นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาส 3-4 ปี 2567 ที่ผ่านมา บิ๊กซี มีการเติบโตแบบ Double Digit (ตัวเลข 2 หลัก) จากผู้บริโภคที่ซื้อของถี่ขึ้น แต่ยอดซื้อต่อบิลลดลงบ้าง ตามพฤติกรรมการรัดเข็มขัด
ภาพรวม Sentiment ยังต้องฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภค เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่าย โดยโจทย์ใหญ่ ปี 2568 คือ “กำลังซื้อไม่โต” สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนผ่านการขึ้นเงินเดือน โบนัส หรือภาพรวมตลาดหุ้น ซึ่งมีผลต่อเงินในกระเป๋าผู้บริโภคโดยตรง
รวมไปถึงต้องจับตาทิศทางประเทศมหาอำนาจโลก ที่ส่งผลกระทบต่อไทย อาทิ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี 20 ม.ค. 68 ตลอดจนเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ดีขึ้น จะส่งผลต่อการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไทยหรือไม่ ซึ่งจะเห็นภาพชัดตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 2568 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี คาดว่าการจับจ่ายในช่วงตรุษจีน และมาตรการรัฐบาล Easy E-Receipt 2.0 จะช่วยหนุนยอดขายบิ๊กซีอยู่ที่ 1,180 ล้านบาท หรือเติบโตแบบ Double Digit
ส่วนแผนความคืบหน้าการนำ บมจ. บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คงชะลอออกไปก่อน “ปี 2568 ไม่เข้าตลาดหุ้นแน่นอน“
นอกจากนี้ บิ๊กซี ยังเตรียมทำโมเดลใหม่ ”บิ๊กซี เดอะคัลเลอร์“ ปรับปรุงร้านให้สดใสมากขึ้น เพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่
]]>บริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ BRC ประกาศไปเมื่อช่วงต้นปี 2566 ว่าบริษัทกำลังจะกลับเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้ง หลังจาก “บิ๊กซี” เคยถอนหุ้นออกจากตลาดไปเมื่อปี 2560 โดยขณะนี้บริษัท BRC ได้ยื่นไฟลิ่งไปแล้วเรียบร้อย อยู่ระหว่างรอเปิด IPO
“อัศวิน เตชะเจริญวิกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ BRC ยังไม่สามารถแจ้งกำหนดการเปิด IPO ได้อย่างชัดเจน แต่แย้มว่ามี ‘ลุ้น’ น่าจะทันภายในปี 2566
ในระหว่างนี้ BRC จึงอยู่ในช่วงทำการสื่อสารกับสังคมถึงกลยุทธ์ธุรกิจหลังกลับเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทจะเติบโตไปอย่างไรบ้าง
ย้ำกันอีกครั้งถึงภาพธุรกิจของบิ๊กซี ถือเป็นบริษัทเรือธงในกลุ่มบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC และกลุ่มบริษัท ไทยเจริญคอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ TCC
ประวัติของบิ๊กซีเคยถูกซื้อขายเปลี่ยนมือมาแล้วหลายครั้ง แต่หลังจากมาอยู่ในมือตระกูลสิริวัฒนภักดี ปัจจุบันบิ๊กซีสามารถขยายตัวจนมีธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (โมเดิร์นเทรด) รวม 1,741 สาขาทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยแบ่งเป็นประเภทร้านค้าขนาดใหญ่ 200 สาขา, ประเภทร้านค้าขนาดเล็ก 1,518 สาขา และประเภทอื่นๆ เช่น ตลาดนัด, บิ๊กซี ฟู้ด เซอร์วิส, บิ๊กซี ดีโป้ รวม 23 สาขา รวมถึงมีธุรกิจประเภทค้าส่ง และธุรกิจอื่น เช่น ร้านขายยาเพรียว, ร้านกาแฟวาวี, ร้านหนังสือเอเชียบุ๊คส
ในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนรอบวันที่ 7 มิ.ย. 2566 อัศวินแนะนำจุดเด่นและพื้นฐานที่แข็งแรงของ BRC ไว้หลายข้อ เช่น
เมื่อปี 2565 บริษัท BRC ทำรายได้ไป 113,573 ล้านบาท และมี EBITDA มูลค่า 11,511 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรา 10.5% จึงนับเป็นบริษัทใหญ่ที่น่าสนใจที่จะเข้า IPO
“ดุษณี เมอร์ลิง” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน BRC เปิดแผนลงทุนปี 2566-67 ของบริษัท วางแผนลงทุนเฉลี่ยปีละ 10,000 ล้านบาท
แบ่งสัดส่วนการลงทุนโดยคร่าว 23% จะเป็นการรีโนเวตสาขาเดิม 20% ลงทุนในประเภทร้านค้าขนาดใหญ่ (ไฮเปอร์มาร์เก็ต) 17% ลงทุนในร้านค้าขนาดเล็ก (บิ๊กซี มินิ) 11% ลงทุนในบิ๊กซี ฟู้ด เซอร์วิส และอีก 8-10% ลงทุนในตลาดต่างประเทศ
ก่อนหน้านี้ BRC เคยให้ข่าวไว้ว่า ในตลาดไทยปี 2566 จะเปิดสาขาประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตรวม 3 สาขา และเปิดบิ๊กซี มินิอีก 100-200 สาขา รวมถึงมีการรีโนเวต 25 สาขาไทย
ด้านแผนงานระยะยาว อัศวินมองว่า ตลาดในประเทศไทยจะเน้นการเปิดโมเดิร์นเทรดขนาดกลางและขนาดเล็กในชุมชน เน้นหัวเมืองรองมากขึ้น เนื่องจากพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดขนาดใหญ่ค่อนข้างจะ ‘แน่น’ แล้ว โดยเฉพาะถ้าหากจะเปิดรีเทลประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ต จะหาที่ดินและทำเลเปิดได้ยาก
ส่วนที่น่าสนใจคือ ตลาดต่างประเทศในกลุ่มอาเซียน ซึ่งทางบิ๊กซีมีการลงทุนแล้วในลาว กัมพูชา และเวียดนาม ดังนี้
“เรามองการแข่งขันต่อจากนี้ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่เป็นตลาดอาเซียน โดยเราต้องการจะเป็นเบอร์ 1 ธุรกิจโมเดิร์นเทรดในอาเซียน” อัศวินกล่าว
อัศวินระบุว่า ขณะนี้ถือได้ว่า BRC เป็นเบอร์ 1 แล้วในประเทศลาว และกำลังจะเริ่มเปิดบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์สาขาแรกในลาว พร้อมมองโอกาสของประเทศลาว คาดว่าจะรองรับไฮเปอร์มาร์เก็ตของบิ๊กซีได้ 10 สาขาเป็นอย่างน้อย
ส่วนตลาดกัมพูชาและเวียดนามก็กำลังเดินหน้าขยายตัว โดยแย้มว่าห้างค้าปลีกค้าส่งในเวียดนาม “MM Mega Market” ซึ่งอยู่ในเครือ BJC เช่นกัน จะถูกโอนย้ายมาอยู่ในพอร์ตของ BRC ด้วย และจะเปลี่ยนชื่อเป็น “Big C Mega Market” ในอนาคต
ปัจจุบันรายได้จากต่างประเทศคิดเป็นเพียง 10% ในพอร์ตของบิ๊กซี แต่อัศวินคาดว่าภายใน 5-7 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะพุ่งขึ้นเป็น 20-40% หลังจากเข้าไปขยายการลงทุนได้มากขึ้น
ถือเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย เมื่อมองไปในตลาดรีเทลอาเซียน มีผู้เล่นจากประเทศไทยเข้าไปรุมชิงเค้กกันหลายราย เช่น เวียดนาม มี CRC ของเครือเซ็นทรัลเปิดโมเดิร์นเทรดแบรนด์ GO! หรือ ซีพี ออลล์ ที่เริ่มลงทุน 7-Eleven ในกัมพูชาแล้ว
]]>“อัศวิน เตชะเจริญวิกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ BRC เปิดเผยกลยุทธ์การปรับโมเดลรีเทลรูปแบบใหม่ของบริษัทในชื่อ “Big C Place” ที่จะเริ่มเห็นสาขาแรกในปี 2566
คอนเซ็ปต์ของ Big C Place คือการปรับพื้นที่ไฮเปอร์มาร์เก็ตให้มีพื้นที่เช่ามากขึ้น บรรยากาศเหมาะกับการมาแฮงเอาต์ เดินช้อปปิ้ง ทานอาหาร ซึ่งตรงกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ไม่ได้มาไฮเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของที่ต้องการเท่านั้น แต่ต้องการมาใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ ด้วย
ในภาพนำเสนอการปรับเป็น Big C Place ระบุว่าจะมีการเพิ่มพื้นที่ช้อปปิ้ง พื้นที่เล่นเกม พื้นที่ด้านการศึกษาผสานความบันเทิง (Edutainment) บริการสุขภาพและความงาม ร้านอาหาร-เครื่องดื่ม และพื้นที่ไลฟ์สไตล์ต่างๆ เช่น Co-working Space, Event Space นอกจากนี้ยังจะปรับให้เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง (Pet-Friendly)
อัศวินกล่าวเพิ่มเติมว่า เป้าหมายของการปรับเปลี่ยนจะทำให้ลูกค้าใช้เวลาในพื้นที่นานขึ้น มีการใช้บริการหลากหลาย มียอดใช้จ่ายที่สูงขึ้นในการมาแต่ละครั้ง
แผนงานไฮเปอร์มาร์เก็ต 2 สาขาแรกที่จะรีโนเวตปรับเป็น Big C Place ก่อน ได้แก่ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาลำลูกกา และ บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า สาขารัชดาภิเษก ทั้ง 2 สาขานี้มีการสำรวจมาแล้วว่าลูกค้าโดยรอบมีความต้องการไลฟ์สไตล์ในห้างฯ ในลักษณะนี้ คาดว่าจะใช้งบในการรีโนเวตแต่ละสาขาไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยสาขาแรกคือที่ลำลูกกาจะเปิดตัวก่อนภายในปี 2566
สำหรับโมเดลร้านค้าของ “บิ๊กซี” ในไทยปัจจุบันมีอยู่หลายรูปแบบ เช่น “บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์” ซึ่งเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต “บิ๊กซี มาร์เก็ต” ซูเปอร์มาร์เก็ตเน้นทำเลในชุมชน “บิ๊กซี ฟู้ดเพลส” ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่เน้นอาหารสด-ของสด เป็นต้น
ปัจจุบันเฉพาะกลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ต บิ๊กซีถือเป็นอันดับ 2 ในตลาด มีส่วนแบ่งตลาด 41.9% บริษัทจึงต้องแข่งขันหาโมเดลและกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อดึงลูกค้าเพิ่มขึ้น
]]>ตอนนี้มีกลุ่มค้าปลีกได้ออกนโยบายนี้กันมากขึ้น นำร่องโดยกลุ่ม “เซ็นทรัลพัฒนา” หรือ CPN ในการใช้ 23 ศูนย์การค้าเพื่อรองรับการฉีดวัคซีน รวมทั้งบ้านใกล้เรือนเคียง “เซ็นทรัลรีเทล” ก็เสนอให้ใช้พื้นที่ของธุรกิจในเครือกว่า 109 แห่งในการฉีดวัคซีน
ส่วนไฮเปอร์มาร์เก็ตอย่าง “บิ๊กซี” และ “โลตัส” ก็เริ่มเปิดโรดแมป นำร่องสาขาที่ให้บริการฉีดวัคซีนบ้างแล้วเช่นกัน
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรั
CPN มีต้นแบบการใช้ศูนย์การค้
ล่าสุด “เซ็นทรัล สมุย” ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 4 จุดที่ให้บริการฉีดวัคซีนเข็มที่
CPN ยังมีแผนในการสนับสนุนการฉีดวัคซี
ทางด้านเซ็นทรัล รีเทล ร่วมกับสภาหอการค้าไทย ได้ผนึกธุรกิจในเครือในการเสนอต้นแบบ และพื้นที่ในเครือในการให้บริการฉีดวัคซีนเช่นกัน
รวมพื้นที่ธุรกิจในเครือ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์, ไทวัสดุ และท็อปส์ พลาซ่า ทั้งหมด 109 แห่งทั่วประเทศไทย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับภาครัฐในการกระจายวัคซีนเข้าไปหาคนไทยอย่างทั่วถึง และเป็นต้นแบบสำหรับต่อยอดไปทั่วประเทศ
พร้อมจัดหาบุคลากร จิตอาสา และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์สำนักงาน รวมถึงอาหารและเครื่องดื่ม สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และทีมจิตอาสาที่ทำงานอย่างหนักทุกคน โดยคาดว่าในแต่ละพื้นที่ จะสามารถให้บริการฉีดวัคซีนได้ประมาณ 1,500 – 2,000 คนต่อวัน
กลุ่มของไฮเปอร์มาร์เก็ตก็ขอร่วมด้วย “กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี” สนับสนุนพื้นที่ฉีดวัคซีนในบิ๊กซีทั่วประเทศ จำนวน 54 สาขา และสนับสนุนการจัดเก็บวัคซีนและกระจายวัคซีนไปยังพื้นที่ที่กำหนด
โดยบีเจซีร่วมสนับสนุน แบ่งเป็น TEAM A: Distribution and Logistics ทีมสนับสนุนการกระจาย และฉีดวัคซีน และ TEAM D: Extra Vaccine procurement ทีมจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม
Team A: Distribution and Logistics : บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)
Team D: Extra Vaccine Procurement : บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)
ทาง “โลตัส” ของเจ้าสัวธนินท์ แห่ง CP ผนึกความร่วมมือภาคเอกชน ร่วมคณะทำงาน “ทีมไทยแลนด์” สนับสนุนการกระจายฉีดวัคซีนให้ประชาชนทั่วประเทศ โดย “โลตัส สาขามีนบุรี” นำร่องเป็น 1 ใน 14 สถานที่ในกรุงเทพมหานคร ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นจุดฉีดวัคซีน สามารถรองรับประชาชนได้ 1,000 คนต่อวัน
พร้อมเสนอสาขาใหญ่อีก 50 สาขาทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการฉีดวัคซีนได้อย่างสะดวก นอกเหนือจากคณะทำงานทีม A สนับสนุนการกระจายและฉีดวัคซีนแล้ว ยังมีคณะทำงานทีม B เพื่อใช้สื่อ และช่องทางทั้งออนไลน์ และในสาขาทั่วประเทศช่วยสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับวัคซีนให้กับลูกค้าและประชาชนอีกด้วย
]]>จรัสพักตร์ การปลื้มจิตต์ ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจแฟลช กล่าวว่า
“การเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในปี 2563 ที่ผ่านมา ส่งให้ตลาด E-Commerce เติบโตมากกว่า 35% ซึ่งแนวโน้มในปี 2564 ภาพรวมของตลาด E-Commerce ยังมีโอกาสเติบโตได้อีก ด้วยเหตุนี้ แฟลช เอ็กซ์เพรส ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุสัญชาติไทยและอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจร จึงเร่งหาพาร์ตเนอร์ที่มีศักยภาพเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าผู้ใช้บริการ ด้วยเทรนด์ของลูกค้าที่ยังเลือกไปส่งพัสดุด้วยตนเองที่ Shop หรือจุด Drop Off ใกล้บ้าน คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 68% ต่อวัน แฟลช เอ็กซ์เพรส เล็งเห็นว่าบิ๊กซี ซึ่งเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ของคนไทย มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ มีศักยภาพและเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นจุด Drop Off อีกแห่งของแฟลช เอ็กซ์เพรส”
การจับมือเป็นพันธมิตรกับบิ๊กซี ถือเป็นการร่วมงานกับคู่ค้าทางธุรกิจในสายรีเทลครั้งแรกของแฟลช เอ็กซ์เพรส ส่งผลให้มีช่องทางในการให้บริการลูกค้าได้หลากหลายยิ่งขึ้น โดยเริ่มนำร่องจุดบริการ Drop Off จำนวน 50 สาขาภายในศูนย์การค้าบิ๊กซี และตั้งเป้าขยายการให้บริการทั้งในศูนย์การค้าบิ๊กซี และมินิบิ๊กซี มากกว่า 1000 สาขาทั่วประเทศ ในไตรมาสที่ 4/2564
การเปิดตัวบริการ Drop Off หรือจุดให้บริการรับ-ส่งพัสดุ แฟลชยังได้มอบโปรโมชัน “ส่งพัสดุ Flash ที่บิ๊กซี รับส่วนลดท้ายใบเสร็จมูลค่า 10 บาท สำหรับใช้เป็นส่วนลดในการส่งพัสดุ Flash ในครั้งถัดไป” ที่จุดให้บริการบิ๊กซี โดยมีรายละเอียดโปรโมชันดังนี้
“อัศวิน เตชะเจริญวิกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ร่วมด้วย “ปฐพงศ์ เอี่ยมสุโร” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่มบีเจซี แถลงแคมเปญใหญ่โค้งท้ายปี “ถูกจริง ประหยัดจริงที่บิ๊กซี” เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค
โดยจะนำสินค้ากว่า 5,000 รายการลดราคาตั้งแต่ 25 ก.ย. 63 – 4 ม.ค. 64 ยาวมากกว่า 3 เดือน ครอบคลุมทุกหมวดสินค้า ลดทุกวัน ทุกสาขา พร้อมส่วนลด on top เพิ่มอีกเมื่อซื้อถึงยอดที่กำหนด นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชันลดราคา 50% เมนูอาหารยอดฮิต 14 เมนูในศูนย์อาหาร Food Park ระหว่างวันที่ 1-31 ต.ค. 63
“จริงๆ บิ๊กซีเราถูกมาตลอด มีการทำ Price Index Survey เราจะเป็นอันดับ 1 เสมอว่าถูกที่สุด แต่เมื่อเศรษฐกิจเป็นแบบนี้ คนอื่นก็เริ่มมีแคมเปญเรื่องราคาถูก ดังนั้นเราขอทำแคมเปญบ้างเหมือนกันว่าเราคือตัวจริงเรื่องถูก” ปฐพงศ์กล่าว
ผลกระทบจาก COVID-19 ต่อเศรษฐกิจทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงชัดเจน และทำให้พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนไป โดยปฐพงศ์ระบุว่า หลังปลดล็อกดาวน์ ลูกค้ามาที่ศูนย์การค้าถี่น้อยลงกว่าเดิม จากเดิมมา 2.3 ครั้งต่อเดือน ลดเหลือราว 2 ครั้งต่อเดือน แต่ตะกร้าสินค้าจะใหญ่ขึ้น ใช้จ่ายต่อครั้งมากขึ้น 5-10%
แม้ยอดซื้อจะเพิ่ม แต่การที่ลูกค้ามาห้างฯ บ่อยน้อยลงจะไปกระทบกับร้านค้าในพื้นที่เช่าของห้างฯ ซึ่งสุดท้ายจะกระทบมาถึงบิ๊กซีเช่นกัน ทำให้ต้องหากลยุทธ์มาดึงลูกค้า
“3 เดือนต่อจากนี้จะท้าทายมาก เราเลยตรึงราคาให้ไปถึงต้นปี 2564 เลย” อัศวินกล่าว “เราต้องหาของถูกมาช่วยลดค่าครองชีพลูกค้า ถ้าลูกค้ามาที่บิ๊กซีเยอะ ร้านเช่าในห้างฯ เราก็อยู่ได้”
อัศวินเสริมว่า การให้ส่วนลดมากจะกระทบกับกำไรของบิ๊กซีที่น่าจะลดลงแต่ไม่ถึงขาดทุน บริษัทต้องยอมตัดกำไรตรงนี้เพื่อให้ระยะยาวยืนอยู่ได้ ถ้าหากมีกำไรเพียงระยะสั้น แต่ลูกค้าลดลง จะเกิดปัญหากับพื้นที่เช่าในอนาคตแน่นอน
นอกจากของถูกในไฮเปอร์มาร์เก็ตแล้ว ตัวพื้นที่เช่าเองก็ต้องมีการปรับให้ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคด้วย โดยอัศวินอธิบายว่า ปัจจุบันลูกค้าซื้อของกินของใช้เริ่มนิยมไปร้านขนาดเล็กใกล้บ้านมากขึ้น ถ้าหากจะมาเดินห้างฯ ใหญ่แบบไฮเปอร์มาร์เก็ตมักจะมีจุดประสงค์อื่นด้วย เช่น เสาร์-อาทิตย์พาครอบครัวมารับประทานอาหาร
ดังนั้น ร้านค้าที่ลงในบิ๊กซีก็จะมีการปรับให้ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ยกตัวอย่าง “ร้านอาหาร” จะมีร้านใหม่ๆ เข้ามา เช่น ก๋วยเตี๋ยวเรือ ร้านสุกี้ อาหารเกาหลี โดยถ้าหากเชนร้านอาหารรายใหญ่ไม่สนใจเช่าพัฒนาร้าน ทางบริษัทหรือในเครือจะพัฒนาร้านเองในพื้นที่
นอกจากนี้ ในบิ๊กซีสาขาใกล้คอนโดมิเนียม จะมีการลง “เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ” ไว้บริการ เพราะเป็นสิ่งที่ลูกค้าในย่านใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้มีจุดประสงค์เพิ่มขึ้นในการเลือกแวะมาห้างฯ บิ๊กซี
ด้านการลงทุนเปิดสาขาใหม่ อัศวินกล่าวว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ยังมีการลงทุน เพียงแต่อาจจะปรับแผนเรื่องรูปแบบร้านที่จะลงทุน
โดยไตรมาส 4 นี้จะเน้นเปิด “มินิ บิ๊กซี” เป็นหลัก ส่วนใหญ่เป็นสาขาในภาคตะวันออกแถบพื้นที่อีอีซี ซึ่งเป็นแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากพื้นที่ภาคตะวันออกมีเครือข่ายสาขาขนาดใหญ่เต็มทุกพื้นที่ ทำให้เหมาะกับการแทรกร้านขนาดเล็กอย่างมินิ บิ๊กซีเข้าไปในโครงข่าย เป็นผลดีต่อการกระจายสินค้าจะคุ้มค่ามากขึ้น ส่วนการลงทุนอื่นๆ จะมีการรีโนเวตสาขาเก่าในเมือง เช่น เอกมัย รัชดาภิเษก พระราม 2
อัศวินยังประเมินด้วยว่า จากการพบปะพูดคุยกับบรรดาผู้บริหารต่างประเทศ ดูเหมือนเศรษฐกิจคงไม่กลับมาดีในเร็วๆ นี้ คาดว่าต้องใช้เวลาค่อยๆ ฟื้นตัวอีกถึง 3 ปีกว่าที่เศรษฐกิจจะกลับมาเท่ากับปี 2562 โดยกลุ่มบีเจซีเองยังมีปัจจัยบวกอยู่บ้างที่สินค้าและบริการเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ขวดแก้ว กระดาษ และมีบิ๊กซีเป็นรีเทลที่ช่วยหมุนกระแสเงินสด แต่การลงทุนต่างๆ ก็จะระมัดระวังมากขึ้น
]]>ทางบิ๊กซีได้ส่งประกาศชี้แจงดังนี้
ตามที่ทางคณะรัฐมนตรีได้มีมติดำเนินการ เพื่อป้องกันความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ในวันเสาร์ที่ 21 มีนาคม 2563 โดยให้ปิดสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคเพิ่มขึ้นในเขตพื้นที่ กทม. ตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค. – 12 เม.ย. 63 รวมระยะเวลา 22 วัน ในส่วนของร้านอาหารยังเปิดตามปกติ เพียงแต่ขอให้ปรับรูปแบบเป็นแบบกล่องกลับบ้าน (take away) และซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และร้านขายยา เปิดตามปกติ บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่าบิ๊กซีทุกสาขาทั่วประเทศเปิดตามปกติ
ทั้งนี้ ขอเรียนแจ้งให้ทราบว่าบิ๊กซีได้เตรียมมาตรการและการป้องกันการระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID -19) อย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความมั่นใจ ความปลอดภัยให้แก่ลูกค้า และท่านผู้ประกอบการ ที่เข้ามาใช้บริการได้อย่างเต็มที่ โดยในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 บิ๊กซี ยังคงห่วงใยลูกค้า คู่ค้า และพนักงาน อย่างต่อเนื่อง
ด้วยการติดตั้งกล้องถ่ายภาพความร้อน (Thermal imaging camera) ในสาขาที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก สำนักงานใหญ่ และคลังสินค้าในเครือ รวมถึงดำเนินมาตรการรักษาความสะอาดต่างๆ ภายในห้างอย่างเคร่งครัดควบคู่กัน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค รวมถึงสร้างความมั่นใจและอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ คู่ค้า และพนักงาน อย่างเต็มที่
บริษัทฯ ขอยืนยันในความมุ่งมั่นในดำเนินการป้องกันและควบคุม เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงานในทุกสาขาทั่วประเทศ บริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะร่วมกันก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันและเป็นกำลังใจให้แก่ทีมแพทย์พยาบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
]]>อ่านเพิ่มเติม : “เทสโก้” กำลังวางแผนธุรกิจใหม่ อาจขายกิจการในไทยเเละมาเลเซีย
“อัศวิน เตชะเจริญวิกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่ม BJC เปิดเผยกับ Positioning ว่า มีความ “สนใจ” ที่จะซื้อกิจการเทสโก้ โลตัสในไทย เพื่อต่อยอดธุรกิจค้าปลีกในเครือให้เเข็งเเกร่งขึ้น
“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยปัจจัยในการซื้อกิจการครั้งนี้ ขึ้นอยู่กับราคา การแข่งขัน และข้อกฏหมายต่างๆ” อัศวินระบุ
โดยอัศวิน มองว่า “ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่คล้ายๆ กัน ช่วงนี้ก็สนใจเข้าไปศึกษาดูเเละมีโอกาสได้เห็นข้อมูลต่างๆ จำนวนสาขาในเเต่ละจังหวัดก็ไม่เหมือนกัน บางจังหวัดเขามี เราไม่มี บางจังหวัดเราเเข็ง เขาไม่เเข็ง เเละรูปแบบก็ไม่ได้เหมือนกันสักทีเดียว ในเรื่องจำนวนร้าน เขามีร้านขนาดกลางซึ่งก็ไม่ได้เหมือนเรา หลายอย่างมีโอกาสที่จะเสริมเติมเเต่งเข้ามาได้”
“สำหรับราคาจะแพงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน”
“การยื่นราคาสำหรับ BJC ที่เป็นบริษัทมหาชนก็คำนึงถึงผลการตอบเเทนของผู้ถือหุ้นเเละผู้ค้าต่างๆ เราก็ต้องทำในเรื่องที่สามารถสร้างผลตอบเเทนได้”
เมื่อถามว่า ค่าเงินเเข็งค่าทำให้ดีลนี้น่าสนใจมากขึ้นหรือไม่ ผู้บริหารบิ๊กซี ตอบว่า “สุดท้ายเเล้วผู้ขายกำหนดสกุลเงินได้ ซึ่งไม่ได้เป็นตัวเเปรหลัก” ทั้งนี้ BJC ไม่ทราบว่ามีผู้ประมูลรายอื่นยื่นเรื่องขอประมูลไปเเล้วหรือไม่
ศึกการชิงซื้อกิจการ “เทสโก้ โลตัส” จะเป็นการเเข่งขันกันระหว่าง 3 ตระกูลมหาเศรษฐีติดอันดับรวยที่สุดของเมืองไทยทั้ง “เจียรวนนท์” กลุ่ม CP , “สิริวัฒนภักดี” กลุ่ม TCC , BJC และ “จิราธิวัฒน์” จากกลุ่มเซ็นทรัล
อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงจากจากหน่วยงานกำกับดูแลว่า ไม่ว่ากลุ่มบริษัทใดจะได้ครอบครองกิจการของเทสโก้ในประเทศไทย ก็อาจเข้าข่ายการผูกขาดได้
อ่านเพิ่มเติม : วิเคราะห์ซูเปอร์ดีล ใครมีโอกาสฮุบ “เทสโก้ โลตัส” มากที่สุด
ด้านอีกฟากอย่าง “เจ้าสัวธนินท์” เคยออกปากว่าสนใจจะซื้อเทสโก้ โลตัสกลับคืนมา ซึ่งถ้ากลุ่ม CP คว้าดีลนี้สำเร็จ ก็จะกลายเป็นผู้นำของธุรกิจค้าปลีกครบทั้ง 3 กลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มร้านสะดวกซื้อ กลุ่มศูนย์จำหน่ายสินค้าแบบค้าส่ง และกลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ต
หรือถ้าหากกลุ่ม BJC ได้ไปก็จะครองตลาดไฮเปอร์มาร์เก็ตเเบบเบ็ดเสร็จ โดย “บิ๊กซี” ปัจจุบันมีจำนวนสาขาทั้งหมดในเครือ 1,231 สาขา เเละวางเเผนว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะขยายสาขาต่อเนื่อง โดยจะเปิดรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต 3 สาขา และรูปแบบมินิอีก 300-400 สาขา พร้อมกลยุทธ์เพิ่มสมาชิก Bigcard ที่ยอดปี 2562 อยู่ที่ราว 8.8 ล้านราย เติบโตจากปี 2561 ที่มีจำนวนสมาชิกอยู่ที่ 7.6 ล้านราย