ของสะสม – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 28 Jun 2024 11:04:13 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 คุยกับ ‘ไมค์ ศรีภูมิ’ กับการปลุกปั้น ‘TOYLAXY’ อาร์ตทอยสัญชาติไทยลงบู๊ในสังเวียนโลก! https://positioningmag.com/1480294 Fri, 28 Jun 2024 10:14:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1480294 ในวันที่กระแส อาร์ตทอย กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นแบบสุด ๆ จากการมาของ POP MART แบรนด์อาร์ตทอยจากจีน แต่ในไทยเองก็มีแบรนด์อาร์ตทอยสัญชาติไทยแท้ ที่ถือกำเนิดโดย ไมค์ ศรีภูมิ ทินมณี ที่รู้ตัวตั้งแต่วันแรกแล้วว่าถ้าอยากอยู่รอด ต้องสู้บนสังเวียนตลาดโลกเท่านั้น!

ต้องยืนด้วยขาตัวเอง เพราะไฟท์บังคับ

หลายคนน่าจะเคยเห็นฟิกเกอร์ Marvel, Black Pink หรือคาแรกเตอร์สุดปั่นของคนไทยอย่าง PASULOL ตามห้างสรรพสินค้า หรือในช่องทางออนไลน์ แต่หลายคนอาจยังไม่รู้จัก TOYLAXY Unique Handcraft Studio ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังผลงานฟิกเกอร์เหล่านี้

โดย ไมค์ ศรีภูมิ ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ TOYLAXY ว่า ตอนแรกบริษัทเราทำธุรกิจ นำเข้าส่งออกของเล่น โดยเฉพาะของเล่นในฝั่งอเมริกาที่ยังไม่มีใครนำเข้า แต่พอเริ่มขายดี ก็มีบริษัทที่ใหญ่กว่าติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ตรงจากบริษัทผู้ผลิตโดยตรง ทำให้ไม่สามารถทำธุรกิจเดิมได้ต่อไป

“จำนวนที่เขาเทคมันสูงมาก ตอนนั้นผมไม่ได้มีเงินทุนขนาดนั้น ผมเลยตัดสินใจว่าจะต้องทำแบรนด์ของตัวเอง” ไมค์ ย้อนความหลัง

ด้วยความที่คลุกคลีอยู่ในวงการของเล่นมาสักระยะ ทำให้ ไมค์ ได้เรียนรู้กระบวนการผลิต การออกแบบของเล่น และเห็นว่าของเล่นหลายชิ้นมี ศิลปินไทยอยู่เบื้องหลัง ไมค์จึงรวบรวมคนเหล่านั้นให้มาร่วมกับพัฒนาโปรดักส์ของตัวเอง โดยตอนนั้น ไมค์ยอม เทหมดหน้าตัก เพื่อสร้างแบรนด์

“ตอนนั้นผมยอมขายรถ เอาบ้านเข้าธนาคาร ทำแผนธุรกิจเพื่อเสนอภาครัฐ เพื่อหาเงินทุน ตอนนั้นผมเดิมพันหมดกับ TOYLAXY เลย เพราะเรามองว่า คนไทยเก่ง ๆ เยอะมากในวงการ แต่ยังขาดเงินทุน การตลาด และแบรนด์ดิ้ง ถ้าใส่ตรงนี้เข้าไปได้มันก็มีสิทธิ์จะโตได้”

ปัจจุบัน TOYLAXY มีสินค้าทั้งฟิกเกอร์ ครีเอทีฟเมอร์ชานไดซ์ และการ์ดเกม รวมถึงรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) ให้กับแบรนด์ ศิลปิน และคนดัง อาทิ เฌอปรางค์ BNK48, วง Black Pink และ PASULOL

ของจะขายได้ กระแส สำคัญที่สุด

คาแรกเตอร์แรกที่ TOYLAXY ทำออกมาก็คือ Unleash The Beast สามารถขายได้ 200 ตัวทั่วโลก แม้ว่าจะมีราคาสูงถึง 7,000 บาท ก็ตาม ทำให้ไมค์เริ่มมองว่าไปได้ต่อ และเริ่มหาคาแรกเตอร์ที่ขายได้ทั้งคนไทยและต่างชาติ ทำให้ฟิกเกอร์ชิ้นต่อมาคือคาแรกเตอร์ของ บัวขาว บัญชาเมฆ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์กลับไม่ดีเท่าที่หวัง โดยขายได้เพียง 500 ตัว จากเป้าหมาย 5,000 ตัว

“ตอนแรกเราคิดคาแรกเตอร์เองแล้วมันพอไปได้ เราเลยคิดว่าต่อไปต้องหาคาแรกเตอร์ที่เป็นที่รู้จัก โดยเฉพาะชาวต่างชาติ เราเลยไปขอลิขสิทธิ์พี่บัวขาว ที่โด่งดังทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีผู้ติดตามหลักล้าน แต่กลายเป็นว่า 90% ของยอดขายมาจากไทย”

จากจุดเปลี่ยนดังกล่าว ทำให้ไมค์เรียนรู้ว่า กระแส คือสิ่งสำคัญมาก เพราะต่อให้คาแรกเตอร์เป็นที่รู้จัก แต่ถ้าไม่อยู่ในกระแส ก็จะขายได้แค่กับแฟนพันธุ์แท้ ทำให้จากนั้น ไมค์จึงทุ่มเงินขอ License Marvel ซึ่งกลายเป็นชุดฟิกเกอร์ที่ขายดีที่สุดของบริษัท หลังจากนั้นบริษัทก็ซื้อ License คาแรกเตอร์หรือศิลปินที่มีศักยภาพในการทำเป็นสินค้า

ปั้น IP ตัวเอง เพื่อโตอย่างยั่งยืน

หลังจากโยนหินถามทางมา 2-3 ปี ไมค์มองว่าถึงเวลาที่จะต้องปั้น IP (Intellectual property) หรือ ทรัพย์สินทางปัญญา ของตัวเอง โดยจะเริ่มทำ อนิเมชั่น เพื่อเล่าเรื่องราวของคาแรกเตอร์นั้น ๆ เมื่อ IP แข็งแรง ก็จะสามารถต่อยอดเป็นสินค้าต่าง ๆ หรือแม้แต่ เกม ดังนั้น การสร้าง IP มาให้ได้สำคัญที่สุด เพราะจะทำให้ TOYLAXY อยู่อย่างยั่งยืน

“เราทำมา 4-5 ปีกว่าจะเริ่มอยู่ตัว และเราใช้เวลาหลายปีกับการทำ License คนอื่น แต่อะไรที่ไม่ใช่ของเรา มันมีความเสี่ยง ถ้าวันหนึ่งศิลปินไม่ทำงานกับเรา เราก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้น มันถึงจุดที่เราต้องทำ IP ของเราเอง เพราะเป้าหมายหลักเราต้องขายของของเรา เราต้องการขายได้ทั่วโลก ตลาดโลกคือสิ่งที่เราเล็งไว้”

อย่างไรก็ตาม การที่ TOYLAXY ต้องมุ่งเป้าไปที่ ตลาดโลก ถือเป็นเป้าหมายที่ถูกบังคับให้ไป แม้ในสายตาคนจะมองว่า TOYLAXY เป็นแบรนด์อาร์ตทอยไทยแบรนด์เดียวในตลาด แต่ตลาดนี้มีแต่ผู้เล่นต่างชาติที่เป็นรายใหญ่ทั้งสิ้น อีกทั้งตลาดไทยยังเป็นเพียงตลาดเล็ก ๆ ดังนั้น ถ้า TOYLAXY จะเติบโตต้องมองที่ตลาดโลกเท่านั้น

“อย่าง POP MART ผลิตสินค้าครั้งละเป็นล้านตัว ดังนั้น เราจะไปแข่งปริมาณหรือราคาไม่ได้ แต่ต้องเน้นที่คุณภาพ ขายจำนวนจำกัด ในราคาที่แฟน ๆ ยอมจ่ายได้”

มองรัฐควรมีมาตรการหนุนอุตสาหกรรม

อุปสรรคสำคัญที่สุดของวงการอาร์ตทอยคือ การคุมคุณภาพ ในประเทศไทยมีโรงงานเพียง 2 แห่งที่สามารถผลิตสินค้าแบบแมสโปรดักชั่นได้ ทำให้จากความตั้งใจที่จะ ผลิตในไทย ไมค์ต้องไปหา โรงงานจีน เพื่อควบคุมคุณภาพและระยะเวลาการผลิต

สิ่งที่ยากที่สุด คือเรื่องของโปรดักส์ชั่นใหญ่ เพราะยิ่งผลิตเยอะ เรายิ่งต้องคุมความผิดพลาดไม่ให้เกิน 1% เพราะที่ผ่านมาเราเคยโดนถล่มเรื่องตำหนิ เรายิ่งต้องคุมให้ได้ ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าจะผลิตทุกอย่างในไทย เพราะคิดว่าจะคุมง่าย แต่กลายเป็นว่าไทยยังไม่สามารถทำอุตสาหกรรมแมสโปรดักส์ชั่นได้ แม้อุปกรณ์หรือเครื่องจักรเครื่องมือจะเหมือนกัน แต่สกิลต่างกันมาก และถ้าเรายังไม่ปรับตัว เวียดนามแซงเราแน่”

นอกจากเรื่องของคุณภาพแล้ว อีกสิ่งที่ทำให้การผลิตในจีนได้เปรียบกว่าก็คือ สามารถขายสินค้าในจีนได้เลย นอกจากนี้ ยังมีต้นทุน การส่งออก ที่ถูกกว่าส่งออกจากไทย ทำให้ปัจจุบัน สินค้าของ TOYLAXY ผลิตจากจีนทั้งหมด

“ถ้าเราจะเอาของเข้าจีนมันยาก เพราะรัฐบาลจีนเขาจะคอยบล็อก เพื่อรักษาสิทธิ์ของในประเทศ ต่างจากไทยที่ของเล่น ของก๊อปเข้าไทยเต็มไปหมด ดังนั้น ไทยเราเอามาหมดทุกอย่าง เราไม่มีสกัดกั้นเขาเลย ไม่เหมือนญี่ปุ่นหรือจีน มันอาจดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่ต่อไปเราจะโดนกลืน”

มองกระแสอาร์ตทอยยังไปได้

สำหรับกระแสอาร์ตทอยในไทย ไมค์มองว่า ยังไม่หายไปเร็ว ๆ นี้ ด้วยคาแรกเตอร์ที่น่ารัก ถูกใจคนทุกเพศทุกวัย อีกทั้งด้วยกลยุทธ์ กล่องสุ่ม ยิ่งเพิ่มความตื่นเต้นให้กับนักสะสม และอีกปัจจัยที่ปฎิเสธไม่ได้ก็คือ การรีเซล ที่ยังมีกลุ่มคนซื้อไปเก็งกำไร

“ต้องยอมรับว่าการพนันมันอยู่ในสายเลือดคน ดังนั้น การสุ่มมันก็เป็นความตื่นเต้นอย่างหนึ่ง ทำให้ตลาดมันยังไปได้ ซึ่งเทรนด์อาร์ตทอยมามันก็ดีกับเรา เพราะตอนนี้มีคนติดต่อ OEM เต็มไปหมด”

สำหรับทิศทาง TOYLAXY ในปีนี้ ไมค์มองว่า ต้องการทุ่มเวลาโฟกัสกับการสร้าง IP ของตัวเอง ดังนั้น อาจจะไม่เป็นพาร์ตเนอร์กับศิลปิน แต่จะผลิตสินค้าในฐานะ OEM อย่างเดียว สำหรับใครที่สนใจสินค้าของ TOYLAXY สามารถสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ www.toylaxy.com หรือ Shopee, Lazada, BeTrend Siam Paragon และ King Power เป็นต้น

“ผมก็เหมือนโตไปพร้อมกับบริษัท เพราะทำไปเรียนรู้ไป และพอเรากระโดดมาทำแล้วถึงรู้ว่า ที่คนไทยไม่มีแบรนด์ของเล่นของตัวเอง เพราะมันยาก นำเข้าง่ายกว่าเยอะ แต่ของเรามันทำด้วยแพชชั่น มันต้องคลุกคลี ใช้เวลากับมันตลอด ต้องคิด ต้องบริหาร ผมมองว่าถ้าตายไป ถ้าทำบริษัทแข็งแกร่งได้ก็ถือว่าพอใจแล้ว” ไมค์ ทิ้งท้าย

]]>
1480294
เล่นของเก่าไปก่อน! ตลาด ‘ของเล่น’ ในสหรัฐฯ ปี 2023 หดตัว 8% เพราะต้องรัดเข็มขัดซื้อแต่ของจำเป็น https://positioningmag.com/1462279 Mon, 12 Feb 2024 03:21:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1462279 แม้ว่าในช่วงก่อนการระบาดของ COVID-19 และในช่วงที่ COVID-19 ระบาด ตลาด ของเล่น ก็ยังสามารถเติบโตได้ แต่กลายเป็นว่าในปี 2023 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจไปทั่วโลก ส่งผลให้ผู้บริโภคเน้นซื้อแต่ของจำเป็นก่อน ทำให้ของเล่นกลายเป็นสิ่งของท้าย ๆ ที่จะจับจ่าย

ตามรายงานจากบริษัทวิจัยตลาด Circana พบว่า ผู้บริโภคในสหรัฐฯ ซื้อ ของเล่น น้อยลงตลอดปี 2023 โดยรวมแล้วยอดขายของเล่นในปี 2023 ลดลง 8% ทั้งด้านจำนวนเงินที่ผู้บริโภคจ่ายค่าของเล่นและจำนวน แม้ว่าในไตรมาสที่ 4 ที่มีเทศกาล คริสต์มาส ซึ่งปกติจะเป็นช่วงที่มียอดขายของเล่นจำนวนมากก็ยัง ลดลง 6% ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยลดลง 2% แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคไม่ได้ซื้อของเล่นน้อยลง แต่ยังซื้อของเล่นที่มี ราคาถูกลง ด้วย

“นี่ชี้ให้เห็นชัดเลยว่าผู้บริโภคเลือกของเล่นราคาถูกลง” Juli Lennett รองประธานและที่ปรึกษาอุตสาหกรรมของเล่นของ Circana กล่าว

ที่น่าสนใจคือ เมื่อเทียบกับก่อนเกิดโรคระบาดหรือปี 2019 อุตสาหกรรมของเล่นยังคงมียอดขายเติบโตขึ้น รวมแล้วมีมูลค่า 5.7 พันล้านดอลลาร์ ดังนั้น เห็นชัดว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคนั้น ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากหลายครัวเรือนต้องต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ต้องใช้เงินไปกับการซื้อสินค้าและชำระค่าบริการที่จำเป็น ท่ามกลางแรงกดดันด้านการเงิน ส่งผลให้เงินออมของผู้บริโภคหมดลงและหนี้บัตรเครดิตของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น

จากผลกระทบดังกล่าว ได้ส่งผลต่อผู้เล่นรายใหญ่อย่าง ฮาสโบร (Hasbro) ที่ต้องลดจำนวนพนักงานเกือบ 20% หรือมากกว่า 1,000 คน ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เนื่องจากการซื้อของเล่นที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง

Robby Pettinato COO ของ Wild About Music, Inc. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Toy Joy เครือร้านขายของเล่นยอดนิยมในเมืองออสติน กล่าวว่า เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการซื้อของกลุ่มผู้ปกครอง โดยในปีที่ผ่านมาพบว่า จำนวนครอบครัวที่ซื้อของเล่นใหม่ให้ลูก ๆ ของพวกเขาลดลง และสำหรับ ผู้ปกครองที่มีอายุน้อยจะยิ่งระมัดระวังเรื่องงบประมาณมากที่สุดในตอนนี้

“เราให้ความสำคัญกับพ่อแม่ที่มีเด็กเล็กและลูกค้าผู้ใหญ่ที่เป็นนักสะสม ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่าจำนวนครอบครัวที่ซื้อของเล่นใหม่ให้ลูก ๆ ของพวกเขาลดลง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความต้องการของเล่นกำลังลดลง”

แม้ว่าการซื้อของเล่นของผู้ปกครองจะลดลง แต่ในกลุ่มลูกค้า มิลเลนเนียลและ Gen Z ที่ซื้อของเล่นเพราะต้องการสะสมยังคงใช้จ่าย โดยในปีที่ผ่านมาสินค้าเกี่ยวกับ Pokémon, Barbie และ Squishmallows เป็นแบรนด์ที่ขายดีที่สุด

CNN

]]>
1462279
ฮิตจัดๆ! “POP MART” เซ็นทรัลเวิลด์ ขึ้นแท่นสาขา “ขายดีที่สุดในโลก” คนไทยกระเป๋าหนักรักการสะสม https://positioningmag.com/1453735 Tue, 28 Nov 2023 09:51:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1453735 “POP MART” ร้านอาร์ตทอยชื่อดังจากจีนมาปักหมุดในไทยที่ “เซ็นทรัลเวิลด์” ได้ 2 เดือนกว่า ยอดขายพุ่งระดับปรากฏการณ์เพราะสามารถปั้นยอดขึ้นไปอยู่ “อันดับ 1” กลายเป็นสาขาที่ขายดีที่สุดในโลก จากกำลังซื้อคนไทยกระเป๋าหนัก เดินหน้าสาขา 2 ต่อที่ Terminal 21 อโศก” และเตรียมเปิดป๊อปอัปสโตร์ใหม่ที่ “สยามเซ็นเตอร์” ตามด้วย “Robo Shop” ใหม่ที่ “EMSPHERE” เร็วๆ นี้

ไม่ใช่แค่กระแสฮิตแค่วันเดียว เพราะ “POP MART” ยังคงขายดีต่อเนื่องหลังจากมาเปิดตัวในไทยเมื่อ 2 เดือนก่อน โดย “ศิริพร แผลงจันทึก” Country Manager บริษัท ป๊อป มาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยข้อมูลว่า ยอดขายของสาขาแรกที่ “เซ็นทรัลเวิลด์” ถือว่าเหนือความคาดหมาย

แม้ไม่สามารถบอกตัวเลขเฉพาะเจาะจงได้ แต่เป็นสาขาที่ “ขายดีที่สุดในโลก” ไปแล้ว!

โดย POP MART มีหน้าร้านขายอยู่ในประเทศต้นกำเนิดคือ “จีน” และอีก 23 ประเทศทั่วโลก แต่สาขาไทยสามารถทำยอดแซงหน้าแม้แต่ในจีนไปได้

POP MART
“ศิริพร แผลงจันทึก” Country Manager บริษัท ป๊อป มาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด

“2 เดือนแรกที่เปิด เราทำยอดขายได้เกินเป้าไป 4-5 เท่า เรียกว่าเติมสต็อกเท่าไหร่ก็ไม่พอ” ศิริพรกล่าว “อาจจะเป็นเพราะเป็นสาขาเปิดใหม่ด้วย ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น”

ยอดขายที่ได้นี้ นอกจากสาขาแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ POP MART ยังมีการตั้ง “Robo Shop” เป็นตู้ขายสินค้าอาร์ตทอยไปอีก 2 จุดด้วยที่ “แฟชั่นไอส์แลนด์” และ “สยามเซ็นเตอร์” ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีทั้ง 2 แห่ง

 

คนไทยกระเป๋าหนัก “ไซส์ 1000%” ขายเกลี้ยง

ศิริพรกล่าวว่า จากโปรไฟล์ลูกค้าที่พบในช่วง 2 เดือนแรก ลูกค้าหลักจะเป็นคนไทย ชาวต่างชาติยังเข้ามาไม่มาก แต่คาดว่าในช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยว น่าจะมีลูกค้าต่างชาติมากขึ้น

ทำให้ยอดขายที่ได้นี้นับว่ามาจากกำลังซื้อคนไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มกำลังซื้อสูงที่นิยมซื้ออาร์ตทอยประเภท “MEGA ไซส์ 1000%” ของเล่นขนาดใหญ่พิเศษ ราคาชิ้นละประมาณ 30,000 บาทขึ้นไป และเป็นของที่มีจำนวนจำกัดมากในโลก เช่น ผลิตเพียง 999 ตัว สินค้าประเภทนี้มักจะหมดตั้งแต่วันแรกที่วางขาย

POP MART
อาร์ตทอย MEGA 1000% และ 400% กลุ่มไซส์ใหญ่พิเศษ

ส่วนสินค้ากล่องสุ่ม (blind box) ราคา 300-400 บาทก็ขายดีเช่นกัน และพบว่าคนไทยเป็นนักสะสมมากกว่าที่คาด มีความสนใจศิลปินหลากหลายมาก

จากยอดขายที่ดีมาก ทำให้หลังจากนี้ POP MART ไทยจะได้รับโควต้าการจัดสรรสินค้า (allocation) กลุ่ม MEGA ไซส์ 1000% เข้ามามากขึ้น และบริษัทจะเพิ่ม SKUs ของกล่องสุ่มในการจำหน่ายมากขึ้น

 

เนื้อหอม! แบรนด์เข้าหาขอ “คอลแลป”

ด้านการสร้างรายได้อีกส่วนหนึ่งของ POP MART นั่นคือการ “คอลแลป” แบรนด์ต่างๆ ศิริพรกล่าวว่า ขณะนี้มีแบรนด์หลายรายเข้ามาติดต่อสร้างโปรเจกต์ร่วมกันแล้ว มีทั้งแบรนด์สากลที่ต้องการทำตลาดเฉพาะในไทย และแบรนด์ไทยเองก็สนใจเช่นกัน

การคอลแลปแบรนด์ทำได้หลากหลาย ยกตัวอย่างเคสที่ผ่านมา เช่น  “Dimoo x KFC” สร้างสรรค์อาร์ตทอยคอลเลกชันพิเศษให้กับร้านฟาสต์ฟู้ดในจีน, “Crybaby x Crocs” สร้างคอลเลกชันตุ๊กตาที่ไว้ประดับรองเท้า Crocs โดยเฉพาะ หรือ “POP MART x Uniqlo” นำคาแรกเตอร์ของร้านไปไว้บนเสื้อของ Uniqlo โปรเจกต์นี้ในไทยก็มีขายเช่นกันโดยเป็นเสื้อลายคาแรกเตอร์ Molly

ตัวอย่างโปรเจกต์คอลแลปแบรนด์ “Crybaby x Crocs” (Photo: POP MART)

 

สาขา 2 เปิดต่อที่ “Terminal 21 อโศก”

ตามแผนของ POP MART จะขยายสาขา 20 สาขาในไทย และมีตู้ Robo Shop 50 จุด ภายใน 5 ปีข้างหน้า

แม้มาเพียง 2 เดือนแต่ปังมาก บริษัทจึงรีบขยายสาขา 2 ต่อที่ “Terminal 21 อโศก” ชั้น M โดยเป็นร้านขนาด 145 ตร.ม. (เล็กกว่าเซ็นทรัลเวิลด์เล็กน้อย) เปิดวันแรก 29 พฤศจิกายน 2566

POP MART
POP MART สาขา 2 ในไทยที่ Terminal 21 อโศก

รวมถึง 7 ธันวาคมนี้ จะเปิดป๊อปอัปสโตร์ใหม่ต้อนรับเทศกาลเฉลิมฉลองที่ “สยามเซ็นเตอร์” ตามด้วยเร็วๆ นี้ จะเปิด Robo Shop แห่งใหม่ที่ “EMSPHERE” ศูนย์การค้าที่กำลังจะเปิดตัวของเดอะมอลล์ กรุ๊ป

จากความฮิตที่คาดไม่ถึงจนมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในงานวันเปิดสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ ทำให้สาขา 2 มีการจัดระบบใหม่ให้ลงทะเบียน “Online Booking” มาก่อนในช่วง 5 วันแรกที่เปิดสาขา โดยระบบจะเปิดรับเพียง 600 คนต่อวัน ซึ่งศิริพรกล่าวว่ามีลูกค้าลงทะเบียนเต็มโควต้า 2 วันแรกเรียบร้อยแล้ว

สาขา Terminal 21 อโศกก็จะมีอาร์ตทอย “ลิมิเต็ด อิดิชั่น” มาขายในวันเปิดตัวเช่นกัน ได้แก่

  • MEGA SPACE MOLLY Disney 100th Celebration 400% และ 1000% เปิดตัวครั้งแรกที่นี่ ที่ประเทศไทย
  • BABY MOLLY GREY ขนาดพิเศษ ที่ปกติจะขายในงาน Art Toys Show เท่านั้น
  • MOLLY Toy Musem Figure คาแรกเตอร์ MOLLY ในธีมพิเศษสวมชุดสูท
  • LABUBU Hedgehog Figure คอลเลกชั่นพิเศษที่ไปเปิดตัวใน 2023 Singapore POP Toy Show จะมาขายที่นี่ด้วย
  • Disney 100th Celebration Bell Series ซีรีส์ฉลองครบ 100 ปี “ดิสนีย์” ที่คาแรกเตอร์ดิสนีย์จะมาอยู่ในระฆังสำหรับนำไปประดับต้นคริสต์มาส
ตัวอย่างสินค้าจาก Disney 100th Celebration Bell Series

ใครสนใจคงต้องรีบลงทะเบียน ยังเหลือสล็อตวันที่ 1-3 ธันวาคมนี้ให้จับจองเป็นคนแรกๆ ที่ได้เข้าไปเลือกซื้ออาร์ตทอย

]]>
1453735
“POP MART” กับเส้นทางสู่รายได้กว่า 2 หมื่นล้าน จากการเปลี่ยนสินค้า “นิช” ให้เป็น “แมส” https://positioningmag.com/1445067 Thu, 21 Sep 2023 06:34:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1445067 เมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา เกิดปรากฏการณ์คนแห่ต่อคิวข้ามคืนหน้าร้าน “POP MART” สาขาแรกในไทยที่เซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อช่วงชิงกันซื้อ ตุ๊กตาของเล่น ภายในร้าน เรียกเสียงฮือฮาว่าทำไมคนจำนวนมากถึงอยากครอบครองตุ๊กตาเหล่านี้

ร้าน POP MART ไม่ได้ขายของเล่นประเภทที่ทำมาให้เด็กเล่น แต่เป็นร้านขาย “Art Toy” งานศิลปะในรูปแบบของเล่นสำหรับให้ผู้ใหญ่ได้สะสม

ตุ๊กตาน่ารักๆ เหล่านี้ทำเงินให้กับ POP MART ไป 4,617 ล้านหยวน (มากกว่า 22,000 ล้านบาท) และทำกำไรสุทธิ 475 ล้านหยวน (มากกว่า 2,300 ล้านบาท) เมื่อปี 2022  โดยจำหน่ายผ่านออนไลน์ส่งออกไปทั่วโลก และมีหน้าร้านอยู่ใน 23 ประเทศ

ทำไมสินค้าที่ดูเป็นของเฉพาะกลุ่มหรือ “นิชมาร์เก็ต” จึงสามารถปั้นกระแสทำเงินได้หลายหมื่นล้าน ต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของบริษัทกัน

POP MART
ร้าน POP MART สาขาแรกในไทยที่เซ็นทรัลเวิลด์

 

งานศิลปะที่เข้าถึงง่าย

POP MART ก่อตั้งโดยชายชาวจีนชื่อ “Wang Ning” เมื่อปี 2010 เปิดสาขาแรกที่เมืองหนานหนิง ประเทศจีน

ทีแรกที่เปิดร้านเขาเริ่มจากการขายสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไป เน้นเจาะตลาดคน Gen Y แต่เปิดไปได้ 2-3 ปี ร้านกลับไม่ทำกำไรเพราะขายของสารพัดอย่างมากเกินไป Wang จึงลองวิเคราะห์ธุรกิจตัวเองว่าจะทำอย่างไรต่อเพื่อให้ร้านอยู่รอด

สิ่งที่เขาพบคือ สินค้าที่ขายดีที่สุดของร้านคือ “Art Toy”

POP MART
Art Toy จากฝีมือศิลปิน Skullpanda

เมื่อจับจุดได้ว่า Art Toy เป็นสินค้ามาแรงในยุคแห่ง Pop Culture เขาจึงไปหาอินไซต์จากนักสะสมว่า งานของศิลปินคนไหนกำลังดังและเป็นที่ต้องการในตลาด

เป็นที่มาของการเข้าไปจีบ “Kenny Wong” ศิลปินชาวฮ่องกงผู้สร้างสรรค์คาแรกเตอร์ “Molly” ให้มาร่วมงานกับ POP MART

Wang ขายงานกับ Kenny ว่า กลยุทธ์ของเขาคือจะขอ ‘ย่อไซส์’ ตุ๊กตา Molly ให้มีขนาดเล็ก เพื่อทำราคาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และจะทำตลาดเหมือนสินค้า “แมสมาร์เก็ต” วางขายในศูนย์การค้ากลางเมือง

สรุปว่า Kenny Wong ตกลง และ Molly ไซส์เล็กที่ผลิตออกมาแค่ 200 ชุดร่วมกับ POP MART ก็ขายหมดเกลี้ยงทันทีตั้งแต่วันแรก เป็นจุดเริ่มต้นของการผลักดัน Art Toy ไปสู่ตลาดแมส ด้วยราคาที่เอื้อมถึงได้สำหรับคนทั่วไป ไม่ใช่งานศิลปะที่ต้องมีเงินหกหลักเพื่อครอบครองสักชิ้นหนึ่ง

 

“กล่องสุ่ม” สร้างแรงซื้อและตลาดรีเซล

Wang Ning ยังนำไอเดีย “กาชาปอง” ของญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้กับร้านของตัวเองด้วย

โดยเขาจะร่วมงานกับศิลปินให้ออกแบบตุ๊กตา 8-12 แบบต่อ 1 คอลเล็กชัน แต่เวลาขายจะเป็น “กล่องสุ่ม” (Blind Box) ลูกค้าเลือกไม่ได้ว่าจะซื้อแบบไหน ต้องลุ้นตอนแกะกล่องว่าจะได้ตัวที่ชอบหรือเปล่า ยกเว้นถ้าเลือกซื้อแบบเหมาทั้งคอลเล็กชันก็จะได้ครบทุกตัวทุกแบบ

ระบบ “กล่องสุ่ม” ลุ้นว่าจะได้ตัวไหนในคอลเล็กชัน

แต่เสน่ห์ของกล่องสุ่มมีมากกว่านั้น คือในแต่ละคอลเล็กชันจะมีการซ่อนตุ๊กตา ‘Secret’ หรือตัวพิเศษที่ผลิตมาจำนวนจำกัด อัตราสุ่มเจอน้อยมาก เช่น 1 ใน 400 ตัว เพื่อจะดึงนักสะสมให้ซื้อแบบสุ่ม ลุ้นรับตุ๊กตาตัวพิเศษที่เป็น ‘ของแรร์’ ไปครอง

นอกจากคุณค่าทางใจที่ได้ของพิเศษมาไว้ในมือแล้ว ตุ๊กตาที่มีจำนวนจำกัดยังได้ราคารีเซลที่สูงมากด้วย

กลยุทธ์กล่องสุ่มจึงหล่อเลี้ยงให้ลูกค้าได้ ‘ลุ้น’ และทำให้เกิดมูลค่าของคาแรกเตอร์นั้นๆ จากการรีเซลราคาสูงของตุ๊กตาแรร์ไอเทมในตลาด

 

ประกบ “ศิลปิน” ดีลธุรกิจร่วมกันครบวงจร

หลังจากเปลี่ยน POP MART มาเป็นร้านขาย Art Toy เต็มตัวตั้งแต่ปี 2014 และกิจการเริ่มตั้งตัวได้ สิ่งที่สำคัญมากของบริษัทคือการหาดีลกับศิลปินดังหรือมีศักยภาพ เพื่อปั้นกระแสทำการตลาดและผลิตสินค้าลิขสิทธิ์ร่วมกัน

ปัจจุบัน POP MART ทำงานกับศิลปินมาแล้วนับ 100 ราย แต่จะมีกลุ่มศิลปินที่ถือว่าดีลเหนียวแน่น มีผลงานร่วมกับร้านมาตลอด เช่น Kenny Wong เจ้าของผลงาน Molly, Kasing Lung เจ้าของผลงาน The Monsters, Ayan Deng เจ้าของผลงาน Dimoo, PUCKY เจ้าของคาแรกเตอร์ PUCKY, Skullpanda เจ้าของคาแรกเตอร์ Skullpanda

งานของศิลปิน PUCKY

POP MART ต้องการจะเฟ้นหาศิลปินดาวรุ่งเพื่อมาปั้นงานร่วมกันต่อเนื่อง จึงก่อตั้ง Pop Design Center (PDC) ขึ้นเมื่อปี 2017 เพื่อเป็นแหล่งค้นหาศิลปินหน้าใหม่มาทำงานด้วยกัน

โดยวิธีทำงานของ PDC จะไม่ใช่แค่คัดเลือกงานขั้นสุดท้าย แต่เข้าหาศิลปินตั้งแต่ยังทำงาน 2D และพัฒนางานเป็น 3D ร่วมกัน มุ่งสู่การออกแบบสินค้า ผลิตสินค้า ทำการตลาด และการจำหน่ายครบวงจร ซึ่งทำให้ POP MART เหนือกว่าคู่แข่งรายอื่นที่มักจะรับงานที่ผลิตเสร็จแล้วมาจำหน่ายเท่านั้น

 

จากจีนสู่ “ระดับโลก”

POP MART เริ่มขยายหน้าร้านออกต่างประเทศครั้งแรกในปี 2018 มุ่งสู่การทำตลาดโลกเต็มตัว

ปัจจุบันบริษัทมีหน้าร้านใน 23 ประเทศ รวมกว่า 460 สาขา โดยแบ่งเป็นในประเทศจีน 400 สาขา ส่วนต่างประเทศมี 60 สาขา

“Justin Moon” ประธาน POP MART International

“Justin Moon” ประธาน POP MART International หัวเรือในการขยายตลาดต่างประเทศ วิเคราะห์ ‘key success’ ที่ทำให้ POP MART ประสบความสำเร็จนอกจากกลยุทธ์ที่กล่าวไปข้างต้น ได้แก่

  1. มีฐานตลาดใน “จีน” เท่ากับได้ลูกค้ากลุ่มใหญ่ของโลกมาเป็นฐานไว้ก่อนออกสู่ระดับสากล
  2. มีโรงงานผลิตของตนเอง ไม่ต้องพึ่งพา OEM บริหารการผลิตได้ครบวงจร
  3. คุณภาพการผลิต ควบคุมอย่างละเอียดเพื่อให้งานศิลปะออกมาสมบูรณ์แบบ ลูกค้าพึงพอใจ
  4. การบริหารการผลิตให้พอดีกับดีมานด์ จึงบริหารต้นทุนได้ดี
  5. ทำการตลาดเจาะกลุ่ม “ผู้หญิง” โดยปัจจุบันลูกค้า 70% เป็นผู้หญิง ทำให้ได้ตลาดที่แตกต่างจากฟิกเกอร์อนิเมะที่มักจะได้ฐานลูกค้าผู้ชาย
POP MART
ความน่ารักของตุ๊กตายิ่งทำให้กลุ่มลูกค้าผู้หญิงชื่นชอบได้ง่าย

Justin ระบุว่า รายได้ของ POP MART ทั้งบริษัทปัจจุบัน 85% ยังมาจากจีน 15% มาจากต่างประเทศ แต่การเติบโตของตลาดต่างประเทศรวดเร็วมาก โดยช่วงครึ่งปีแรก 2023 รายได้จากต่างประเทศโตถึง 139.8% เทียบกับรายได้รวมบริษัทที่โต 19.3%

การเติบโตระดับนี้ทำให้บริษัทคาดว่า เป็นไปได้ที่รายได้ในอนาคต 50% จะมาจากจีน และ 50% มาจากต่างประเทศ หรือครึ่งต่อครึ่งนั่นเอง

 

“คนไทย” สุดยอดนักสะสม

สำหรับประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่ 7 ในเอเชียที่ POP MART เข้ามาเปิดหน้าร้าน (ไม่รวมจีน) โดยเป็นการร่วมทุนกับ Minor Lifestyle ในเครือ “ไมเนอร์” (POP MART เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ขอสงวนไม่แจ้งสัดส่วนร่วมทุน)

พร้อมเป้าจะเปิดร้านถาวรและป๊อปอัพสโตร์รวม 20 สาขาทั่วไทย รวมถึงตู้ขายสินค้าอัตโนมัติอีก 50 ตู้ ให้ได้ภายใน 5 ปี

ผลงาน CryBaby จากศิลปินไทย “มอลลี-นิสา ศรีคำดี”

แม้จะมาช้าแต่ว่าเมืองไทยถูกคาดหวังยอดขายไว้สูงมาก บริษัทเชื่อว่ายอดขายในไทยจะพุ่งแซงหน้าทุกประเทศในเอเชียไม่รวมจีน แซงแม้แต่ประเทศกำลังซื้อสูงอย่างสิงคโปร์ เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น

“คนไทยจริงจังกับการสะสมมาก ลูกค้าจะซื้อจนกว่าจะมีครบทุกตัวในซีรีส์นั้น” Justin กล่าว “เราสังเกตว่ากลุ่มคนไทยที่กำลังซื้อสูงบินไปซื้อ Art Toy ที่เกาหลีใต้กันเยอะ และตัดสินใจเร็ว ทันทีที่คอลเล็กชันใหม่ออกจะเหมาซื้อเลย”

นอกจากคนไทยเองแล้ว POP MART คาดหวังรายได้จากนักท่องเที่ยวหลายล้านคนที่บินเข้าไทยในแต่ละปีด้วย รวมถึงนักท่องเที่ยว “จีน” เองที่จะเข้ามาช้อปงาน Art Toy กลับบ้าน เพราะร้านมักจะมีกลุ่มคอลเล็กชันพิเศษที่วางขายเฉพาะหน้าร้านสาขานั้นหรือในประเทศนั้น เป็นตัวกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวมาแวะร้านเพื่อหาซื้อรุ่นพิเศษ

ที่สำคัญอีกส่วนคือ POP MART มุ่งมั่นค้นหา “ศิลปินไทย” เพื่อร่วมงานผลิตสินค้าด้วย ปัจจุบันมีศิลปินที่ได้ร่วมงานแล้วคือ มอลลีนิสา ศรีคำดี เจ้าของผลงาน “CryBaby” ที่กำลังฮิตสุดๆ และอนาคตร้านน่าจะได้สนับสนุนงานของศิลปินไทยอีกหลายคนแน่นอน

]]>
1445067
“Mechanical Keyboard” ของสะสมที่ใช้แล้ว “ฟิน” สินค้านิชมาร์เก็ตที่มีคนยินดีจ่ายชิ้นละหลายหมื่น! https://positioningmag.com/1441576 Fri, 18 Aug 2023 10:44:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1441576 คีย์บอร์ดธรรมดาๆ แค่กำเงิน 200 บาทเข้าร้านไปก็หาซื้อได้ แต่ทำไมคนกลุ่มหนึ่งจึงยอมลงทุนกับ “Mechanical Keyboard” สนนราคาชิ้นละหลายหมื่นบาท Positioning ชวนหาคำตอบกับสินค้าตลาดนิชมาร์เก็ต ของรักของสะสมที่บูมขึ้นมาจากช่วง “Work from Home” ระหว่างล็อกดาวน์

คีย์บอร์ดธรรมดาสามัญประจำบ้านสามารถหาซื้อได้ที่ชิ้นละ 200 บาท ขยับขึ้นมาเป็นคีย์บอร์ดเกมมิ่งราคาอาจจะขึ้นมาที่ 1,500-5,000 บาท แต่ถ้าเป็น “Mechanical Keyboard” โดยเฉพาะกลุ่มที่ถอดประกอบได้ทุกชิ้นส่วนหรือ “Custom Keyboard” ราคาจะวิ่งขึ้นมาเริ่มที่ 5,000 บาท หากเข้าสู่ระดับไฮเอนด์ ราคาจะเริ่มที่ 10,000 บาทขึ้นไป และนี่คือสินค้าประเภทกึ่งใช้งานกึ่งสะสมที่มีคนไทยกลุ่มหนึ่งนิยมกันมาก

Positioning ไปพูดคุยกับ “ภูมิ-นันทโชติ รัตนเมธานนท์” เจ้าของร้านนำเข้าคีย์บอร์ดเพจ “NTCH Keys” เพื่อหาคำตอบว่า ทำไมคนเราถึงลงทุนกับคีย์บอร์ดชิ้นละหลายหมื่น?

Mechanical Keyboard
“ภูมิ-นันทโชติ รัตนเมธานนท์” เจ้าของร้านนำเข้าคีย์บอร์ดเพจ “NTCH Keys”

 

คีย์บอร์ดในฝัน ใช้แล้วฟิน

นันทโชติอธิบายความต่างของ Mechanical Keyboard กับคีย์บอร์ดธรรมดาก่อนว่า คีย์บอร์ดประเภทนี้จะสามารถถอดแยกทุกชิ้นส่วนออกจากกันได้ ตั้งแต่ส่วนโครงฐาน สวิตช์ข้างใต้ปุ่ม และคีย์แคปที่อยู่ข้างบน ซึ่งทำให้คีย์บอร์ดกลายเป็นของที่นักสะสมสามารถ ‘customize’ ได้ทั้งหมด ทั้งสีสัน รูปลักษณ์ และสวิตช์ที่สร้างสัมผัสการพิมพ์ที่แตกต่าง

“Custom Keyboard มันสามารถทำให้เป็นแบบที่เราตั้งใจได้ทั้งหมด รูปร่างภายนอกอาจจะทำเป็น theme-built ให้เข้ากับความชอบของเรา เช่น ธีมอนิเมะ, ธีม Star Wars, ธีม Lord of the Rings เสียงพิมพ์ก็สามารถเปลี่ยนสวิตช์ให้เป็นเสียงสูงต่ำได้ สัมผัสการพิมพ์มีแบบหนึบ แบบแข็ง ทั้งหมดเป็นประสบการณ์ใช้งานที่เชื่อมกับความรู้สึกทางใจครับ” นันทโชติกล่าว

Mechanical Keyboard
โครงสร้างในคีย์บอร์ดแยกชิ้นส่วนได้ทั้งสวิตช์ข้างใต้ ปุ่มคีย์แคปด้านบน พร้อมอุปกรณ์ในการประกอบ

นั่นจึงเป็น “เสน่ห์” ของ Mechanical Keyboard คือ การดีไซน์ที่มีคุณค่าทางใจมากขึ้น เปรียบไปจึงคล้ายกับของสะสมอื่น เช่น รถยนต์ นาฬิกา สินค้าระดับทั่วๆ ไปสามารถใช้ขับขี่หรือดูเวลาได้ทั้งนั้น แต่เหตุที่บางคนเลือกรถสปอร์ตหรือเลือกนาฬิกาหรู เพราะสิ่งเหล่านั้นมีค่าทางใจและเป็นของสะสม

Mechanical Keyboard ก็ไม่แตกต่างกัน เป็นของที่สามารถจินตนาการในการตกแต่ง และ ‘เล่น’ กับมันได้ด้วย เพราะนักสะสมสามารถแกะชิ้นส่วนประกอบเองได้

 

สนนราคา ‘หลายหมื่น’ ในระดับไฮเอนด์

นันทโชติเล่าถึงตลาดสินค้าประเภทนี้ว่า Mechanical Keyboard ทั่วไปราคาเริ่มต้นประมาณ 1,000 บาทก็เข้าถึงได้ แต่ถ้าต้องการ Custom Keyboard ถอดประกอบได้ ระดับเริ่มต้นต้องกำเงินมาอย่างน้อย 3,000 บาท และถ้าไต่ระดับขึ้นไปจนถึงไฮเอนด์จะอยู่ที่ 10,000 บาทขึ้นไป

Custom Keyboard แบรนด์ QwertyKeys รุ่น QK80 ราคาเริ่ม 6,280 บาท

ราคาที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียง การผลิตในจำนวนจำกัด (limited) จนถึงวัสดุ งานดีไซน์ คุณภาพการผลิต เป็นรายละเอียดเชิงลึกที่ต้องสัมผัสกับสินค้าเองจึงจะเห็นความแตกต่าง

แน่นอนว่าตลาดของสะสมลักษณะนี้สามารถรีเซลได้ ไม่ว่าจะรีเซลทั้งตัวคีย์บอร์ด หรือรีเซลแยกชิ้นส่วนก็ได้ เพียงแต่ราคาอาจจะเก็งกำไรยาก ส่วนใหญ่ราคาขายต่อจะไม่ต่างจากราคาซื้อมือหนึ่งเท่าไหร่นัก

ยกเว้นกรณีเป็นคีย์บอร์ดรุ่นดังที่มีดีมานด์สูงมากในช่วงนั้น หรือเป็นคีย์บอร์ดที่มีประวัติ เช่น คีย์บอร์ดแบรนด์ TGR รุ่น Jane ซึ่งขายครั้งแรกในราคาประมาณ 10,000-20,000 บาท แต่ถูกรีเซลจนปัจจุบันขึ้นไปถึง 100,000 บาท เพราะคีย์บอร์ดรุ่นนี้ถือเป็น Mechanical Keyboard ชิ้นแรกๆ ในวงการ จึงมีค่าทางประวัติศาสตร์ซ่อนอยู่ด้วย

คีย์บอร์ดแบรนด์ Sososoya รุ่น Violetta ≥70 ราคาเริ่ม 12,150 บาท

ในฝั่งซัพพลายผู้ผลิต นันทโชติมองว่าเจ้าตลาดใหญ่ 90% มาจากจีน ส่วนที่เหลือเป็นเกาหลีใต้ เพราะทั้งสองประเทศเป็นแหล่งผลิตใหญ่ ส่วนในไทยก็เริ่มมีดีไซเนอร์ที่เข้าสู่วงการนี้แล้วเหมือนกัน

 

คนซื้อไม่ได้มีแต่กลุ่ม ‘เกมเมอร์’ อย่างที่ใครคิด

คำถามสำคัญที่คนนอกวงการมักจะสงสัย คือ ‘คนกลุ่มไหนที่ซื้อคีย์บอร์ดราคาเป็นหมื่น?’

“โอ้โห จริงๆ คนติดภาพเนอะว่าคนที่ใช้ Mechanical Keyboard คงเป็นเกมเมอร์หรือโปรแกรมเมอร์ แต่จริงๆ แล้วคนซื้อใช้ก็คือคนทั่วๆ ไปทุกสายอาชีพเลย มีทั้งนักบัญชี หมอ นักศึกษา คนทำงานออฟฟิศ ใช่หมดเลย” นันทโชติกล่าว

…จริงๆ คนติดภาพเนอะว่าคนที่ใช้ Mechanical Keyboard คงเป็นเกมเมอร์หรือโปรแกรมเมอร์ แต่จริงๆ แล้วคนซื้อใช้ก็คือคนทั่วๆ ไปทุกสายอาชีพเลย มีทั้งนักบัญชี หมอ นักศึกษา คนทำงานออฟฟิศ ใช่หมดเลย

แต่ที่พอจะวัดได้ว่ามีลักษณะเฉพาะคือ นันทโชติพบว่าลูกค้าของเขา 80-90% เป็น “ผู้ชาย” ซึ่งถ้าให้คาดเดาอาจจะเป็นเพราะ Mechanical Keyboard ที่ถอดประกอบเองได้มีลักษณะเป็น ‘งานช่าง’ ซึ่งดึงดูดใจผู้ชายได้มากคล้ายๆ กับการแต่งรถ

เมื่อของสะสมชิ้นนี้ไม่ได้จำกัดวงไว้ที่เกมเมอร์ ทำให้แรงขับเคลื่อนที่ทำให้สินค้านี้ ‘ฮิต’ สุดๆ จึงไม่ใช่เกม แต่เป็นการ ‘ล็อกดาวน์’ ที่ทำให้คนจำนวนมากต้อง Work from Home

“ช่วงโควิด-19 เป็นจุดตัดที่สำคัญมากสำหรับวงการคีย์บอร์ดในประเทศไทย” นันทโชติกล่าว “ผมว่ามันเป็นแพทเทิร์นเดียวกันทั่วโลก ช่วงโควิด-19 เป็นช่วงที่เราต้องโฟกัสกับตัวเอง โฟกัสกับที่บ้านมากขึ้นเพราะเส้นแบ่งของที่บ้านกับที่ทำงานเริ่มไม่ชัดเจน บางคนเรียกว่าเป็นที่เดียวกันเลยก็ได้ คนเลยพร้อมจะลงทุนและให้ความสำคัญกับการจัดโต๊ะทำงานที่บ้าน พิถีพิถันมากขึ้น คีย์บอร์ดก็เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ต้องเลือก

คีย์บอร์ด Sonic 170 ราคาเริ่ม 13,550 บาท

วัดได้ชัดเจนจากคอมมูนิตี้ในกลุ่ม Facebook กลุ่ม “Thailand Mechanical Keyboard Community” ช่วงก่อนเกิดโรคระบาดมีสมาชิกเพียง 3,000 คน แต่ในช่วงต้นปี 2563 ทันทีที่เกิดโรคระบาด สมาชิกพุ่งขึ้นเป็น 30,000 คน และเติบโตต่อเนื่องตลอด 3 ปี จนปัจจุบันมีสมาชิกกลุ่มกว่า 82,000 คน

 

คนกลับไปใช้ชีวิตนอกบ้าน โอกาสเริ่ม ‘อิ่มตัว’

สำหรับร้าน NTCH Keys เพิ่งตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนเมษายน 2565 ในฐานะตัวกลางรับสั่งซื้อและนำเข้าสินค้า ร้านทำธุรกิจมาถึงปี 2566 นันทโชติยอมรับว่า ปีนี้ตลาดเริ่มจะเข้าสู่ภาวะ ‘อิ่มตัว’ เพราะการเปิดเมืองทำให้คนหันไปโฟกัสกับกิจกรรมนอกบ้านมากกว่าการจัดโต๊ะทำงาน

อย่างไรก็ตาม ถ้าเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ก็ยังถือว่าตลาดโตขึ้นมามากแล้วและยังมีโอกาสการขายอยู่สำหรับคนที่หลง ‘เสน่ห์’ ของคีย์บอร์ดไปแล้วเรียบร้อย

“ผมคิดว่าหลายคนเริ่มมาจากการหาคีย์บอร์ดใช้งานหรือเล่นเกมก่อน แต่สักพักพอเข้ามาแล้วมันจะเป็น ‘โพรงกระต่าย’ ที่มันลงไปต่อได้เรื่อยๆ ไม่จบสิ้น คุณจะเริ่มมีคีย์บอร์ดหลายตัวมากขึ้น” นันทโชติกล่าว

เขาเสริมว่าเป็นเพราะคนในวงการนี้จะตามหาคีย์บอร์ดที่เรียกกันว่า ‘end game’ หรือคีย์บอร์ดตัวที่ใช่ที่สุด ซึ่งสิ่งที่ยากที่สุดคือ “เสียงและสัมผัสการพิมพ์เพราะถึงแม้จะดูรีวิวมากเท่าไหร่ก็ไม่เท่าสั่งมาลองใช้เอง จึงเป็นที่มาของการซื้อใหม่และขายต่อได้เรื่อยๆ เพราะไม่รู้ว่า ‘end game’ ที่ว่านั้นจะหาเจอเข้าสักวันหรือไม่

]]>
1441576
เปิดใจผู้จำหน่ายโมเดล ‘ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส’ เพราะ ‘หนัง’ กับ ‘ของเล่น’ คือส่วนผสมที่ขาดกันไม่ได้ กระแสมายอดพุ่ง 100% https://positioningmag.com/1433795 Tue, 13 Jun 2023 01:11:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1433795 หากพูดถึง ของเล่น เชื่อว่าในยุคปัจจุบันไม่ได้มีแค่เด็กที่ซื้อ แต่รวมไปถึง เด็กหนวด ที่หลายคนใช้นิยามถึง ผู้ใหญ่ อย่างเรา ๆ ที่ยังซื้อของเล่นอยู่ เพียงแต่จุดประสงค์อาจแตกต่างไป จากที่เล่นสนุกแบบตอนเด็ก ๆ ก็มาซื้อมาสะสม และหนึ่งในสิ่งที่เกื้อกูลให้ของเล่นยังขายได้ก็เพราะ ภาพยนตร์ และ การ์ตูน นี่แหละที่ทำให้เด็กและนักสะสมหยุดซื้อไม่ได้สักที

จากของเล่นสู่ภาพยนตร์ขายของเล่น

สำหรับภาพยนตร์ที่มีความเกี่ยวพันกับของเล่นแบบสุด ๆ ก็คือ ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส (Transformers) เพราะจุดเริ่มต้นของทรานส์ฟอร์มเมอร์สนั้นมาจาก ของเล่น จากค่ายดังของญี่ปุ่นอย่าง Takara Tomy ที่หลายคนน่าจะคุ้นหูกัน และได้ค่าย ฮาสโบร (Hasbro) นำสินค้าเข้าไปขายในอเมริกา หลังจากนั้น ทรานส์ฟอร์มเมอร์สก็ได้มีการทำการ์ตูนต่าง ๆ ตามมา เพื่อให้ผู้บริโภคผ่านเรื่องราว (Story Telling) เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการเชื่อมโยง จดจำแบรนด์ จนตลอด 41 ปีที่ผ่านมา ทรานส์ฟอร์มเมอร์สก็มีทั้งเวอร์ชันการ์ตูน และภาพยนตร์แฟรนไชส์ถึง 7 ภาคเข้าไปเเล้ว

หนังเข้าดันยอดโต 100%

สำหรับของเล่นทรานส์ฟอร์มเมอร์สเป็นลิขสิทธิ์จากค่ายฮาสโบร (ยกเว้นในญี่ปุ่นจะหน่ายโดย takara Tomy) สำหรับประเทศไทย บริษัท แมพ แอคทีฟ ได้กลับมาเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง หลังจากที่เคยเป็นในปี 2001-2015 เนื่องจากช่วงปี 2016-2022 บริษัทฮาสโบรเลือกที่กลับมาทำตลาดเอง

จนมาปี 2023 แมพ แอคทีฟ ได้ลิขสิทธิ์อีกครั้ง โดยจะทำสัญญากัน 5 ปี สามารถจำหน่ายสินค้าได้ทุกชาแนลทั้งในห้างสรรพสินค้าและออนไลน์ โดยมีสินค้าจากค่าย Marvel เช่น Ironman, Spider-Man รวมถึงสินค้าทรานส์ฟอร์มเมอร์ส

ดีพัก โทมาร์ ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย บริษัท แมพ แอคทีฟ อาดิเพอคาซา จำกัด กล่าวว่า ภาพยนตร์ถือเป็นส่วนสำคัญมากของการขายของเล่น เพราะเมื่อผู้บริโภคได้เสพเรื่องราวต่าง ๆ ก็จะกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความต้องการ เริ่มมีการเชื่อมโยง ทำให้พอภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่เข้าฉายจะช่วยดันให้ยอดขายของเล่นในช่วงนั้น ๆ เติบโตกว่า 100% โดยกระเเสจะเริ่มมีมาช่วง 1-2 สัปดาห์เข้าฉาย และจะเริ่มซาลงหลังภาพยนตร์ลาจอไปเเล้ว

สำหรับการมาของภาพยนตร์ Transformers : Rise Of The Beats ภาคล่าสุด บริษัทก็ได้ทำกิจกรรมทางการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายมากขึ้น เช่น Meet & Greet กับ หุ่นยนต์ ออพติมัส ไพร์ม มีความสูงกว่า 2.5 เมตร และโปรโมชันพิเศษต่าง ๆ เช่น ซื้อสินค้าครบ 1,000 บาท รับฟรี Transformers Griptok มูลค่า 199 บาท 1 ชิ้น เป็นต้น โดยบริษัทคาดว่าจากกระเเสดังกล่าวจะช่วยให้มียอดขายจากสินค้ากลุ่มทรานส์ฟอร์มเมอร์สในช่วงเปิดตัว 3-6 เดือนแรกที่ประมาณ 5-8 ล้านบาท รวมทั้งปีประมาณ 15 ล้านบาท 

อย่างไรก็ตาม นับตั้งเเต่ที่แมพ แอคทีฟได้เป็นตัวแทนจำหน่ายของเล่นฮาสโบร นั้นมีภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่จาก Marvel ฉายประมาณ 3 เรื่อง แต่บริษัทก็ไม่ได้ทำกิจกรรมทางการตลาด โดย ดีพัก รับว่า ที่ไม่ได้ทำการตลาด เป็นเพราะมองว่ายังไม่ใช่ไฮไลต์ และทรานส์ฟอร์มเมอร์สมีความแมสมากกว่า นอกจากนี้ ผู้ปกครองก็เลือกหาของเล่น เสริมพัฒนาการ ให้บุตรหลาน ซึ่งตรงกับสินค้าทรานส์ฟอร์มเมอร์ส 

“หนังเป็นสิ่งที่สำคัญมาก มันเกื้อหนุนกัน เวลามีหนังมันจะทำให้เกิดกระเเส ทำให้ยอดขายพุ่งสูงมาก และพอเริ่มมีกระเเส เราก็มาปรุกกระแสให้มีสีสันมากขึ้น”

2023 ตลาดของเล่นไทยสดใส

สำหรับตลาดของเล่นประเทศไทยปี 2019 ถือเป็นปีที่ดีที่สุด โดยมีมูลค่าราว 5,000 ล้านบาท และมาหดตัวในช่วงที่ COVID-19 ระบาด ผู้บริโภคไม่ได้ออกจากบ้าน และไม่มีภาพยนตร์เข้าฉาย แต่ในปี 2023 นี้ คาดว่าตลาดน่าจะฟื้นตัวได้ประมาณ 80-90% เมื่อเทียบกับปี 2019 

สำหรับตลาด แอ็คชั่นฟิกเกอร์ คาดว่ามีสัดส่วนประมาณ 10% ของตลาดของเล่น ซึ่งฮาสโบรถือเป็นผู้นำตลาดมีมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 50% และในปีนี้ บริษัทคาดว่ายอดขายจะเติบโตขึ้น 20-23% เมื่อเทียบกับปี 2019 โดยเห็นสัญญาณบวกจากนักท่องเที่ยว และพฤติกรรมของผู้ปกครองที่เริ่มซื้อของเล่นที่พัฒนาทักษะมากขึ้น เพื่อไม่ให้ลูกอยู่กับหน้าจอ

เด็กหนวดสำคัญ แต่เด็กยังเป็นกลุ่มหลัก

ดีพัก ยอมรับว่า ผู้ใหญ่ ถือเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันตลาด โดยปัจจุบันคิดเป็นประมาณ 20% ของยอดขาย โดยจุดที่น่าสนใจของกลุ่มผู้ใหญ่คือ ซื้อหนัก เฉลี่ยหลัก พันบาท ขณะที่เด็กจะเฉลี่ยหลักร้อยบาท อย่างไรก็ตาม ดีพัก เชื่อว่า เด็กจะยังเป็นกลุ่มสร้างการเติบโตหลัก แม้ว่าปัจจุบันอัตราการเกิดทั่วโลกจะต่ำลงก็ตาม

“แม้อัตราการเกิดจะลดลง แต่เราเชื่อว่าบริษัทยังอยู่ได้ ถ้าเรายังมีสินค้าใหม่ มีคาแรกเตอร์ใหม่ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงมีการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง เพราะสุดท้ายแล้ว เด็กก็ยังมีความต้องการซื้อของเล่น”

]]>
1433795
ส่องตลาด ‘ของเล่น’ ในยุคที่ ‘ผู้ใหญ่’ เป็นตัวหลักขับเคลื่อนตลาดให้เติบโต https://positioningmag.com/1413323 Wed, 21 Dec 2022 04:55:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1413323 เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า เด็กหนวด หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Kidults (เกิดจากคำว่า kid บวกกับคำว่า adult) ที่เรียกผู้ใหญ่หรือวัยรุ่นที่ยังซื้อ ของเล่นของสะสม ซึ่งภาพคนทั่วไปอาจจะมองว่าเป็นของสำหรับเด็ก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เด็กหนวดนี่แหละเป็นกำลังหลักที่ทำให้ตลาดของเล่นยังเติบโต

เหล่า Kidults ซึ่งมักจะใช้จ่ายกับของเล่นมากขึ้นเนื่องจากพวกเขามีความชื่นชอบการ์ตูน ฮีโร่ และของสะสมที่ทำให้พวกเขานึกถึงวัยเด็ก พวกเขาซื้อสินค้า เช่น แอคชั่นฟิกเกอร์ ชุดเลโก้ และอื่น ๆ ทำให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาผู้ผลิตของเล่นได้สร้างไลน์สินค้าสำหรับผู้บริโภคเหล่านี้โดยเฉพาะ เนื่องจากเห็นความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้ใหญ่ในยุคนี้

เมื่อผู้ใหญ่หันมาซื้อของเล่นกันมากขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้ผลิตของเล่นมาก ๆ เพราะจากที่แค่ทำของเล่นมาขายเด็ก (ซึ่งคนซื้อก็คือผู้ปกครอง) กลายเป็นว่ากลับสามารถขายให้ผู้ใหญ่ถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้ออยู่แล้วได้อีกด้วย ดังนั้น ตลาดของเล่นจึงถูกขยายให้กว้างยิ่งขึ้น ทำให้เหล่า เด็กหนวดถือเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุด

ตามข้อมูลจาก NPD Group พบว่า เด็กหนวดเหล่านี้คิดเป็นถึง 1 ใน 4 ของยอดขายของเล่นของสะสมในตลาดสหรัฐฯ หรือคิดเป็นมูลค่าถึง 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3.1 แสนล้านบาท จากมูลค่าทั้งหมด 28,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กลุ่ม Kidult ช่วยดันยอดขายของเล่นให้เติบโตถึง 37% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2020-2021)

“กลุ่มผู้บริโภคที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป มีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมของเล่นมาหลายปี แต่การใช้จ่ายได้เร่งตัวขึ้นหลังจากเกิดโรคระบาด ซึ่งนำไปสู่ผลกำไรที่สูงขึ้นของบริษัทผู้ผลิตของเล่น”

ย้อนไปในช่วงทศวรรษที่ 70 และ 80 ธุรกิจของเล่นเริ่มเปลี่ยนจากการผลิตคาแรกเตอร์ที่ออกแบบเองมาเป็นการผลิตสินค้าจากคาแรกเตอร์ของภาพยนตร์และการ์ตูน แต่ปัจจุบันเทรนด์ดังกล่าวกลับยิ่งได้รับความนิยมอย่างสูงจากแฟรนไชส์ภาพยนตร์ชื่อดัง โดยเฉพาะเหล่าซูเปอร์ฮีโร่

ดังนั้น เด็กที่เติบโตมากับแฟรนไชส์ภาพยนตร์ดัง ๆ รวมถึงได้เห็นสินค้าลิขสิทธิ์ต่าง ๆ ที่ในตอนนั้นอาจไม่มีโอกาสที่จะได้สัมผัส (พ่อ-แม่ไม่ได้ซื้อให้) ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจหากผู้ใหญ่ในวันนี้จะซื้อของเล่นเพื่อมาเติมเต็มความฝันในวัยเด็ก

“อย่างในปี 1977 ที่ภาพยนตร์เรื่อง Star Wars เปิดตัว จากนั้นเราจะเริ่มเห็นสินค้าลิขสิทธิ์มากขึ้น ซึ่งเราเฉลิมฉลองแฟนด้อมของเราด้วยของเล่นและของสะสม ซึ่งรวมถึงสินค้าที่ไม่ใช่ของเล่น เช่น ผ้าปูที่นอน ถ้วยชาม และเสื้อผ้า” James Zahn บรรณาธิการบริหารของ The Toy Book และบรรณาธิการอาวุโสของ The Toy Insider กล่าว

จึงไม่น่าแปลกใจหากผู้ผลิตของเล่น อาทิ Lego จะออกแบบสินค้าใหม่ ๆ ที่ล้อกับคอนเทนต์ในอดีต ไม่ว่าจะเป็น Lego Star Wars หรือ Hasbro ก็ออกแอคชั่นฟิกเกอร์ Black Series ที่ผลิตคาแรกเตอร์จาก Star Wars ด้วยเช่นกัน ขณะที่ภาพยนตร์แฟรนไชส์ดัง ๆ ไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่จาก Marvel หรือ DC หลัง ๆ ก็ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับเด็กเล็ก แต่จัดทำขึ้นสำหรับกลุ่มใหญ่ที่ยังอยากซื้อของเล่นของสะสม

Source

]]>
1413323
ดึงกำลังซื้อแฟนคลับ! Netflix เปิด “อี-คอมเมิร์ซ” ขายของเมอร์ชานไดซ์จากซีรีส์/อนิเมะ https://positioningmag.com/1336480 Fri, 11 Jun 2021 05:46:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1336480 Netflix ต่อยอดธุรกิจผลิตสินค้าเมอร์ชานไดซ์ สร้างแพลตฟอร์ม อี-คอมเมิร์ซ ขายเองผ่าน Netflix.shop โดยใช้แรงบันดาลใจจากซีรีส์หรืออนิเมะของบริษัท ออกแบบฟิกเกอร์ เสื้อผ้า เครื่องประดับ ฯลฯ ดึงกำลังซื้อแฟนคลับ เปิดตัวในสหรัฐฯ ประเทศแรก ก่อนทยอยขยายไปประเทศอื่นๆ ต่อเนื่อง

“เราจะมองหาวิธีใหม่ๆ ในการขยายขอบเขตโลกของเรื่องราวของเราแก่แฟนๆ อยู่เสมอ ตั้งแต่เครื่องแต่งกายจนถึงของเล่น ตลอดจนเกมและอีเวนต์แบบให้ประสบการณ์ร่วม (immersive)” จอช ไซมอน รองประธานฝ่ายสินค้าผู้บริโภค Netflix กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2021

“เราตื่นเต้นที่จะได้ให้หนทางใหม่ในการเชื่อมโยงแฟนๆ เข้ากับเรื่องราวที่พวกเขาชื่นชอบ และได้แนะนำพวกเขาให้รู้จักดีไซเนอร์กับเหล่าศิลปินคลื่นลูกใหม่ผู้โอบอุ้มพลังแห่งการเล่าเรื่องราวเข้าไปสู่ศิลปะทุกรูปแบบ”

จากวิสัยทัศน์ดังกล่าว Netflix จะเปิด Netflix.shop เป็นแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ จำหน่ายสินค้าหลากหลาย เช่น คอลเลกชันเสื้อผ้า สินค้าไลฟ์สไตล์ เครื่องประดับ ของสะสม ฯลฯ ที่ออกแบบผ่านแรงบันดาลใจจากซีรีส์ ภาพยนตร์ หรืออนิเมะชื่อดังของแพลตฟอร์มเอง

ตัวอย่างสินค้าเมอร์ชานไดซ์จากอนิเมะเรื่อง Eden

ประเดิมการเปิดตัวเป็นสินค้าจากอนิเมะ 2 เรื่อง คือ Yasuke และ Eden โดยร่วมมือกับดีไซเนอร์แบรนด์ Hypland, BEAMS, Nathalie Nguyen และ Kristopher Kites ออกแบบสินค้าเสื้อยืด เครื่องประดับ ของสะสม ที่ได้แรงบันดาลใจจากอนิเมะทั้ง 2 เรื่อง ราคาตั้งแต่ 30-135 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 930-4,200 บาท)

ต่อด้วยปลายเดือนมิถุนายนนี้ จะมีสินค้าเมอร์ชานไดซ์จากซีรีส์เรื่องดังคือ Lupin โดยร่วมออกแบบกับ “พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์” จำหน่ายสินค้ากลุ่มเสื้อผ้าและของตกแต่งบ้าน (*Lupin เวอร์ชันของ Netflix เป็นการสร้างจอมโจรลูแปงขึ้นใหม่ โดยให้คาแร็กเตอร์เป็นหนุ่มผิวสีผู้วางแผนปล้นพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์)

ปัจจุบัน Netflix.shop ยังเปิดบริการเฉพาะในสหรัฐอเมริกา แต่ไซมอนระบุว่าจะมีการขายไปยังประเทศอื่นๆ อย่างต่อเนื่องแน่นอน

การต่อยอดเรื่องราวที่แฟนๆ ชื่นชอบเป็นสินค้าเมอร์ชานไดซ์นับเป็นขุมทองของบริษัทขายคอนเทนต์ เห็นได้จากเจ้าพ่อวงการอย่าง Disney ที่ทำรายได้จากการให้ลิขสิทธิ์และขายสินค้าเกี่ยวเนื่องถึง 4,650 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปี 2018 (ประมาณ 1.44 แสนล้านบาท) ยังไม่รวมสวนสนุกทั่วโลกที่ดึงดูดแฟนคลับให้เข้าไปเยี่ยมชมโลกแฟนตาซีที่พวกเขารัก

Source

]]>
1336480
พลังสถิตในห้องครัว! หม้อหุงข้าว ดีไซน์พิเศษเป็นธีมตัวละครจากหนังดัง Star Wars https://positioningmag.com/1255433 Sat, 30 Nov 2019 01:55:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1255433 เอาใจคุณพ่อบ้านเเม่บ้าน สาวกมหากาพย์หนังดังในตำนานอย่าง Star Wars ที่จะได้ครอบครอง “หม้อหุงข้าว” ดีไซน์พิเศษน่าสะสมยิ่งนัก เมื่อ R2-D2, BB-8 , Darth Vader , Chewbacca เเละ Storm Trooper จะมาอยู่ในห้องครัวของเรา

โดยหม้อหุงข้าวรุ่นนี้นอกจากจะมีดีที่ลวดลายเเล้ว ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายตั้งเเต่อบแรงดัน ผัดข้าว เป็นหม้อตุ๋นหรือหม้อนึ่ง เเละปรุงอาหารยาก ๆ ได้อย่างการทำสตูว์เนื้อ พาสต้ากุ้งและอื่น ๆ มาพร้อมโปรแกรมอัจฉริยะ 14 โปรแกรม

เเละเเม้เจ้าเครื่องนี้จะไม่สามารถเปล่งเสียงได้เหมือน R2D2 หรือ Chewbacca เเต่มันก็มาพร้อมกับไมโครโพรเซสเซอร์ขั้นสูง ที่จะช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการปรุงอาหารโดยไม่ใช้พลังงานมากเกินไป

สำหรับเรื่องราคานั้นพอสู่ไหวประมาณ 2,400- 3,600 บาท โดยดีไซน์ BB-8 มีราคา 79.95 เหรียญสหรัฐ
รุ่น quart หกตัวมีสามสี อยู่ที่ราคา 99.95 เหรียญสหรัฐ ส่วนดีไซน์ Darth Vader, R2-D2
Storm Trooper เเละ Chewbacca วางจำหน่ายในราคา 119.95 เหรียญสหรัฐ

ใครสนใจสั่งจองล่วงหน้าที่ได้เว็บไซต์ของ williams-sonoma เเละจะมีการเปิดขายในห้างสรรพสินค้า
อย่างเป็นทางการในวันที่ 13 ธันวาคมนี้

 

ที่มา : hypebeast

]]>
1255433