บิวตี้ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 14 Jun 2024 03:45:06 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 บิ๊กมูฟ! “นูโทรจีนา” แตกไลน์กลุ่ม “เรตินอล” มาช้าแต่ชัวร์ หลังเน้นกลุ่มคลีนเซอร์มานาน https://positioningmag.com/1478094 Fri, 14 Jun 2024 03:18:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1478094 ตลาดบิวตี้ยังเป็นเป็นตลาดดาวรุ่งที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งเติบโตทั้งในส่วนของสกินแคร์ และเครื่องสำอาง แต่ด้วยเทรนด์การดูแลสุขภาพทำให้สาวๆ หลายคนเริ่มใส่ในในการดูแลผิวแบบองค์รวมมากขึ้น ทำให้ตลาดสกินแคร์เติบโตแบบไม่ต้องสงสัย

ตลาดสินค้าสกินแคร์บำรุงผิวหน้าในไทยมีมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท เติบโต 13% ในปีที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าในปี 2567 จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้องบอกว่าแต่เดิมประเทศไทยมีค่านิยมด้านความงามที่เน้นผิวขาว กระจ่างใส ผิวขาวอมชมพู หุ่นดี แบรนด์ต่างๆ จึงเน้นทำสูตรที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค สกินแคร์กลุ่มผิวกระจ่างใสจึงเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุดของกลุ่มสกินแคร์

แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสาวๆ เริ่มให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมชาติมากขึ้น แล้วเน้นที่สุขภาพของผิวไม่ว่าจะเป็นความชุ่มชื่น ผิวแข็งแรง รวมไปถึงเมื่อก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องริ้วรอยมากขึ้น โดยหันมาใส่ใจดูแลผิวด้วยสกินแคร์ล็อกอายุผิวที่ตอบโจทย์ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า สกินแคร์กลุ่มแอนตี้เอจจิ้ง หรือลดริ้วรอยเริ่มมีบทบาทมากขึ้น หลายแบรนด์เริ่มเพิ่มไลน์สินค้ากลุ่มนี้ หรือแบรนด์ไหนที่มีอยู่แล้วก็กลับมาให้น้ำหนักมาขึ้น ออกสินค้าใหม่มากขึ้น 

แต่ก่อนในตลาดรวมนั้น กลุ่มผิวกระจ่างใส หรือไวท์เทนนิ่งจะมีสัดส่วนถึง 60-70% แต่ปัจจุบันมีสัดส่วนลดลงมาที่ 50% และกลุ่มแอนตี้ เอจจิ้งมีสัดส่วน 40% ทำให้ได้เห็นทิศทางของการเติบโตของตลาดได้อย่างดี

Neutrogena

“นูโทรจีนา (Neutrogena)” หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดสกินแคร์สัญชาติอเมริกัน แต่เดิมคนไทยอาจจะคุ้นเคยกับสินค้ากลุ่ม “ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า” เพราะเป็นพอร์ตใหญ่ของนูโทรจีนา ประเทศไทย

ในปีนี้นูโทรจีนาได้เขย่าพอร์ตด้วยการขยับไปสู่กลุ่ม “เรตินอล” เป็นครั้งแรก รับเทรนด์แอนตี้ เอจจิ้ง ได้เปิดตัว “NEUTROGENA® VISIBLE REPAIR (นูโทรจีนา วิซิเบิล รีแพร์)” ชูจุดแข็งด้วยนวัตกรรม Dual Action ดูแลผิวสองขั้นตอนในหนึ่งเดียว ด้วยเรตินอล ผสานกับแอนตี้ออกซิแดนซ์ ลดริ้วรอยลึกใน 7 วัน และลดโอกาสเกิดริ้วรอยใหม่ 

หลายคนมองว่ากลุ่มสินค้าเรตินอลเริ่มได้ยินมานานแล้ว หลายแบรนด์ได้ออกสินค้ากันโครมคราม ดูจะไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่ที่ผ่านมาสารเรตินอลมีข้อจำกัดที่ว่าบางคนใช้แล้วแพ้ หรือต้องใช้ควบคู่กับมอยเจอร์ไรเซอร์หนาๆ รวมไปถึงไม่สามารถใช้ได้ทุกวัน เพราะจะเกิดการระคายเคืองต่อผิว

นูโทรจีนาจึงมองว่า มาช้าแต่ขอชัวร์ ใช้เวลา 1-3 ปีในการพัฒนากลุ่มเรตินอล โดยอุดช่องว่างต่างๆ ที่เคยมีมา พัฒนาให้สินค้าใช้ได้ทุกวันโดยไม่ระคายเคือง โดยเปิดตัวในระดับโกลบอลได้หลายปีแล้ว แต่ได้ฤกษ์เปิดตัวในโซนเอเชียในปีนี้ โดยเปิดตัวที่ไต้หวันเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นประเทศที่ 2 ที่เปิดตัวสินค้าตัวนี้

Neutrogena

ชวีนา จิตรสมบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด นูโทรจีนา ประจำประเทศไทย กัมพูชา ลาว และเมียน มา เล่าว่า 

“การเปิดตัวสินค้าตัวนี้ถือเป็นบิ๊กมูฟครั้งใหญ่ในรอบ 4-5 ปีของนูโทรจีนา ประเทศไทย ไม่ได้ออกสินค้าใหม่มานาน แต่ก่อนแบรนด์จะแข็งแรงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ล้างหน้า การมีสินค้าเรตินอลเข้ามาช่วยมาเสริมพอร์ตกลุ่มมอยเจอร์ไรเซอร์ ทำให้มีพอร์ตสินค้ากว้างขึ้น เราอาจจะมาช้า แต่เน้นชัวร์ พัฒนาสินค้าให้ลูกค้าใช้แล้วไม่แพ้ สามารถใช้ได้ทุกวัน”

NEUTROGENA® VISIBLE REPAIR สูตรเรตินอล มีทั้งหมด 3 รายการ ได้แก่

– นูโทรจีนา วิซิเบิล รีแพร์ เรเจเนเรทติ้ง ครีม สูตรเรตินอล (Regenerating Cream) 

– นูโทรจีนา วิซิเบิล รีแพร์ เซรั่ม สูตรเรตินอล (Serum) 

– นูโทรจีนา วิซิเบิล รีแพร์ ครีมบำรุงรอบดวงตา สูตรเรตินอล (Eye Cream) 

จำหน่ายในราคาชิ้นละ 999 บาท โดยสินค้าจะวางจำหน่ายเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะบิวตี้สโตร์ และอีคอมเมิร์ซ โดยที่มีเซตขนาดทดลองในราคา 599 บาท เฉพาะที่วัตสัน

ปัจจุบันนูโทรจีนา ประเทศไทยมีสินค้าใน 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหน้า 60% มอยเจอร์ไรเซอร์ 30% และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย 10% หลังจากเปิดตัวสินค้าใหม่ คาดว่าสัดส่วนสินค้ากลุ่มมอยเจอร์ไรเซอร์จะมีสัดส่วน 50% 

การเปิดตัวสินค้ากลุ่มเรตินอลในครั้งนี้ ยังมีนัยสำคัญในการปรับภาพแบรนดิ้งให้พรีเมียมขึ้นอีกด้วย โดยที่ Positioning ของระดับโกลบอลเป็นสกินแคร์ในระดับเวชสำอางแล้ว เพราะมีสินค้าที่หลากหลาย ส่วนในประเทศไทยวางจุดยืนเป็นสกินแคร์ระดับพรีเมียมแมส แต่ไม่เกิน 2 ปีจะเริ่มขยับภาพเป็นเวชสำอางเช่นกัน โดยที่จะมีสินค้าตัวใหม่เข้ามาเติม น่าจะได้เห็นอีกทีในปีหน้า

]]>
1478094
“แม่เฒ่าช่างสักขึ้นปก Vogue” ย้ำเทรนด์ความงามหลากหลายมาแรง จุดเปลี่ยนการตลาดบิวตี้ https://positioningmag.com/1427479 Mon, 17 Apr 2023 06:55:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1427479 อาโป วัง-ออด (Apo Whang-Od) คือ นางแบบที่ทำสถิติมีอายุมากที่สุดของนิตยสารระดับโลกอย่าง Vogue ศิลปินช่างสักอายุ 106 ปี จากฟิลิปปินส์ผู้นี้เป็นมากกว่าเทรนด์ล่าสุดของการไฮไลต์ความสำคัญของการอนุรักษ์ศิลปะแบบดั้งเดิม และการส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง เพราะสุดยอด tattooist คนนี้ยังตอกย้ำได้ถึงพลังแห่งความหลากหลายในแนวคิดเรื่องความงาม ที่นักการตลาดบิวตี้ยุคใหม่ต้องตามให้ทันด้วย

ในอีกมุม การเป็นนางแบบขึ้นปกนิตยสาร Vogue ฟิลิปปินส์ ฉบับเดือนเมษายน 2566 ของ Apo Whang-Od นั้นสามารถเชิดชูคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมและบทบาทในการสร้างเอกลักษณ์ของมนุษย์ โดยเสริมคู่ไปกับการเน้นถึงความสำคัญของการยกย่องความสำเร็จของผู้คนจากทุกสาขาอาชีพ โดยไม่คำนึงถึงอายุหรือภูมิหลังได้อย่างไร้ที่ติ

ที่สำคัญ ชีวิตของแม่เฒ่า Whang-Od ยังมีโอกาสส่งอิมแพคถึงสื่อในอนาคต รวมถึงเนื้อหาเรื่องเล่าที่ส่งเสริมการรับรู้และเห็นคุณค่าของวัฒนธรรม ที่เข้าถึงคน Gen ใหม่ได้อย่างน่าติดตามทีเดียว

รอยสักจากไม้ไผ่ และหนามต้นส้มโอ

ก่อนที่ Apo Whang-Od หรือที่รู้จักในชื่อ Maria Oggay จะได้เป็นนางแบบผู้สร้างประวัติศาสตร์ในฐานะบุคคลที่มีอายุมากที่สุดที่เคยปรากฏตัวบนหน้าปกนิตยสาร Vogue แม่เฒ่า Whang-Od ได้ฝึกฝนศิลปะการสักด้วยมือมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น โดยเรียนรู้จากพ่อ และขึ้นเป็นมัมบาบาต็อก (mambabatok) หรือช่างสักแบบดั้งเดิมของคาลิงกาที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ

ปัจจุบัน แม่เฒ่าอาศัยอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาของบุสคาลัน (Busscalan) ในจังหวัดกาลิงกา (Kalinga) ผู้คนต่างทึ่งกับรอยสักของแม่เฒ่าที่สร้างขึ้นโดยใช้ไม้ไผ่ หนามจากต้นส้มโอ น้ำ และถ่านหิน ซึ่งได้รับถ่ายทอดมาจากกลุ่มนักรบพื้นเมืองหรือ Butbut

ตลอดเวลาที่ผ่านมา การออกแบบรอยสักรูปทรงเรขาคณิตอันเป็นเอกลักษณ์ของแม่เฒ่า เป็นที่โดนใจของผู้ชื่นชมจากต่างประเทศ งานของแม่เฒ่าถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่ง ความกล้าหาญ และความงามของชนเผ่า Kalinga ทั้งหมดผลักดันให้แม่เฒ่าเป็นช่างสักที่ได้ประทับสัญลักษณ์เหล่านี้ไว้บนผิวหนังของผู้คนหลายพันคนที่เดินทางไปแสวงบุญที่ Busscalan

 

เนื้อหาใน Vogue ระบุว่า ศิลปะการสักด้วยมือสามารถส่งต่อไปยังญาติทางสายเลือดเท่านั้น และแม่เฒ่า Whang-Od ได้ฝึกฝนหลานสาวชื่อ Elyang Wigan และ Grace Palicas เป็นเวลาหลายปี ซึ่งในฐานะ mambabatok คนสุดท้ายในรุ่นก่อนหน้า แม่เฒ่านั้นมุ่งมั่นที่จะปลุกปั้นปรมาจารย์ช่างสักคนต่อไป เพื่อให้การสักถูกสืบทอดต่อแบบไม่รู้จบ

นี่ไม่ใช่การออกสื่อครั้งแรก เพราะแม่เฒ่า Whang-Od เคยให้สัมภาษณ์กับ CNN Travel เมื่อปี 2017 ว่าเพื่อนที่สักลายบนผิวให้แม่เฒ่านั้นเสียชีวิตหมดแล้ว

“ฉันเป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่และยังสักอยู่ ฉันไม่กลัวว่าประเพณีนี้จะสูญหายไปเพราะฉันกำลังฝึกฝนผู้ชำนาญการสักรุ่นต่อไป ประเพณีนี้จะยังมีอยู่ต่อไปตราบเท่าที่ผู้คนยังคงเดินทางมาสัก ตราบใดที่ฉันยังมองเห็นได้ดี ฉันจะสักต่อไป ฉันจะหยุดเมื่อสายตาพร่ามัว”

บี วัลเดส (Bea Valdes) หัวหน้าบรรณาธิการของ Vogue Philippines กล่าวว่า Whang-Od ได้รับเลือกให้เป็นนางแบบขึ้นหน้าปกเพราะแม่เฒ่าเป็นตัวแทนของอุดมคติด้านความงามเกี่ยวกับวัฒนธรรมฟิลิปปินส์ ซึ่งวัลเดสเชื่อว่าแนวคิดเรื่องความงามต้องมีวิวัฒนาการ โดยเฉพาะประเด็นใบหน้าและรูปร่างในอุดมคติ ดังนั้น Vogue ปกนี้จึงเป็นการเฉลิมฉลองความงามที่แท้จริงของมนุษยชาติ

อายุ-ประเพณี ยังเสียงดังในสังคมสมัยใหม่

Whang-Od ไม่ใช่ผู้สูงอายุคนแรกที่ปรากฏตัวบนหน้าปกนิตยสาร Vogue เพราะก่อนหน้าแม่เฒ่า แชมป์นางแบบหน้าปก Vogue ที่มีอายุมากที่สุดเป็นของนักแสดงหญิง Judi Dench ซึ่งปรากฏตัวบนหน้าปกนิตยสาร Vogue ของอังกฤษในปี 2020 ด้วยวัย 85 ปี

หากวิเคราะห์ในสายตานักการตลาด ประเด็นสำคัญจากปรากฏการณ์นี้คืออายุและประเพณียังคงสามารถ “เฉลิมฉลอง” ได้ในสังคมสมัยใหม่ กรณีของแม่เฒ่าช่างสักวัย 106 ปีจากฟิลิปปินส์ ประสบการณ์การฝากรอยสักด้วยมือที่แม่เฒ่าทำได้อย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ไว้บนผิวหนังของผู้คนหลายพันคน รวมถึงการฝึกฝนหลานสาวเพื่อสืบสานประเพณี ยิ่งทำให้เรื่องราวของ Whang-Od เน้นถึงความงดงามและความยืดหยุ่นของวัฒนธรรมฟิลิปปินส์ และความสำคัญของการอนุรักษ์ประเพณีสำหรับคนรุ่นต่อไป

อิมแพคของเรื่องนี้มีหลายแง่มุม โดยเฉพาะการแสดงให้เห็นถึงมรดกทางวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของจังหวัด Kalinga และแนวทางปฏิบัติในการสักแบบดั้งเดิม เป็นการขีดเส้นใต้ความสำคัญของการอนุรักษ์ความรู้ของชนพื้นเมืองและส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง ที่ส่งเสริมความหลากหลายในอุตสาหกรรมแฟชั่นและความงาม ผ่านการนำเสนอรูปแบบที่แตกต่างจากมาตรฐานความงามแบบดั้งเดิม ซึ่งถูกบังคับใช้มาอย่างยาวนานในอุตสาหกรรมนี้ได้พร้อมกัน

ที่สุดแล้ว การยอมรับในความงามของ Apo Whang-Od เป็นการเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการมีส่วนร่วมและความหลากหลายในอุตสาหกรรมความงาม ซึ่งในภาพใหญ่ เรื่องราวของแม่เฒ่าสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อความก้าวหน้าเรื่องความหลากหลายและความครอบคลุมในอุตสาหกรรมแฟชั่นได้ชัดเจน

ที่มา :CNN, The Guardian, Euronews

]]>
1427479
ค้าปลีก 2565 ปัจจัย “เงินเฟ้อ” ยังรุมเร้า ผู้บริโภคเน้นซื้อสินค้าจำเป็น แฟชั่น-บิวตี้ยังฟื้นตัวช้า https://positioningmag.com/1389653 Wed, 22 Jun 2022 09:41:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1389653
  • SCB EIC คาดมูลค่าธุรกิจ “ค้าปลีก” 2565 กลับมาโต 11% YoY จากการเปิดเมือง การท่องเที่ยวฟื้น แต่ปัจจัยลบยังรุมเร้าจากค่าพลังงานที่เพิ่มขึ้น ปัญหาเงินเฟ้อ ส่งผลต่อราคาสินค้าและกำลังซื้อผู้บริโภค
  • การฟื้นตัวจะไม่เท่ากันในแต่ละกลุ่มสินค้า กลุ่มของสด (grocery) ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นจะฟื้นตัวได้ดี รวมถึงกลุ่มซ่อมแซมตกแต่งบ้านและสวน ยังไปได้ดีจากพฤติกรรมอยู่บ้านมากขึ้น ส่วนสินค้าฟุ่มเฟือยกลุ่มแฟชั่นและบิวตี้ยังฟื้นอย่างช้าๆ
  • ช่องทางค้าปลีกที่ได้อานิสงส์คือกลุ่มร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต และอีคอมเมิร์ซ ส่วนห้างสรรพสินค้าและร้านเครื่องสำอางจะยังซบเซา
  • SCB EIC เปิดรายงานคาดการณ์ธุรกิจ “ค้าปลีก” ปี 2565 คาดการณ์ว่า ตลาดจะกลับมาโต 11% YoY หรือคิดเป็นมูลค่า 3.45 ล้านล้านบาท (ยังต่ำกว่าปี 2562 ซึ่งมีมูลค่าตลาด 3.48 ล้านล้านบาท) เนื่องจากผู้บริโภคมีการเดินทาง ออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น รวมถึงการเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ ช่วยเสริมกำลังซื้อมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564

    อย่างไรก็ตาม EIC มองว่า “ปัจจัยลบยังมีมากกว่าปัจจัยบวก” เพราะราคาพลังงานพุ่งสูง ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพฤษภาคม 2565 พบว่า หมวดไฟฟ้า ประปา เชื้อเพลิง ปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว 14.4% นับตั้งแต่ต้นปี 2565 ซึ่งมีผลต่อต้นทุนราคาสินค้าเกือบทุกหมวดปรับราคาขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะราคาเนื้อสัตว์ ขึ้นมา 15.5% และหมวดการขนส่งและการสื่อสารขึ้นมาแล้ว 10.8%

    เมื่อรวมกับปัจจัยหนี้ครัวเรือนสูง และอัตราว่างงานสูง ทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่ำ และจะส่งผลต่อการเลือกจับจ่ายของผู้บริโภค สินค้าแต่ละกลุ่มในธุรกิจค้าปลีกจะฟื้นตัวแบบไม่เท่ากัน

     

    ของสด-แต่งบ้าน สินค้าจำเป็นที่ผู้บริโภคซื้อมากขึ้น

    สำหรับกลุ่มสินค้าที่ EIC คาดว่าจะฟื้นตัวได้ดีคือกลุ่มของจำเป็น ได้แก่ ของสด (grocery) และ สินค้าซ่อมบ้านและตกแต่งบ้าน

    กลุ่มสินค้าของสดนั้นคาดว่าปี 2565 จะโต 12% YoY ทำให้มูลค่าใกล้เคียงกับปี 2562

    ส่วนสินค้าซ่อมบ้านและแต่งบ้านคาดว่าจะโต 4% YoY กลับมาใกล้เคียงปี 2562 เช่นกัน เนื่องจากบ้านที่มีอายุมาก อายุบ้าน 11-20 ปีจะต้องการรีโนเวตครั้งใหญ่ และอายุบ้าน 5-10 ปี จะต้องการเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ สองกลุ่มนี้รวมกันคิดเป็นสัดส่วน 42% ของที่อยู่อาศัย รวมถึงบ้านอายุน้อยกว่า 5 ปีก็มีการตกแต่งบ้านจากเทรนด์ “อยู่บ้าน” มากขึ้น ทำให้ธุรกิจกลุ่มนี้เติบโตได้

     

    บิวตี้-แฟชั่น ยังฟื้นกลับมาไม่เต็มที่

    ด้านสินค้าบิวตี้นั้น EIC เชื่อว่าปีนี้จะโต 13% YoY แต่เนื่องจากสองปีที่ผ่านมาตลาดหดตัวอย่างมาก ทำให้การฟื้นตัวนี้ยังไม่ใกล้เคียงปี 2562 ต้องรอให้การกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติมากขึ้นก่อน

    สินค้าแฟชั่น เครื่องแต่งกาย และรองเท้าก็เช่นกัน คาดว่าจะโต 14% YoY แต่ยังไม่ใกล้เคียงปี 2562 เนื่องจากผู้บริโภคยังระมัดระวังการใช้จ่ายไปกับสินค้าฟุ่มเฟือย ยกเว้นตลาดระดับลักชัวรีซึ่งพยุงตัวได้มากกว่า เพราะถึงแม้ว่าลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติยังกลับมาไม่มากเท่าก่อนเกิดโรคระบาด แต่ในทางกลับกันลูกค้าคนไทยก็หันมาช้อปภายในประเทศแทน เพราะยังไม่สะดวกเดินทางออกต่างประเทศ

    2565 ค้าปลีก

     

    ช่องทางการขายมีทั้งคึกคักและซบเซา

    จากกลุ่มสินค้าที่มีทั้งกลับมาฟื้นตัวสุดขีด และกลุ่มที่ยังฟื้นแบบช้าๆ ทำให้ช่องทางการขายที่จะได้อานิสงส์มากที่สุดปีนี้คือ “ร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ต” เพราะเป็นช่องทางขายของสด และผู้ประกอบการมีการปรับโมเดลส่งซูเปอร์ฯ ไซส์เล็กเข้าหาแหล่งชุมชนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ลูกค้าเลือกซื้อจากสาขาใกล้บ้าน (กลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ตจะต้องมีการปรับตัวต่อไป)

    อีคอมเมิร์ซ ยังเป็นช่องทางมาแรงสำหรับธุรกิจค้าปลีก

    ขณะที่ช่องทางที่น่าจะยังซบเซา ฟื้นตัวได้ไม่มาก คือ “ห้างสรรพสินค้า” ซึ่งเป็นแหล่งขายสินค้ากลุ่มแฟชัน-บิวตี้เป็นหลัก รวมถึง “รีเทลขายเครื่องสำอาง” โดยเฉพาะ ยกเว้นร้านกลุ่มดรักสโตร์ที่มีการขายยาและอาหารเสริมเพื่อสุขภาพด้วย กลุ่มนี้จะยังได้กระแสรักสุขภาพของคนไทยในช่วงที่ผ่านมาช่วยพยุงยอดขายไว้ได้

    ช่องทางที่น่าสนใจอีกช่องทางหนึ่งคือ “อีคอมเมิร์ซ” EIC คาดว่ามูลค่าตลาดการขายผ่านช่องทางนี้จะโต 24% YoY ในปี 2565 เพราะเป็นช่องทางที่ซื้อสินค้าได้หลากหลาย และเติบโตขึ้นมากจากความสะดวกในช่วงเกิด COVID-19 แม้ว่าจะคลายล็อกดาวน์แล้ว แต่จากการสำรวจความเห็นผู้บริโภคพบว่า 26% จะใช้อีคอมเมิร์ซซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นอีกเทียบกับการสำรวจเมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 และมี 24% ที่จะยังซื้อสินค้าออนไลน์ด้วยความถี่คงเดิม ทำให้ช่องทางนี้จะยังคงความสำคัญต่อไป

    ]]>
    1389653
    ‘Sephora’ สวนกระเเสตลาด ‘เครื่องสำอาง’ วูบ เตรียมขยายสาขาอีก 260 เเห่ง มากสุดในรอบ 21 ปี https://positioningmag.com/1321401 Mon, 01 Mar 2021 13:37:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1321401 เเม้ธุรกิจเครื่องสำอางจะได้รับผลกระทบสาหัสจากพิษโรคระบาด เเต่ก็ไม่อาจฉุดร้านมัลติเเบรนด์ชื่อดังอย่าง ‘Sephora’ ได้ ล่าสุดประกาศขยายสาขาเพิ่มอีก 260 เเห่งทั่วอเมริกา นับเป็นการขยายสาขาครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 21 ปี ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ

    ‘Sephora’ เป็นธุรกิจในเครือ LVMH ยักษ์สินค้าลักชัวรีจากฝรั่งเศส ที่กำลังกว้านซื้อเเบรนด์ต่างๆ เข้าพอร์ต โดยเมื่อเร็วๆ นี้ก็เพิ่งเข้าซื้อหุ้น 50% ในแชมเปญหรู ‘Ace of Spades’ ของ Jay-Z เจ้าพ่อแรปเปอร์

    การขยายสาขาครั้งนี้ จะเเบ่งเป็นร้านของ Sephora เอง (freestanding stores) 60 สาขา ในจำนวนนี้กว่า 85% จะตั้งอยู่นอกห้างสรรพสินค้า ส่วนอีก 200 สาขาจะเป็นร้านขนาดเล็ก’ (mini shops) ที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า Kohl’s

    ธุรกิจความงามกำลังอยู่ในช่วงการปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ เมื่อการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ลูกค้ามาช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าลดลง เเละอัตราว่างงานในตำเเหน่งที่ทำในห้างฯ พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 10.5%

    ขณะเดียวกัน ความจำเป็นที่ต้องสวมหน้ากากอนามัย เเละการทำงานที่บ้านเเบบ Work from Home ก็ทำให้ยอดขายเครื่องสำอางลดลงอย่างมาก เพราะผู้บริโภคไม่ต้องเเต่งหน้าเพื่อออกสังคม อีกทั้งยังบำรุงรักษาผิวหน้าน้อยลง

    รายงานของบริษัทวิจัยตลาด NPD ระบุว่า ยอดขายเครื่องสำอางลดลง 34% ในปี 2020 เมื่อเทียบกับปีก่อน

    Photo : SEPHORA

    เเม้ตลาดโดยรวมจะไม่เอื้ออำนวย เเต่ ‘Sephora’ ขอลุยต่อ โดยจะเริ่มทยอยเปิดสาขาใหม่ในเมืองต่างๆ เช่น ดัลลัส, ฮูสตัน, ลอสแองเจลิส และเท็กซัส

    Sephora ระบุในอีเมลถึง CNNBusiness ว่า การเลือกทำเลเปิดสาขาใหม่เหล่านี้ ผ่านพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ โดยมุ่งเน้นที่การเติบโตในพื้นที่ชานเมืองและนอกห้างสรรพสินค้า ช่วยให้สามารถเข้าถึงผู้ซื้อสินค้าความงามทั่วประเทศได้มากขึ้น

    พร้อมกันนี้ ยังเป็นการเพิ่มช่องทางการขายเเบบ Omnichannel สั่งออนไลน์เเละรับได้ที่สาขา หรือพ่วงโปรโมชันจัดส่งฟรีและการเสนอคืนสินค้าที่ง่ายดาย โดยยอดขายออนไลน์ของ Sephora ในอเมริกาเหนือ ช่วงโรคระบาด เพิ่มขึ้นใกล้แตะระดับ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

    การขยายสาขานี้ คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อห้างสรรพสินค้า Kohl’s เพราะการมีผลิตภัณฑ์ความงามระดับไฮเอนด์ที่หลากหลาย จะช่วยดึงดูดลูกค้าคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้นด้วย

     

    ที่มา : CNN , Forbes , Yahoo 

    ]]>
    1321401
    ใส่แมสก์เป็นเหตุ! ตลาดความงามแข่งดุ โปรกระหน่ำลด 70% สาวชะลอสวยตามสภาพเศรษฐกิจ https://positioningmag.com/1293483 Thu, 20 Aug 2020 10:44:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1293483 “คิสออฟบิวตี้” บริษัทเจ้าของแบรนด์ เช่น Malissa Kiss, MoonA House มองสถานการณ์ “ตลาดความงาม” ปีนี้ หลังเผชิญ COVID-19 ทำให้กำลังซื้อหด ผู้บริโภคลดค่าใช้จ่ายความงาม 20-30% แบรนด์ต่างแห่จัดโปรฯ ลดสูงสุด 70% และลดราคานานขึ้น ทำให้บริษัทต้องดันสินค้าสุขอนามัย-ความสะอาดช่วยเสริมทัพ บุกแพลตฟอร์มออนไลน์ ระยะยาวต้องการเจาะตลาด CLMV ซึ่งมีประชากรหนุ่มสาวจำนวนมาก

    “กิตติพนธ์ นามพิชญ์ธนสิน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิสออฟบิวตี้ จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดผลิตภัณฑ์ความงามหลังเผชิญโรคระบาด COVID-19 ทำให้กำลังซื้อตกลงไปมาก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจซบเซา ประกอบกับชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมีการใส่หน้ากากอนามัยปิดใบหน้า ทำให้ลูกค้ามีการตัดค่าใช้จ่ายด้านความงามลงประมาณ 20-30%

    โดยอ้างอิงข้อมูลคาดการณ์จาก Euromonitor พบว่าตลาดสกินแคร์ที่เติบโต 7.28% เมื่อปี 2562 ปีนี้น่าจะไม่เติบโตเลย และตลาดน้ำหอมซึ่งเติบโต 6.01% เมื่อปีก่อน ปีนี้เชื่อว่าจะหดตัว -8.3% สะท้อนชัดว่าอุตสาหกรรมความงามที่เคยเติบโตได้ดี ปีนี้จะท้าทายมาก

    จากปัจจัยลบดังกล่าว กิตติพนธ์กล่าวว่า ทำให้ตลาดเกิด “สงครามราคา” แบรนด์ต่างๆ แข่งกันจัดโปรโมชันลดราคาไปถึงสูงสุด 70% จากปกติจะลดกันมากที่สุด 50% และยังจัดโปรฯ ยาวนานกว่าปกติ อาจทำแคมเปญยาว 6 สัปดาห์ จากปกติจะทำแคมเปญ 4 สัปดาห์ ทำให้แทบจะเป็นการลดราคาตลอดเวลา

     

    ความชอบ+โอกาส กำเนิดคิสออฟบิวตี้

    สำหรับคิสออฟบิวตี้ เป็นบริษัทที่ก่อตั้งเมื่อปี 2556 เริ่มต้นด้วยแบรนด์ Malissa Kiss เป็นแบรนด์แรก เริ่มทำตลาดแบบโซเชียลคอมเมิร์ซ ก่อนจะบุกเจาะตลาดออฟไลน์ ส่งสินค้าขายในโมเดิร์นเทรด จนปัจจุบันมีทั้งหมด 9 แบรนด์ในเครือ ได้แก่ Malissa Kiss, MoonA House (มุนอา เฮาส์), 2Some1 (ทูซัมวัน), Skinoxy, Daeng Gi Meo Ri (แทงกีโมรี), Yuma, Juliet Cole, Claryna และ Winkel ทั้งหมดเป็นแบรนด์ของบริษัทยกเว้น Daeng Gi Meo Ri ที่นำเข้าจากเกาหลีใต้

    ตัวอย่างสินค้าของคิสออฟบิวตี้ : (จากซ้ายบนวนตามเข็มนาฬิกา) โลชั่นทาตัว Malissa Kiss, โลชั่นน้ำหอมแบบซอง 2Some1, ครีมบำรุงผิวหน้า MoonA House และ เครื่องทำความสะอาดผิวหน้า Claryna

    “ฐิติพรรณ ภัควัฒน์ธเนศ” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท คิสออฟบิวตี้ จำกัด และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท กล่าวว่าจุดเริ่มต้นมาจากความชอบสินค้าความสวยความงามและเห็นโอกาส จึงเริ่มผลิตขายเอง เริ่มแรกเป็นสินค้า Sleeping Mask ขายผ่าน Facebook กับ Instagram

    ด้วยพื้นฐานของทั้งกิตติพนธ์กับฐิติพรรณที่ทำงานในฝ่ายเทรดดิ้งของบริษัทใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหาร ทำให้มีความรู้ความเข้าใจและช่องทางส่งสินค้าสู่โมเดิร์นเทรดได้ในเวลาต่อมา

    “กิตติพนธ์ นามพิชญ์ธนสิน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ “ฐิติพรรณ ภัควัฒน์ธเนศ” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท คิสออฟบิวตี้ จำกัด

    ปัจจุบันภาพรวมของแบรนด์ของคิสออฟบิวตี้คือจะเน้นคอนเซ็ปต์สินค้า “มีคุณภาพในราคาเข้าถึงได้” ปัจจุบันราคาสินค้าอยู่ในช่วง 19-1,290 บาท ครอบคลุมผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินแคร์สำหรับผิวกายและผิวหน้า กลุ่มเครื่องสำอาง กลุ่มเส้นผม กลุ่มน้ำหอม จนถึงบิวตี้เทคที่เพิ่งเปิดตัวคือเครื่องล้างหน้าอัตโนมัติ Claryna

    นอกจากนี้ เมื่อปี 2562 มีการทำสินค้าหน้ากากป้องกันฝุ่น PM 2.5 แบรนด์ Yuma และล่าสุดปีนี้แตกไลน์ไปในกลุ่มของใช้ในครัวเรือนคือฟองน้ำนาโนลบคราบแบรนด์ Winkel เป็นสินค้าแรกที่เริ่มเข้าไปบุกตลาด FMCG

    โดยสินค้ากลุ่มครีมบำรุงผิวและมาส์กหน้า บริษัทมีโรงงานผลิตเองที่บางปูและกิ่งแก้ว จ.สมุทรปราการ กำลังผลิตสูงสุด 3 ล้านชิ้นต่อเดือน นอกจากผลิตให้กับแบรนด์แล้ว ยังมีบริษัทย่อยสำหรับรับทำ OEM ให้แบรนด์อื่นด้วย

     

    ลดเป้าเติบโต ขายเจลล้างมือช่วยดันยอด

    กิตติพนธ์กล่าวต่อว่า จากสงครามราคาที่เกิดขึ้น คิสออฟบิวตี้ก็มีการจัดโปรโมชันเป็นระยะเช่นกัน แต่เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่ราคาเข้าถึงได้อยู่แล้ว ทำให้ลดราคาลงไปมากได้ยาก รวมถึงบริษัทยังพึ่งพิงช่องทางออฟไลน์ เช่น วัตสัน เซเว่นอีเลฟเว่น เป็นหลักถึง 90% ของยอดขาย ทำให้ช่วงที่มีการล็อกดาวน์ปิดห้างสรรพสินค้า บริษัทต้องชะลอเปิดตัวสินค้าใหม่ทั้งหมด จนมีรายได้ลดลงมากในช่วงไตรมาสที่ 2

    ดังนั้น ปีนี้บริษัทจึงลดเป้าเติบโตลงเหลือ 14% หวังรายได้แตะ 302 ล้านบาท (ต้นปีวางเป้าเติบโตไว้ 60%) ถือเป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดตั้งแต่เปิดบริษัทมา

    สินค้าไลน์ใหม่ของบริษัท : ฟองน้ำนาโน Winkel และ เจลล้างมือแอลกอฮอล์ Yuma

    บางบริษัทอาจจะวิกฤตถึงขั้นติดลบ แต่กิตติพนธ์มองว่าบริษัทยังโตได้แม้จะน้อยลง เพราะสินค้าเรือธงของบริษัทเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว โลชั่นทาตัว โลชั่นน้ำหอม ซึ่งได้รับผลกระทบจากการใส่มาส์กของผู้บริโภคน้อยกว่าเครื่องสำอาง และบริษัทยังเร่งปรับตัว นำแบรนด์ Yuma ไปผลิตเจลล้างมือแอลกอฮอล์ ผ้าเช็ดทำความสะอาดแบบเปียก เพิ่มจากการผลิตหน้ากากผ้าที่มีอยู่เดิม เพื่อตอบรับความต้องการผู้บริโภค

    รวมไปถึงการเปิดตัวฟองน้ำนาโนขัดคราบอเนกประสงค์ตรา Winkel หันไปบุกตลาด FMCG กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในบ้านมาช่วยเติมรายได้

     

    บุกหนักออนไลน์ เล็งตลาด CLMV

    ด้านการเติบโตระยะยาว กิตติพนธ์กล่าวว่าบริษัทจะเน้นการทำตลาดออนไลน์สูงขึ้น เพราะยุคก่อนหน้านี้ช่องทางที่แบรนด์สายบิวตี้จะโตแรงต้องเข้าไปขายในโมเดิร์นเทรด แต่จากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้พฤติกรรมคนเปลี่ยน ลูกค้าชินกับการสั่งซื้อทางออนไลน์มากขึ้น แม้จะไปดูสินค้าในร้านออฟไลน์ แต่อาจจะสั่งซื้อผ่านออนไลน์แทนเพราะได้ราคาถูกกว่า ดังนั้น มองว่าสัดส่วนการขายออนไลน์ 10% ในปัจจุบัน จะเพิ่มเป็น 50% ภายในปี 2568

    นอกจากนี้ บริษัทยังเล็งขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีการส่งออก 10% ของรายได้ ส่งออกไปยัง 4 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม จีน ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน ต้องการเพิ่มสัดส่วนเป็น 30% ภายใน 3 ปี

    มีตลาดที่มุ่งเน้นคือกลุ่มประเทศ CLMV ประเดิมด้วยประเทศเวียดนามที่เปิดตลาดแล้ว ต่อไปจะส่งเข้ากัมพูชา เมียนมา และลาวด้วย โดยเป็นการขายผ่านตัวแทนจัดจำหน่าย จะใช้แบรนด์ MoonA House เป็นเรือธงในการเจาะตลาดต่างประเทศ เพราะสินค้าเป็นสกินแคร์สำหรับผิวหน้าแบบซอง ราคาจะหยิบจับเข้าถึงง่าย

    ฐิติพรรณกล่าวเสริมว่า ผลิตภัณฑ์ของบริษัทส่วนใหญ่จะเจาะลูกค้าตั้งแต่วัยมัธยม วัยมหาวิทยาลัย จนถึงคนทำงานหนุ่มสาว แต่กลุ่มประชากรไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย แม้ว่าบริษัทจะมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่ม Aging แต่ผลิตภัณฑ์เดิมก็ต้องหาทางเติบโตต่อ จึงต้องการเจาะประเทศ CLMV ที่ประชากรส่วนใหญ่ยังเป็นวัยหนุ่มสาว และชื่อเสียงสินค้าไทยยังแข็งแรงว่าเป็นของดีมีคุณภาพ

    ]]>
    1293483
    ส่องเทรนด์ตลาดความงามเอเชีย 2020 โอกาสเครื่องสำอางผู้ชาย-ลุคธรรมชาติมาเเรง  https://positioningmag.com/1258620 Thu, 26 Dec 2019 07:38:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1258620 พฤติกรรมผู้บริโภคชาวเอเชียได้เปลี่ยนไป จากแต่ก่อนคำว่า “ความสุข” ผู้คนมักให้ความสำคัญกับการมีเงินที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ปัจจุบันสิ่งที่พวกเขามองหาเเละให้ความสำคัญคือ “การมีสุขภาพที่ดี”

    ขณะเดียวกันธุรกิจความงามก็ไม่ได้มุ่งไปที่กลุ่มลูกค้าเฉพาะผู้หญิงอีกต่อไป เมื่อยุคนี้มีลูกค้าผู้ชายที่ใส่ใจภาพลักษณ์เเละดูเเลตัวเอง เพิ่มขึ้นจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสดีสำหรับแบรนด์ในการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ “สำหรับผู้ชาย” เเละผลิตภัณฑ์ความงามแบบ Personalization หรือ Customization ก็กำลังจะมาแรงในปี 2020

    จากรายงาน Beauty Trends in Asia ของ Kantar บริษัทด้านข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาทางการตลาดกล่าวถึงสิ่งที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดความงามในเอเชียของปีหน้าว่า ความเป็นธรรมชาติที่ช่วยให้ผู้บริโภคมีสุขภาพผิวที่ดี เครื่องสำอางในลุคธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์ความงามสำหรับผู้ชาย มียอดขายผลิตภัณฑ์ด้านความงามเพิ่มขึ้นถึง 8% ระหว่างปี 2017 – 2018 เทียบกับผลิตภัณฑ์ FMCG ที่เพิ่มขึ้นเพียง 4% สินค้า Personal Care ในเอเชียยังคงแซงหน้าตลาด FMCG ทั้งหมด

    เทรนด์ตลาดความงามเอเชีย 

    Derma-care

    ผลิตภัณฑ์ Derma-care ได้รับความนิยมมากขึ้น แบรนด์ผลิตภัณฑ์ Derma-care รุกตลาดเกาหลีเกือบ 45% จากเดิม 25% ในปี 2017 ถือเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย ส่วนอันดับ 2 คือไต้หวันที่ 40% เพิ่มขึ้นจาก 37.6 ในปี 2017

    ผลิตภัณฑ์ Derma-care มีความสามารถในการให้ประสิทธิภาพระดับสูงสำหรับการรักษาปัญหาผิวที่เฉพาะเจาะจง เช่น ผิวหนังอักเสบ แต่ก็ถูกนำมาใช้มากขึ้นในการแก้ปัญหาผิวทั่วไปสำหรับผิวบอบบางและการป้องกันมลพิษ มีการออกผลิตภัณฑ์ Derma-care ใหม่เพิ่มขึ้น จากเดิมตลาดเป้าหมายเป็นเพียงแค่กลุ่ม Niche แต่ทุกวันนี้การค้าปลีกและช่องทางการจัดจำหน่ายสมัยใหม่ ได้ช่วยเพิ่มโอกาสให้ผลิตภัณฑ์ Derma-care ได้จำหน่ายนอกร้านขายยา

    Natural Beauty

    “ผิวโกลสุขภาพดี” เป็นลุคที่ต้องการมากที่สุดสำหรับชาวเอเชีย ความชุ่มชื่นคือความจำเป็นสำหรับลุคนี้ ทำให้ยอดขายเซรั่มที่มอบความชุ่มชื่นอย่างเข้มข้นเพิ่มขึ้น สูงถึง 61% จาก 58% ในปี 2017 ถือเป็นตัวเลขสูงที่สุดในเอเชีย  ขณะที่จีนเพิ่มขึ้นจาก 18% ในปี 2017 เป็นเกือบ 26% 

    ในวันนี้ ลุคที่ “เป็นธรรมชาติ” ต้องใช้เครื่องสำอางที่ช่วยมอบความโปร่งแสง ได้แก่ รองพื้นแบบน้ำ บีบีครีม ไพรเมอร์ และคอนซีลเลอร์ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก

    โดย Kantar คาดว่าเครื่องสำอางที่ให้คุณประโยชน์ด้านการดูแลผิวจะมีการเติบโตในอนาคต ซึ่งผลิตภัณฑ์ “Crossover” ระหว่างผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางได้มีการวางจำหน่ายแล้ว อย่างเช่น ครีมโทนเนอร์ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้นทันที การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไว้ใกล้กับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในจีน แม้พวกเขารู้ว่าเม็ดสีในเครื่องสำอางอาจเป็นอันตราย

    Men-only

    จำนวนผู้ชายที่ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งเอเชีย โดยเฉพาะจากจีน เกาหลีใต้ และไทย พวกเขาเพิ่มการซื้อผลิตภัณฑ์ในหมวดอื่นๆ เพราะขั้นตอนการบำรุงผิวมีหลายขั้นตอนยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ส่วนมากก็ยังไม่ได้ซื้อผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นสำหรับผู้ชายโดยเฉพาะ และกลุ่มนี้ยังเติบโตช้ากว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบบ Unisex

    ผู้ชายในช่วงอายุ 20 ปี มักจะซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิว Men-only แต่เมื่อพวกเขาอายุมากขึ้นก็จะเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ได้ ดังนั้นมีโอกาสเติบโตอย่างมากสำหรับแบรนด์ที่จะปรับเปลี่ยนการใช้ผลิตภัณฑ์ Unisex ไปเป็น Men-only เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ชายเหล่านี้ “Lapsing” เมื่อเขามีอายุเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ควบคุมความมันต่อต้านริ้วรอย ไวท์เทนนิ่ง และกันแดด

     

    Customization

    ผู้บริโภคในเอเชียเชื่อว่าหากผลิตภัณฑ์ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมกับเขาโดยเฉพาะ จะทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและยังทำให้เขารู้สึกพิเศษ “Customization” ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็งทั้งในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง การวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยีช่วยให้สามารถวิเคราะห์สภาพผิวและสร้างผลิตภัณฑ์ที่มอบประโยชน์เฉพาะสำหรับผิวแต่ละบุคคลได้ เครื่องสำอางที่สามารถปรับสีและเนื้อสัมผัสได้ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน

    กลยุทธ์ชนะใจผู้บริโภคยุคใหม่ในเอเชีย 

    จากแนวโน้มตลาดความงามเเละสุขภาพดังกล่าว สรุปได้เป็น 5 กลยุทธ์ให้ธุรกิจต่างๆ นำไปประยุกต์ใช้เพื่อเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ในเอเชียได้ ดังนี้ 

    • มีความเป็นธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การบำรุงผิวที่ล้ำลึก และมอบคุณค่าทาง Health และ Wellness
    • พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ เข้าใจไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป “ใช้ง่าย” และ “รวดเร็ว” คือสิ่งที่คนเอเชียกำลังมองหา
    • มอบประสบการณ์ใหม่ด้วยผลิตภัณฑ์ Cross-over ลุคแบบธรรมชาติต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นที่ผนวกเครื่องสำอางเข้ากับผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
    • ให้ผู้บริโภครู้สึก Exclusive ผู้บริโภคในทุกวันนี้ไม่ได้ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาสำหรับทุก พวกเขาต้องการสิ่งที่เหมาะกับเขาโดยเฉพาะ หรือต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็น Personalization
    • มอบคุณประโยชน์ที่ผู้บริโภคชายกำลังมองหา พวกเขาแสวงหาประสิทธิภาพที่มีความล้ำลึกยิ่งขึ้น ต่อต้านริ้วรอยและไวท์เทนนิ่ง คือสิ่งที่ควรค่าแก่การผสนผสาน

    เจาะตลาดความงามในไทยอย่างไร? 

    ชีวานนท์ ปิยะพิทักษ์สกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประเทศไทยและมาเลเซีย แนะนำกลยุทธ์ในการชนะตลาดความงามในไทยโดยแบรนด์ต้องคำนึงถึง 2 มุมหลัก คือ ผลิตภัณฑ์และการสื่อสาร โดยผลิตภัณฑ์จะต้องเชื่อมโยงกับคำว่า Health และ Wellness โดยผสานความเป็นธรรมชาติเข้าไป 

    “สำหรับคำว่า ความเป็นธรรมชาติ ของคนไทยไม่ใช่แค่เรื่องของส่วนประกอบจากธรรมชาติ แต่ยังคำนึงถึงความมีประสิทธิภาพที่ล้ำลึกและมีสารปรุงแต่งน้อยที่สุด ผลิตภัณฑ์ยังต้อง ‘More Customized’ ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น เช่น ป้องกันปัญหามลพิษฝุ่น PM 2.5 ที่มีต่อผิวตอบโจทย์ความต้องการถึงระดับตัวบุคคล ” 

    สำหรับการสื่อสารต้องมุ่งเน้นไปที่ ‘Holistic Health Benefits’ คือการสื่อสารให้เห็นคุณประโยชน์ต่อสุขภาพแบบองค์รวม ตอบโจทย์ความต้องการทางด้าน Functional และ Emotional เพื่อสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก ดังนั้นแบรนด์ต้องเข้าใจ Insight ผู้บริโภค และกำหนดกลยุทธ์โดยมี Customer Centric เพื่อเติมเต็มความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป

     

     

    ]]>
    1258620