับ “ศรีอำไพ รัตนมยูร” ประธานผู้บริหารสายงานการตลาด บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ถึงคอนเซ็ปต์ของทั้ง 4 แบรนด์ว่าจะเป็นแบบไหน? และแสนสิริยังมีเซ็กเมนต์ใหม่ให้ไปจับอีกหรือ?

“เรามีแบรนด์ที่หลากหลายขึ้นเพราะตลาดมีความ fragment (แยกย่อย) เยอะขึ้น ขณะที่เรามีการออกแบบโครงการโดยยึดลูกค้าเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว ทำให้มีแบรนด์ใหม่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองลูกค้าเฉพาะกลุ่ม แต่ขนาดโครงการก็อาจจะเล็กลงเพราะเฉพาะตัวมากกว่าเดิม” ศรีอำไพอธิบาย

แบรนด์ แสนสิริ
“ศรีอำไพ รัตนมยูร” ประธานผู้บริหารสายงานการตลาด บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

 

เริ่มกันที่แบรนด์แรก “ณริณสิริ” (Narinsiri)

แสนสิริประกาศมาแล้วว่าจะมี 1 โครงการในทำเลกรุงเทพกรีฑา เป็นโปรดักส์บ้านเดี่ยวราคา 45-70 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท

ปกติแบรนด์บ้านระดับบนของแสนสิริจะมี “เศรษฐสิริ” ที่เล่นตลาดราคา 15-30 ล้านบาท ขึ้นมาเป็น “บูก้าน” ในราคา 30-70 ล้านบาท ส่วน “นาราสิริ” จะเป็นบ้านสุดหรูราคา 60-100 ล้านบาท

ดูเหมือนจะครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์แล้วก็จริง แต่ศรีอำไพระบุว่าลูกค้ามี feedback มาเยอะมากว่าอยากได้บ้านราคาบูก้าน แต่ดีไซน์ยังมีความคอนเซอร์เวทีฟแบบนาราสิริ พูดง่ายๆ คืออยากได้ ‘นาราสิริ จูเนียร์’ ในราคาเอื้อมถึงได้มากขึ้น

เป็นที่มาของการแตกแบรนด์นามสกุล ‘สิริ’ ออกมาใหม่อีกแบรนด์หนึ่งคือ “ณริณสิริ”

แสนสิริ แบรนด์
3 แบรนด์ใหม่แนวราบ ปี 2567

 

ถัดมาคือแบรนด์ “Else” (เอลส์)

แผนจะเปิดทั้งหมด 6 ทำเล แต่มูลค่าโครงการรวมกันเพียง 840 ล้านบาท

เนื่องจากแบรนด์นี้จะเป็นการเข้าตลาดโครงการบ้านเดี่ยวกลางเมืองหรือใกล้เมืองบนที่ดินขนาดเล็กในซอย ทำได้เพียง 5-7 หลัง ราคาหลังละ 20-60 ล้านบาท

ศรีอำไพมองว่า เห็นความต้องการจากกลุ่มลูกค้าที่ไม่เน้นโครงการใหญ่ ไม่ต้องมีส่วนกลางอลังการ แต่ทำเลต้องยังอยู่ในเมืองหรือเข้าเมืองสะดวก และยิ่งมีน้อยหลังกลับยิ่งชอบเพราะต้องการความเป็นส่วนตัวสูง

ถือว่าแมตช์พอดีกับการหาที่ดินของแสนสิริ เพราะยุคนี้หาที่ดินแปลงใหญ่ในเมืองยากมาก หากได้ที่ดินขนาดเล็กมาแต่สามารถพัฒนาโครงการขายได้ก็ถือว่าวิน-วิน

 

จับตลาดกลางด้วย “Mabel” (มาเบิล)

สุดท้ายในกลุ่มแบรนด์ใหม่แนวราบคือ Mabel เป็นบ้านเดี่ยว 5-7 ล้านบาท จะสร้าง 1 โครงการทำเลบางนา กม.26 มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท

ราคาแบรนด์นี้น่าจะไปทับไลน์กับ “อณาสิริ” แต่ศรีอำไพอธิบายว่า Mabel จะต่างออกไปคือการสร้างเป็นบ้านเดี่ยวทั้งหมด ในราคาที่ใกล้เคียงกับบ้านแฝดในอณาสิริ (ซึ่งเป็นโครงการประเภทมิกซ์โปรดักส์ มีได้ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม แล้วแต่ทำเล)

แนวคิดเกิดจากพบกลุ่มลูกค้าที่ยอมแลก ยอมอยู่ในทำเลที่ไกลเมืองออกไปอีก แต่ต้องการพื้นที่ใหญ่ ในแพ็กเกจราคา 5-7 ล้านบาทเท่าเดิม รวมถึงงานดีไซน์ก็จะออกแบบใหม่ไม่เหมือนกับอณาสิริ ส่วนนี้ต้องรอชมภาพกันต่อไป

 

คอนโดฯ แบรนด์ใหม่ “Pynn” (พิน) ส่วนด้านซ้ายคือ “mekin haus” คอนโดฯ ตระกูล haus ที่จะไปเปิดในเชียงใหม่
คอนโดฯ ไซส์เล็ก​​ (มาก) กับแบรนด์ “Pynn” (พิน)

ปิดท้ายที่คอนโดฯ ใหม่แบรนด์ Pynn จะเปิด 2 ทำเลคือ ศูนย์วิจัย กับ ปรีดี 20 (ยังไม่แจ้งมูลค่าโครงการ)

ศรีอำไพบอกว่า มองง่ายๆ คือการได้ที่ดินคล้ายกับโครงการ Else มา เป็นที่ดินเล็ก 200-300 ตร.ว. ในซอยต่างๆ ไม่สามารถขึ้นคอนโดฯ ขนาดใหญ่ได้

แสนสิริจึงพัฒนาเป็นคอนโดฯ จำนวนยูนิตน้อยไม่เกิน 79 ยูนิต ไม่มีส่วนกลางมากมาย แต่แลกมาด้วยทำเลที่ใกล้เมืองจริงๆ โดยช่วงราคาจะถือว่าเป็น “ระดับกลาง” ของแสนสิริ (แปลว่าน่าจะได้เห็นราคาที่ 100,000 บาทต่อตร.ม.ขึ้นไป)

ทั้งหมดคือแผนการทำแบรนด์ 4 แบรนด์ใหม่ของแสนสิริในปีนี้!

 

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

]]>
1460482
“เน้นวินัยลงทุน” ธีมแผนธุรกิจปี 2567 ของ “แสนสิริ” ผ่อนคันเร่งเปิดใหม่-เพิ่มน้ำหนักคอนโดฯ https://positioningmag.com/1459884 Tue, 23 Jan 2024 07:31:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1459884
  • แผนธุรกิจ “แสนสิริ” ปี 2567 เน้นวินัยลงทุนมากกว่าคว้าทุกโอกาส ผ่อนคันเร่งเปิดตัวใหม่เล็กน้อย ปีนี้จะเปิด 46 โครงการ มูลค่ารวม 61,000 ล้านบาท
  • น้ำหนักการเปิดตัวปีนี้ ประเภทที่อยู่อาศัยจะเน้นที่กลุ่ม “คอนโดฯ” มากขึ้นหลังซัพพลายในมือเหลือน้อยลง ขณะที่เซ็กเมนต์เน้นกลุ่มตลาดกลางและตลาดพรีเมียมรวมกันถึง 82%
  • “อุทัย อุทัยแสงสุข” ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลประกอบการของแสนสิริในปี 2566 ดังนี้

    • เปิดตัวโครงการใหม่ 44 โครงการ มูลค่ารวม 65,000 ล้านบาท
    • ยอดพรีเซล 49,000 ล้านบาท
    • ยอดรับรู้รายได้ 39,000 ล้านบาท
    • กำไรสุทธิ (เฉพาะ 9 เดือนแรก) 4,760 ล้านบาท

    แสนสิริตัวเลขของปีที่แล้วนั้นแสนสิริสร้างสถิติ ‘All-time High’ ได้สองรายการ คือ มูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่และกำไรสุทธิที่มากที่สุดตั้งแต่เปิดบริษัท ขณะที่ยอดรับรู้รายได้เติบโตจากปี 2565 ได้ 6% อย่างไรก็ตาม ยอดพรีเซลลดลงเล็กน้อยจากปี 2565 ที่ทำได้ 50,000 ล้านบาท

    อุทัยสรุปภาพรวมของปี 2566 ว่าเป็นปีแห่งการขายบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีของแสนสิริ ทำยอดขายได้ดีทั้งในกลุ่มบ้านแบรนด์เศรษฐสิริและนาราสิริ รวมถึงเห็นสัญญาณการขายคอนโดฯ ที่ดีขึ้นมาก

     

    เปิดตัวใหม่ให้น้ำหนัก “คอนโดฯ” สูงขึ้น

    สำหรับปี 2567 อุทัยเปิดแผนธุรกิจของแสนสิริ ดังนี้

    • เป้าเปิดตัวโครงการใหม่ 46 โครงการ มูลค่ารวม 61,000 ล้านบาท (ลดลง -7% YoY)
    • เป้าพรีเซล 52,000 ล้านบาท (เติบโต 6% YoY)
    • เป้ารับรู้รายได้ 43,000 ล้านบาท (เติบโต 10% YoY)

    แสนสิริ 2567

    รายละเอียดการเปิดตัวโครงการใหม่ปีนี้ แบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัย 57% เป็นกลุ่มแนวราบ เตรียมเปิด 26 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท ส่วนอีก 43% เป็นกลุ่มคอนโดมิเนียม เตรียมเปิด 20 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท

    ทั้งนี้ การเปิดตัวแนวราบลดลงจากปีก่อน ขณะที่คอนโดฯ เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากคอนโดฯ หลายโครงการเลื่อนการเปิดตัวมาจากปีที่แล้วเพราะการขออนุมัติ EIA ล่าช้ากว่าที่คาด

    หากแบ่งตามเซ็กเมนต์การเปิดตัวปีนี้รวมทุกประเภทสินค้า แบ่งเป็นกลุ่มพรีเมียม 38% กลุ่มระดับกลาง 44% และกลุ่มเข้าถึงได้ง่าย 18% เห็นได้ว่าแสนสิริให้น้ำหนักมากกับกลุ่มระดับกลางและกลุ่มพรีเมียมรวมกันในพอร์ตเปิดใหม่ปี 2567 ถึง 82%

    ทีมผู้บริหารแสนสิริ

     

    ให้ความสำคัญกับ “หัวเมือง” – เปิดแบรนด์ใหม่ 4 แบรนด์

    ไฮไลต์การเปิดโครงการใหม่แสนสิริปี 2567 มี 3 ประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่

    • สัดส่วน 26% จะเปิดตัวใน “ต่างจังหวัด” โดยมีทั้งหมด 9 โครงการ มูลค่ารวม 11,800 ล้านบาท ปักหมุดหัวเมืองต่างๆ เช่น ภูเก็ต หัวหิน พัทยา เชียงใหม่ อยุธยา ฉะเชิงเทรา
    แสนสิริ 2567
    อณาสิริ พายัพ โครงการที่จะเปิดใน จ.เชียงใหม่
    • เปิด Branded Residence ในโครงการ “The Standard Residences Hua Hin” เป็นที่พักอาศัยภายใต้แบรนด์โรงแรมบูทีค The Standard แห่งแรกในเอเชียและแห่งที่ 3 ของโลก
    • แตกไลน์แบรนด์ใหม่ 4 แบรนด์ คือ
      ณริณสิริ (Narinsiri) ทำเลกรุงเทพกรีฑา บ้านเดี่ยวราคา 45-70 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท
      Else (เอลส์) เปิด 6 ทำเลในกรุงเทพฯ บ้านเดี่ยวย่านใกล้เมือง ราคา 20-60 ล้านบาท มูลค่ารวมทั้งหมด 840 ล้านบาท
      Mabel (มาเบิล) ทำเลบางนา กม. 26 บ้านเดี่ยวราคา 5-7 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท
      Pynn (พิน) 2 ทำเลที่ ศูนย์วิจัย และ ปรีดี 20 เป็นคอนโดฯ ขนาดเล็กย่านใกล้เมือง

     

    บริหารพอร์ต เน้นวินัยลงทุน คุมระดับซัพพลายคงเหลือ

    “ภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ” ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวสรุปการดำเนินงานปี 2567 ว่าแสนสิริมีการวางกลยุทธ์ไว้ 3 ด้าน คือ 1)รักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ 2)บริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย และ 3)ยกระดับคุณภาพสินค้า บริการ และความยั่งยืน

    กลยุทธ์ที่น่าสนใจและเห็นได้ว่าสอดคล้องกับการเปิดตัวโครงการในปีนี้คือการบริหารพอร์ตของแสนสิริ ภูมิภักดิ์ชี้ให้เห็นว่าปีนี้บริษัท “เน้นเรื่องวินัยในการลงทุนมากกว่าคว้าทุกโอกาสที่เข้ามา” การจะเปิดโครงการใหม่แต่ละครั้งต้องพิจารณาระดับสินค้าเพื่อการขายที่ยังคงเหลือ

    นั่นทำให้ฝั่งแนวราบผ่อนคันเร่งการเปิดตัวใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มเข้าถึงง่ายที่จะเปิดตัวน้อยลงมาก เพราะบริษัทมีซัพพลายในระดับเหมาะสมสำหรับจำหน่ายใน 3-4 ปีข้างหน้าแล้ว

    ส่วนคอนโดฯ มีการเปิดตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพราะแสนสิริมีซัพพลายระหว่างขายอยู่กว่า 10,000 ยูนิตเท่านั้น ยังสามารถเติมซัพพลายได้อีก 2,000-3,000 ยูนิตเพื่อให้ถึงระดับเหมาะสม อย่างไรก็ตาม บริษัทให้น้ำหนักกับเซ็กเมนต์ระดับกลางสูงขึ้นมาก แต่ลดการเปิดตัวคอนโดฯ ระดับเข้าถึงง่ายลง

    “ตลาดคอนโดฯ เน้นในกลุ่มระดับกลางสูงขึ้นเพราะเราเห็นลูกค้าได้ชัดเจน คอนโดฯ ประเภทแคมปัสคอนโดฯ ใกล้มหาวิทยาลัย ซิตี้ คอนโดฯ กลางใจเมือง หรือคอนโดฯ ตามหัวเมืองท่องเที่ยว กลุ่มเหล่านี้มีนักลงทุนที่เป็นแฟนคลับเราเป็นฐานผู้ซื้อหลัก” ภูมิภักดิ์กล่าว

    ]]>
    1459884
    alt.Eatery ตอกย้ำคอมมูนิตี้ไลฟ์สไตล์แห่งอนาคต จัดงาน “Eat Play Live” เอาใจสายสุขภาพ ชูแนวคิดการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน https://positioningmag.com/1453644 Tue, 28 Nov 2023 06:00:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1453644

    อินโนบิก-แสนสิริ-NRF ชวนคนรุ่นใหม่รักสุขภาพ-รักษ์โลก ช้อปชิมในงาน “Eat Play Live” ระหว่าง วันที่ 22 – 24 พ.ย. 66 ณ alt.Eatery คอมมูนิตี้อาหารแพลนท์เบสใจกลางเมืองย่านทองหล่อ พบกับร้านค้าเพื่อสุขภาพ สินค้าแพลนท์เบสกว่า 1,000 รายการ และร่วมสนุกกับกิจกรรมเวิร์คช็อปภายในงานมากมาย

    เอ็นอาร์พีที (Nutra Regenerative Protein Co. Ltd : NRPT) บริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (อินโนบิก) และบริษัท โนฟ ฟู้ดส์ จำกัด ร่วมกับ บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด หรือ NR Instant Produce Public Company Limited (NRF) และแสนสิริ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับแถวหน้าของประเทศ จัดงาน Eat Play Live” ณ ร้าน alt.Eatery สุขุมวิท 51 ระหว่างวันที่ 22 – 24 พฤศจิกายน 2566 ภายใต้แนวคิดการส่งเสริมวิถีชีวิตที่ยั่งยืนของทุกคน Sustainable Living for Everyone” โดยให้ความสำคัญ 3 เรื่องหลัก ได้แก่ ความยั่งยืนด้านสุขภาพ (Sustainable Health) ความยั่งยืนด้านอาหาร (Sustainable Food) และความยั่งยืนด้านการอยู่อาศัย (Sustainable Living) โดยภายในงานพบกับกิจกรรมร่วมสนุกมากมาย อาทิ การแบ่งปันความรู้ด้านอาหารแพลนท์เบสโดยอินฟลูเอนเซอร์สายรักษ์โลกชื่อดังอย่าง Root The Future กิจกรรมเวิร์คช็อปการทำอาหาร พร้อมเพลิดเพลินกับสินค้าและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากผู้ประกอบการไทยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

    ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐานบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด กล่าวว่า จากการเข้าสู่สังคมสูงวัย และเทรนด์การใส่ใจด้านสุขภาพของคนไทย NRPT บริษัทในกลุ่มอินโนบิก มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านการพัฒนาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืชแบบครบวงจร เพื่อเป็นอาหารแห่งความยั่งยืนของโลก สนับสนุนวิถีการมีสุขภาพดีแบบคนยุคใหม่ ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบทางการเกษตรภายในประเทศ ปัจจุบัน ร้าน alt.Eatery เป็นแบรนด์หนึ่งภายใต้บริษัท NRPT โดยเป็นคอมมูนิตี้อาหารและผลิตภัณฑ์แพลนท์เบสใจกลางกรุงเทพฯ แห่งแรกบนพื้นที่ของแสนสิริ ให้บริการผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพสำหรับทุกคน ทุกวัย ทดแทนการบริโภคเนื้อสัตว์ เน้นย้ำเจตนารมณ์ในการดำเนินธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (Life Science) ของอินโนบิก ด้วยการประยุกต์การวิจัยและเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต เพิ่มโอกาสและช่องทางการจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าสู่ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพที่มีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นในอนาคต

    นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) (NRF) และประธานกรรมการบริษัท โนฟ ฟู้ดส์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยของสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี ไม่เพียงเริ่มจากการทานอาหารและความเป็นอยู่ที่ดี แต่จะต้องดีอย่างยั่งยืน ซึ่ง NRF เป็นอุตสาหกรรมผู้ผลิตอาหารที่เล็งเห็นความสำคัญในการผลิตและดำเนินงานอย่างยั่งยืน แม้อุตสาหกรรมอาหารจะเป็น 1 ใน 3 อุตสาหกรรมใหญ่ที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณสูง ซึ่งนับเป็นจุดสำคัญอย่างยิ่งที่เราคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย นี่จึงเป็นที่มาในการพัฒนาธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการลดการปล่อยก๊าซในกระบวนการผลิต การหาแนวทางลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในภาคต้นน้ำ หรือการพัฒนาธุรกิจที่นำมาสู่ “อาหารโปรตีนทางเลือก” เพราะเราเชื่อมั่นว่าผู้บริโภคในปัจจุบันต่างหันมาให้ความใส่ใจกับสิ่งแวดล้อม ตระหนักรู้ต่อปัญหาโลกร้อนมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นการเลือกทานอาหารที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม ก็นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยโลก เพราะอาหารโปรตีนทางเลือกปล่อยคาร์บอนเพียง 10% เมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ ในส่วนร้าน alt.Eatery นับเป็นร้านอาหารที่เราภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมสร้างและพัฒนาอย่างต่อเนื่องร่วมกับพันธมิตรที่ต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน โดยร้าน alt.Eatery เป็นร้านแพลนท์เบสที่ตั้งอยู่บนพื้นที่แสนสิริ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้น มอบประสบการณ์การทานอาหารที่ยั่งยืน สนับสนุนวัตถุดิบท้องถิ่นที่ดีและมีคุณภาพ รังสรรค์เมนูอาหารที่น่ารับประทานรองรับผู้บริโภคทุกกลุ่มวัย ด้วยฝีมือเชฟชื่อดัง นอกจากนี้นับเป็นแลนด์มาร์คที่เพียบพร้อมทั้งอาหารจานหลัก ขนม เครื่องดื่ม และโซนจำหน่ายสินค้าแพลนท์เบสอีกด้วย

    นายสมัชชา พรหมศิริ Chief of Staff บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าแสนสิริ เป็นบริษัทอสังหาฯรายแรกในไทยที่มุ่งมั่นสร้างจุดเปลี่ยนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนภายใต้พันธกิจ Sansiri Sustainability รวมถึงรายแรกที่ตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็น “ศูนย์” (Net-Zero) ภายในปี 2050 วางเป้าหมายพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลก คำนึงถึงลูกค้า และสังคมเป็นสำคัญ โดยทำให้ความยั่งยืนนั้นเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันและไลฟ์ไตล์ของทุกคน

    จากเทรนด์ของความยั่งยืนด้านการอยู่อาศัย แสนสิริเล็งเห็นถึงความสำคัญของการออกแบบ และนำมาปรับใช้กับการพัฒนาโครงการอย่างยั่งยืน โดยล่าสุดได้พัฒนาบ้านประหยัดพลังงาน ผ่านแนวคิด Green Living Designed Home ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางความยั่งยืน และตอบโจทย์เทรนด์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และ Well-Being มากขึ้น และที่ alt.Eatery แสนสิริ ได้ตอกย้ำวิสัยทัศน์ความยั่งยืน โดยผลักดันให้เป็นคอมมูนิตี้สีเขียวอย่างครบวงจร ทั้งการส่งเสริมแยกขยะต้นทางให้เกิดประโยชน์กับโครงการ Waste to WORTH: แยกไม่ยาก รวมถึงชวนพันธมิตรพลังงานสะอาดร่วมติดตั้งสถานีชาร์จรถ และติดตั้งโซล่าเซลล์เพื่อทดแทนการใช้ไฟฟ้าอย่างยั่งยืน ซึ่งเราหวังว่า alt.Eatery จะเป็นคอมมูนิตี้ต้นแบบที่เป็นแรงผลักดันให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนต่าง ๆ ร่วมกันขับเคลื่อนในการพัฒนาต่อไป”

    ]]>
    1453644